ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าถูกป๋ายเหย่ใช้หนึ่งกระบี่ส่งออกมาจากใต้หล้าแห่งที่ห้าคือศักราชเจียชุนปีที่สาม
ซิ่วไฉเฒ่าเคยไปเยี่ยมเยือนป๋ายเจ๋อ ตอนที่กลับมายังศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางอีกครั้งคือศักราชเจียชุนปีที่สี่ ส่วนตอนที่ซิ่วไฉเฒ่ามายังเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีที่ตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ได้กลับมาเจอกับอดีตลูกศิษย์คนแรกอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ไปอยู่ที่ริมตลิ่งท่าเรือฉีตู้ที่มีภาพบรรยากาศแบบใหม่ก็เป็นช่วงเริ่มฤดูใบไม้ผลิของรัชศกเจียชุนปีที่ห้าแล้ว ต้นหลิ่วต้นหยางเคียงคู่ ดอกไม้พืชหญ้าพากันเบ่งบาน นกแมลงบินฉวัดเฉวียนอย่างเริงร่า พวกเด็กๆ ประถมเลิกเรียนเร็วจึงออกมาเล่นว่าวชักสายป่านล้อลมสูง
ภาพบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิอันอับอุ่นเช่นนี้ทำเอาซิ่วไฉเฒ่าที่มองดูอยู่หัวคิ้วคลายออกจากกันได้ ถามชุยฉานที่อยู่ด้านข้างเกี่ยวกับการตั้งชื่อของใต้หล้าแห่งที่ห้าว่าเขามีความคิดอะไรหรือไม่
ชุยฉานบอกว่าไม่มี
ชุยตงซานที่ตามมาด้านหลังของคนทั้งสองกลับพอจะมีความคิดอยู่บ้าง น่าเสียดายที่ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้ถามเขา บอกเพียงว่าแรกเริ่มทางฝั่งของศาลบุ๋นคิดจะใช้สองคำว่า ‘กฎเกณฑ์’ มาตั้งเป็นชื่อ แต่หลี่เซิ่งไม่ยอมตอบตกลง บอกว่าคำว่ากฎเกณฑ์คือลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดโชยให้ความชุ่มชื้นแก่สรรพสิ่ง ไม่จำเป็นต้องเอามาวางไว้บนหน้ากระดาษ เมธีจากร้อยสำนักก็มีข้อเสนอแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์หลายท่านซึ่งมีสำนักหยินหยาง สำนักกสิกรรมเป็นหนึ่งในนั้นพร้อมใจกันเสนอชื่อ ‘สุขาวดี’ (เถาหยวน หรือสวนดอกท้อ เปรียบเปรยถึงแดนสวรรค์ แดนสุขาวดี) คนที่เห็นด้วยมีค่อนข้างเยอะ นอกจากจะมีความหมายถึงแดนสุขาวดีนอกโลกแล้ว ความหมายแฝงยังงดงาม อีกทั้งยังสามารถทำให้ผู้คนจดจำคุณความชอบยิ่งใหญ่ในการบุกเบิกฟ้าดินแห่งใหม่ของลัทธิขงจื๊อได้ด้วย และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของใต้หล้าแห่งใหม่ก็มีต้นท้ออยู่ต้นหนึ่งจริงๆ ต้นท้อนั้นค่อนข้างจะประหลาด เพียงแค่ผลิดอกไม่ออกผลมาเนิ่นนาน กระทั่งป๋ายเหย่พกกระบี่เปิดฟ้าดิน มันกลับออกผลทันที แต่หย่าเซิ่งก็ยังปฏิเสธความเห็นข้อนี้
ดังนั้นจนถึงทุกวันนี้ใต้หล้าแห่งที่ห้าก็ยังไม่มีชื่อที่ถูกทำนองคลองธรรม
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ดินแดนสุขสงบที่หนีพ้นจากหายนะมาได้ก็ถือว่าเป็นแดนสุขาวดีนอกโลกอย่างแท้จริงด้วยหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าใต้หล้าแห่งที่ห้าทุกวันนี้จะมีคนที่จิตใจสงบได้สักกี่คน พอรอดพ้นหายนะมาได้ จิตใจเริ่มจะปลอดโปร่งบ้างแล้วย่อมต้องคิดอยากจะช่วงชิงพื้นที่อิทธิพลมาเป็นของตน ลักชิงปล้นขโมย ตีกันจนน้ำสมองไหลนองเต็มพื้นล่ะสิไม่ว่า รอกระทั่งสถานการณ์พอจะสงบมั่นคงได้แล้ว หยัดยืนได้มั่นคงแล้ว มีชีวิตที่สุขสบายได้สักสองสามวัน พูดถึงแค่คนของใบถงทวีปกลุ่มเดียว พวกเขาก็ต้องคิดชำระบัญชีแค้นย้อนหลังแน่นอน แรกเริ่มก็จะด่าคนกันเองก่อน ด่าว่าสำนักกุยหยก สำนักใบถงล้วนเป็นเศษสวะ ไม่อาจพิทักษ์มาตุภูมิเอาไว้ได้ แล้วค่อยด่าศาลบุ๋นของแผ่นดินกลาง สุดท้ายแม้แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถูกด่าไปด้วย ปากไม่กล้า แต่ในใจไม่ว่าอะไรก็กล้าด่าหมด สถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกแห่งนี้น่ะหรือจะให้ชื่อว่าสุขาวดี”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “หย่าเซิ่งก็คงคิดประมาณนี้แหละ”
ชุยตงซานรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ชื่อว่าใต้หล้าสุขาวดีแล้วกัน ข้าพร้อมชูสองมือสองเท้าสนับสนุนความคิดนี้ หากยังไม่พอ ข้าจะเอาน้องเกามาร่วมด้วยเลย”
ซิ่วไฉเฒ่าแสร้งฟังคำพูดอีกฝ่ายเป็นลมพัดผ่านข้างหู แปลกใจนัก ตอนนั้นที่ชุยฉานไปร่ำเรียนในตรอกเก่าโทรมแห่งนั้น ดูเหมือนว่านิสัยเขาไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา
ก่อนที่ชุยฉานจะจากไป ซิ่วไฉเฒ่าเอาตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตที่ยืมมาจากผู้อำนวยการใหญ่สถานศึกษาหลี่จี้ชั่วคราวมอบให้แก่ชุยฉาน
ชุยฉานไม่ได้ปฏิเสธ
ซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าอักษร ‘ภูเขา’ ตัวนี้ เขาไปยืมคนอื่นมา
ชุยฉานพยักหน้ารับ
ความนัยในคำพูดของซิ่วไฉเฒ่าก็คือ ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตนี้ คืนหรือไม่คืน คืนเวลาใด จะคืนอย่างไร ล้วนเป็นแค่เรื่องของซิ่วไฉเฒ่า ไม่เกี่ยวอะไรกับชุยฉานและต้าหลี
หลังจากที่ชุยฉานจากไป ชุยตงซานก็เดินอาดๆ มาหยุดอยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่า ถามเสียงเบาว่า “หากเจ้าตะพาบเฒ่ายังไม่ขึ้นไปบนอักษร ‘ภูเขา’ นั้น เจ้าคิดจะใช้คุณความชอบนั้นมาชดเชยให้สายของหลี่เซิ่งหรือ?”
ชุยตงซานไม่เคยคลางแคลงใจในความสามารถด้านการเก็บกวาดเรื่องเละเทะของซิ่วไฉเฒ่า สายเหวินเซิ่งในอดีต อันที่จริงก็เป็นซิ่วไฉเฒ่าที่คอยซ่อมแซมแก้ไขมาโดยตลอด คอยไปขอโทษคนทั่วสารทิศแทนพวกลูกศิษย์ หรือไม่ก็ไปให้การสนับสนุนด้วยการเขย่งเท้า โบกชายแขนเสื้อสะเปะสะปะอธิบายเหตุผลกับคนอื่น
ในสายตาของเผยเฉียน ศิษย์พี่เล็กเดินเหมือนห่านขาวใหญ่ ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างสะบัดพึ่บพั่บไร้ระเบียบ แรกเริ่มสุดเขาเรียนรู้มาจากใคร คำตอบก็ชัดเจนอย่างมากแล้ว
มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่ง ปีนั้นเหมือนแม่ไก่แก่ที่พร้อมปกป้องลูกๆ ของตัวเองสุดชีวิต
ซิ่วไฉเฒ่าชำเลืองตามองเด็กหนุ่มชุดขาว
เจ้าตะพาบน้อยผู้นี้ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ขวางหูขวางตาเสียจริงเชียว
ชุยตงซานหดคอ เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์ปู่แต่โดยดี อาจารย์ของอาจารย์ ลำดับศักดิ์สูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า
ชุยตงซานเบี่ยงตัวเดินหันข้าง ใช้ไม้เท้าเดินป่าในมือทิ่มพื้นเบาๆ บอกเป็นนัยแก่ซิ่วไฉเฒ่าว่าจะดีจะชั่วทุกวันนี้ข้าก็เป็นศิษย์หลานของเจ้า ต่อให้ขยับฝีปากก็ไม่ควรขยับมือไม้ตีกัน สั่งสอนลูกศิษย์เป็นเรื่องของอาจารย์ ยังไม่มาถึงคราวของเจ้าที่เป็นอาจารย์ปู่
ชุยตงซานเอ่ยอย่างแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม “เจ้าชุยฉานผู้นี้ ตั้งแต่ต้นจนจบผายลมแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ช่างไม่เคารพกันบ้างเลย! วันหน้าข้าจะช่วยอาจารย์ปู่ด่าเขาให้เอง”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้าว่า “ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นคนสองคนแล้ว ต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าให้ดี เมื่อก่อนพาพวกเจ้าเดินทางผ่านขุนเขาสายน้ำมากมายขนาดนั้น ก็น่าจะเข้าใจว่า น้ำที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน หลังจากแยกสาขากันไปแล้ว สายน้ำมากมายนึกจะไม่มีก็ไม่มีแล้ว จะต้องไหลไปให้ไกลกว่าน้ำต้นกำเนิดให้ได้”
ชุยตงซานพยักหน้ารัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “นอกจากเหมือนสายน้ำใหญ่ที่ไหลรินไม่หยุดนิ่ง เหมือนน้ำใสที่ส่องเห็นตัวคนแล้ว เป็นคนยังต้องหัดเรียนรู้เอาอย่างอาจารย์ปู่ที่ค้ำฟ้ายันดิน ไม่ถูกลมมรสุมพัดทำลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้จะยังคงมีความรู้สึกว่า ‘วันเวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลหายไป’ ก็ไม่ต้องหวาดเกรงอีกแล้ว ความรู้ในทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นดั่งท่าเรือที่ทำให้คนรุ่นหลังได้พักผ่อนอย่างสบายใจ สามารถออกเดินทางท่องเที่ยวไปไกลแล้วไกลอีกได้อย่างวางใจ”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มอย่างชอบใจ “ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่วถูกเจ้าพาให้บิดเบี้ยวจริงๆ เสียด้วย”
แต่หลังจากที่ ‘น้ำใสส่องเห็นตัวคน’ แล้ว บุคลิกท่าทางต้องสุขุมมั่นคง ความคิดต้องหนักแน่นเยือกเย็น นี่ก็เป็นคำกล่าวที่ดีงามมากจริงๆ ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอด เสี่ยวฉีกับผิงอันน้อยล้วนคู่ควรกับคำกล่าวนี้
ชุยตงซานเอ่ยอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “อาจารย์ก็พูดแบบนี้ อาจารย์ปู่ยังคิดแบบนี้อีก ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้เถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!