กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 702

สรุปบท บทที่ 702.2 ท่ามกลางลมหิมะ: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 702.2 ท่ามกลางลมหิมะ – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 702.2 ท่ามกลางลมหิมะ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ซิ่วไฉเฒ่าพลันหลุดหัวเราะพรืด “เผยเฉียนก็เปลี่ยนมาเป็นคนดีแล้วไม่ใช่หรือ? นี่ก็ไม่สำคัญแล้วหรือ? เจ้าคิดว่าหากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าอบรมสั่งสอนด้วยการทำให้นางดูตัวเป็นตัวอย่าง เผยเฉียนจะเป็นเผยเฉียนอย่างทุกวันนี้ได้ไหม?”

ซิ่วไฉเฒ่าตบหัวใจตัวเอง “ข้าได้ความสบายใจ ฟ้าดินได้ประโยชน์ ไยจะไม่ยินดีทำเล่า?”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความปรารถนาดี “ความรู้เรื่องกิจการงานและคุณความชอบ ดีก็ดีอยู่ แต่ดีพอแล้วหรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก พูดถึงแค่สามเรื่อง จะสามารถทำให้ผู้อำนวยการใหญ่คนนั้นเอาตัวอักษรให้ข้ายืมไหม? สามารถทำให้อาจารย์ป๋ายยอมเอาภาพค้นภูเขาออกมาไหม? สามารถทำให้บนโลกนี้มีเด็กสาวขอบเขตเดินทางไกลที่เดินเข้าหาความดีอยู่ห่างไกลจากความชั่วร้ายเพิ่มมาอีกคนหนึ่งได้ไหม? บัณฑิตจะเอาแต่รู้สึกว่าข้าทำดีมากพอแล้ว ยามหนอนหนุนหมอนสูงแล้วก็ไม่ต้องระวังตัว รู้สึกว่าทุกเรื่องล้วนสามารถวางใจได้แล้วมิได้ หากวิถีทางโลกกล้าคาดหวังกับตัวข้าเพิ่มส่วนหนึ่ง ข้าก็จะถ่มน้ำลายใส่วิถีทางโลก ก่นด่าคนบนโลกว่าโง่เง่าไร้จิตสำนึก”

ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็เกาหัว “บีบคอไอแรงๆ สองสามที แล้วค่อยถุยเสลดเหนียวข้นออกมา มารดามันเถอะนี่แม่งช่าง…น่าขยะแขยงจริงๆ”

พูดถึงเรื่องทุบทำลายเทวรูปในครานั้น จำได้ว่ามีบัณฑิตของราชวงศ์เส้าหยวนคนหนึ่งที่เอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ

อันที่จริงเรื่องที่ซิ่วไฉเฒ่าพูดคือคนละเรื่องกัน แต่ชุยตงซานฉลาดมากพอ จึงล้วนฟังเข้าใจทั้งสิ้น หนึ่งคือเรื่องราวของใต้หล้าที่แสวงหาต้นกำเนิดอันชัดเจน อีกหนึ่งคือคำบ่นของคนบ้านกันเดียวที่ปิดประตูบ่นให้กันฟัง

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ทุกวันนี้เผยเฉียนขอบเขตสูงแล้ว กลับยิ่งกลายเป็นว่ากลัวจะเกิดเรื่อง นี่คือเรื่องดี เพราะหมัดหนักเกินไป แต่อายุกลับยังน้อย ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดจะเปลี่ยนแปลงวิถีทางโลกเร็วเกินไปนัก”

“วิถีทางโลก วิถีทางโลก ก็หนีไม่พ้นเส้นทางเดินของคนบนโลกเท่านั้น”

ซิ่วไฉเฒ่ายื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง “บนทางสายหนึ่งที่ผู้คนเบียดกรูกันเข้าไปอย่างผิดๆ มองดูเหมือนเป็นทางลัดเดินสบาย ไม่ต้องสนใจว่ามีคนมากหรือน้อย เส้นทางเดินได้สบายมากแค่ไหน อาจารย์ทุกคนที่สอนหนังสือก็ต้องบอกกับพวกเด็กๆ ทุกคนที่เรียนรู้ตัวอักษร เรียนอ่านตำรา เรียนมารยาทพิธีการอยู่ในโรงเรียนว่าไม่อาจเดินแบบนั้นได้ วันหน้าเมื่อพวกเด็กๆ เติบใหญ่ มีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังไปยืนขวางอยู่บนทางสายนั้น บอกกับคนอื่นว่านี่เป็นสิ่งที่ผิด ผิดก็คือผิด จากนั้นก็อาจจะถูกวิถีทางโลกบางอย่างต่อยจนหน้าเขียวจมูกบวม หากความรู้ด้านกิจการงานและคุณความชอบของพวกเจ้าสามารถทำให้ความผิดที่หล่นลงบนร่างของคนดีพวกนี้ลดน้อยลงไปได้ นั่นก็จะประเสริฐยิ่ง จะดีอย่างมากแล้ว”

ชุยตงซานกล่าวอย่างอัดอั้นตันใจ “มาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม ทำไมไม่พูดกับชุยฉานล่ะ?”

ซิ่วไฉเฒ่าไม่ตอบ

มีเพียงสายน้ำของลำน้ำใหญ่เบื้องหน้าคนทั้งสองเท่านั้นที่ไหลรินผ่านไปช้าๆ

ชุยตงซานพึมพำกับตัวเองว่า “พบเจอคนมีคุณธรรมความสามารถ ต้องเรียนรู้จากเขา”

เงียบกันไปนาน ชุยตงซานก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ไปเถอะๆ ไปให้จบๆ เรื่อง”

ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ข้าจะไปเจอผู้อาวุโสบางคนสักหน่อย”

ผู้อาวุโสท่านนั้นเคยมีคำถามที่มหัศจรรย์แม้จะผ่านมานานพันปีหมื่นปี เปิดบทมาก็ถามแล้วว่า เมื่อย้อนไปถึงยุคโบราณ ใครกันเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาคนแรก? ลำพังเพียงแค่คำถามข้อนี้ก็ทำเอาพวกอริยะปราชญ์ที่เงียบเหงาบางท่านต้องหลั่งน้ำตาแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าเองก็เคยมีช่วงเวลาตอนเป็นหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันฮึกเหิมเช่นนี้ มีครั้งหนึ่งเขาดื่มเหล้าจนเมามายอย่างที่หาได้ยาก จึงตะโกนเสียงดังว่าข้าจะตอบเอง ข้าสามารถตอบได้…

และตอนที่อยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลูกศิษย์จั่วโย่วก็เคยถามตอบกับศิษย์น้องเฉินผิงอัน

ชุยตงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องตอบคำถามสวรรค์อีกได้ไหม”

ยังคงเป็นคำถาม แต่กลับไม่ใช้เสียงของการตั้งคำถามอยู่เหมือนเดิม

ไม่ตอบ เหลือค้างไว้ อาจารย์ในอดีต ท่านเก็บค้างไว้ในใจตัวเองไปตลอดก็พอแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่ามือหนึ่งลูบหนวด มือหนึ่งตบหน้าท้องเบาๆ “ไม่เหมาะสมแก่กาลเทศะ ไม่พูดคงอัดอั้นนัก”

ชุยตงซานถามอย่างประหลาดใจ “ฉีจิ้งชุนรู้แต่แรกแล้วหรือว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน?”

ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ความลับนี้หลังจากผสานมรรคาแล้ว ในอดีตขนาดตาเฒ่าก็ยังปิดบังข้า”

ซิ่วไฉเฒ่าพลันตบป้าบเข้าที่หัวของชุยตงซาน “เจ้าลูกกระต่ายน้อย วันๆ เอาแต่ด่าตัวเองว่าตะพาบเฒ่า สนุกนักหรือ?”

สายตาชุยตงซานแฝงความไม่พอใจ “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดเองว่าถึงอย่างไรก็เป็นคนละคนกันแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าเหวี่ยงมือตบอีกรอบ “พูดกับอาจารย์ปู่แบบนี้ได้ยังไง? หา?”

หลังจากโดนตบไปทีหนึ่ง ชุยตงซานก็ยื่นมือมาป้องหัวตัวเอง “แค่พอประมาณก็พอแล้วนะ”

ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยว่า “อันดับแรกก็มีอริยะปราชญ์มองดูโลกมนุษย์ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างเฉยชา หลิง ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ดุจเทพ จวิน ท่วงทำนองการพูด ผู้ที่พูดจาเที่ยงธรรมเป็นกฎเกณฑ์ ไม่มีอะไรเหนือเกินฟ้า ผู้ที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งปรับสมดุลท่วงทำนอง ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าดิน นี่จึงเป็นเหตุให้เที่ยงตรงเป็นกลางมากที่สุด ภายหลังป๋ายเหย่พกกระบี่ออกเดินไกลทั่วฟ้าดิน ใต้หล้าแห่งที่ห้าควรจะตั้งชื่ออย่างไร ข้าพอจะมีความคิดแล้ว”

รักษาความบริสุทธิ์เกียรติศักดิ์บนวิถีแห่งความเที่ยงตรง เดิมก็คือสิ่งที่อริยะปราชญ์ชื่นชมมานับแต่โบราณ

ป๋ายเหย่แต่งกวีไร้เทียมทาน ความคิดโดดเด่นไม่เหมือนใคร ช่างเป็นดินแดนบริสุทธิ์ไร้มลทิน ปราณเที่ยงธรรมล่องลอยดุจก้อนเมฆบนผืนฟ้า

ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “ประเสริฐ”

ซิ่วไฉเฒ่ายกมือข้างหนึ่งขึ้น ชุยตงซานรีบยกสองมือมาปัดป้องวุ่นวาย สกัดขวางฝ่ามือนั้น

ซิ่วไฉเฒ่าเก็บมือมา ลูบหนวดยิ้ม เอ่ยอย่างลำพองใจว่า “แค่คำว่าประเสริฐคำเดียวจะพอใช้เสียที่ไหน? อยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก ดังนั้นในเรื่องของการตั้งชื่อนี้ เป็นอาจารย์ของเจ้าที่ได้รับการสืบทอดที่แท้จริงไป”

ชุยตงซานยิ้มหน้าทะเล้น “แล้วเรื่องหาภรรยาล่ะ?”

ซิ่วไฉเฒ่าใช้ฝ่ามือลูบปลายคาง “เรื่องนี้ก็ไม่เคยสอนนะ เก่งกาจเองโดยไม่ต้องมีคนสอนหรือ?”

ชุยตงซานหัวเราะร่วน “หากเคยสอนมาก่อน คาดว่าคงไม่มีหวังแล้ว”

หลังจากซิ่วไฉเฒ่าจากไป

ชุยตงซานทะยานลมมายังทะเลเมฆ เห็นเด็กน้อยที่เผยร่างจริงผู้นั้นกำลังเลียบลำน้ำใหญ่เดินลงแม่น้ำอย่างเกรียงไกร ระยะทางผ่านไปได้เกินครึ่งแล้ว บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ แต่กลับพุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดันอาจหาญ ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็เอาสองบทอย่าง ‘ผีภูเขา’ กับ ‘ลุยน้ำ’ ไปมอบให้กับชุยตงซานที่ทำหน้าที่นั่งพิทักษ์ลำน้ำใหญ่ จากนั้นให้ชุยตงซานนำบท ‘ตงจวิน’ ไปมอบต่อให้กับร้านยาเมืองเล็ก หลังจากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็เอาแค่บท ‘เรียกวิญญาณ’ ไป ไม่เพียงแต่ลงใต้มุ่งไปยังนครมังกรเฒ่าตลอดทาง ยังฉวยโอกาสที่สถานการณ์อันตรายแต่ไม่ถึงขั้นเละเทะแอบแวบไปที่ใบถงทวีป ช่วยสร้างความมั่นคงให้กับค่ายกลภูเขาสายน้ำของภูเขาไท่ผิงเพิ่มอีกหลายส่วน

จากนั้นก็ไปเยือนราชวงศ์ต้าเฉวียนที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็แอบเผ่นหนีไปแล้ว อยู่นอกประตูตำหนักปี้โหยวริมตลิ่งลำคลองม่ายเหอแห่งนั้น ซิ่วไฉเฒ่าจัดคอเสื้อ ยืนคอยอยู่นาน ผลคือไม่มีใครมาสนใจ

ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่เปิดปากถามว่าเหนียงเนียงลำคลองม่ายเหออยู่หรือไม่?

เด็กสาวร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งเดินอาดๆ มาปรากฏตัวที่หน้าประตู มือหนึ่งรองก้น ‘ถ้วยใบใหญ่’ มือหนึ่งถือตะเกียบ นางนั่งอยู่บนธรณีประตู ขมวดคิ้วมุ่น มองประเมินผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่ตัวเองมองตื้นลึกไม่ออก สุดท้ายนางจึงเอ่ยถามว่าบัณฑิตเฒ่ามาเตร็ดเตร่ส่งเดชอะไรอยู่แถวนี้ ไม่รู้หรือไรว่าทุกวันนี้วิถีทางโลกวุ่นวายมาก? ตำหนักปี้โหยวของข้าใหญ่แค่ฝ่ามือ ไม่อาจปกป้องใครได้ ไม่แน่ว่าแม้แต่ข้าเองอาจยังเอาตัวไม่รอด ไม่ใช่ว่าข้าใจแคบหรอกนะ แต่ท่านอาจารย์ผู้เฒ่ารีบไปที่สำนักศึกษาต้าฝูดีกว่า ที่นั่นปลอดภัยกว่ามาก

ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้แต่ทำหน้าหนาบอกชื่อแซ่ของตัวเองไป บอกว่าตนคืออาจารย์ของจั่วโย่วและเฉินผิงอัน

เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอเหมือนถูกฟ้าผ่า ในหัวสมองเหมือนมีแต่แป้งเปียก ใบหน้าแดงก่ำ อึ้งอยู่นานก็พูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ นางลุกขึ้นยืนโงนเงนเหมือนคนเมา สองมือประคอง ‘ถ้วยใหญ่’ ชูสูงเหนือหัว ความหมายคือน่าจะต้องการเชิญชวนให้ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งกินอาหารมื้อดึกด้วยกัน?

หลังจากนั้นนางที่มึนๆ งงๆ ก็กลับไปที่โถงใหญ่ตำหนักปี้โหยวพร้อมกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่บอกว่าน้ำใจยิ่งใหญ่ยากจะปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้นก็จะไปนั่งข้างในสักครู่แล้วกัน ก่อนจะสั่งให้พ่อครัวหลิวเอาบะหมี่ชามหนึ่งที่เล็กเหมือนจานอาหารกับแกล้มมามอบให้นายท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอย่างมึนงงไม่หาย

จั่วโย่วที่สุดท้ายออกจากอาณาเขตของสำนักใบถงจากสถานที่แห่งหนึ่งของภาคกลางใบถงทวีปเอากระบี่วางพาดไว้บนหัวเข่า นั่งอยู่บนทะเลเมฆ เฝ้าพิทักษ์ประตูใหญ่ เพียงประตูบานเดียวกางกั้นก็คือสองใต้หล้า

ห่างไปไกลมีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหวังซือจื่อและแม่นางคนหนึ่งนามว่าอวี๋ซินคอยช่วยลูกศิษย์สำนักศึกษาและผู้ฝึกตนบนภูเขาจัดการคุ้มครองชาวบ้านลี้ภัยจากสถานที่ต่างๆ ไปส่ง ความคิดของผู้คนมากมายซับซ้อน สภาพการณ์วุ่นวายไร้ระเบียบ ไม่ได้ราบรื่นผ่อนคลายนัก

ต่อให้หวังซือจื่อจะเป็นคนโง่ที่ความรู้สึกช้าแค่ไหนก็มองออกว่าแม่นางอวี๋มีความรู้สึกบางอย่างต่อผู้อาวุโสจั่ว

ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เลย แล้วก็เพราะหวังซือจื่อถึงคอขวดของการฝึกตนที่จิตแห่งกระบี่ขยับเล็กน้อย ขอบเขตก็จะทะลุแต่ไม่ทะลุสักที ไม่ต่างจากเฉาจวิ้นผู้ฝึกกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป จำเป็นต้องพิศกระบี่ให้กระจ่างแจ้งเพื่อฝ่าทะลุคอขวด เพราะถึงอย่างไรยามที่ผู้อาวุโสจั่วโย่วออกกระบี่สังหารปีศาจอยู่ที่นี่ ต่อให้ได้แค่มองไกลๆ ก็เป็นประโยชน์ต่อวิถีกระบี่ที่ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครองแล้ว

ทว่าพอผู้อาวุโสจั่วรู้ว่าแม่นางอวี๋มาที่นี่เป็นเพื่อนตน กลับยังตบไหล่ของตน สายตาของเขาในตอนนั้นคงประมาณว่าผู้อาวุโสจั่วโย่วรู้สึกว่าเขาหวังซือจื่อฉลาดขึ้นบ้างแล้ว?

วันนี้แม่นางอวี๋ถามเขาว่าจะไปขอความรู้เวทกระบี่หรือไม่ แน่นอนว่าหวังซือจื่อไม่ได้ทึ่มทื่อเหมือนเดิมแล้ว จึงพยักหน้าบอกว่าจะไป จากนั้นก็เอ่ยเพิ่มไปอีกประโยคว่า อันที่จริงนอกจากที่ผู้อาวุโสจั่วจะมีเวทกระบี่เลิศล้ำเป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้ว มรรคกถาของเขาก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน หลังจากข้าขอความรู้จากเขาแล้ว แม่นางอวี๋เจ้าเองก็ห้ามพลาดไปเด็ดขาด แม่นางอวี๋มองเขาแวบหนึ่ง เพราะหวังซือจื่อพูดจาเต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรม แม่นางอวี๋จึงไม่ได้ถลึงตาใส่เขาอีกครั้ง

ผลคือพอไปถึงทะเลเมฆที่จั่วโย่วใช้เป็นสถานที่ฝึกตนชั่วคราว หวังซือจื่อถามความรู้ด้านเวทกระบี่กับผู้อาวุโสจั่วด้วยความจริงใจแล้วจึงเอ่ยขอตัวลา ไม่ลืมเตือนผู้อาวุโสจั่วโย่วด้วยว่า แม่นางอวี๋มีปัญหายากจะทำความเข้าใจบนเส้นทางการฝึกตน จึงอยากจะขอคำแนะนำจากผู้อาวุโสจั่วโย่ว

จั่วโย่วกลับส่ายหน้า บอกว่านอกจากเวทกระบี่ของตนที่พอจะสอนคนอื่นได้อย่างถูไถแล้ว เรื่องการฝึกตนด้านอื่นก็ไม่กล้าพูดกับใครทั้งนั้น วิชาลับของศาลบรรพจารย์สำนักใบถงสามารถพาตรงไปสู่ห้าขอบเขตบน ขอแค่แม่นางอวี๋ฝึกตนไปตามลำดับขั้นตอนก็ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน

แม่นางอวี๋ที่เพิ่งจะเดินเยื้องย่างมาหาผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองคล้ายใต้ฝ่าเท้ามีก้อนเมฆผุดลอย พอได้ยินก็สะบัดหน้าเดินจากไปทันที เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็รีบทิ้งตัวดิ่งลงไปเบื้องล่าง ทะยานลมกลับไปยังพื้นดินของโลกมนุษย์อย่างว่องไว

หลังจากหวังซือจื่อตามแม่นางอวี๋มาก็ได้แต่กล้าตามติดนางมาไกลๆ เท่านั้น ยามที่สตรีเสียใจกับเรื่องน่าเสียใจ คงไม่ต้องการให้คนนอกมาเห็นเข้ากระมัง?

แต่เพียงไม่นานก็คล้ายว่าแม่นางอวี๋จะปรับอารมณ์ได้แล้ว นางทะยานลมหยุดอยู่ที่เดิม เพียงแต่ว่าทั้งไม่ไปทะเลเมฆ แล้วก็ไม่ไปพื้นดิน หวังซือจื่อถึงได้กล้าขยับเข้าใกล้

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!