ซิ่วไฉเฒ่าพลันหลุดหัวเราะพรืด “เผยเฉียนก็เปลี่ยนมาเป็นคนดีแล้วไม่ใช่หรือ? นี่ก็ไม่สำคัญแล้วหรือ? เจ้าคิดว่าหากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าอบรมสั่งสอนด้วยการทำให้นางดูตัวเป็นตัวอย่าง เผยเฉียนจะเป็นเผยเฉียนอย่างทุกวันนี้ได้ไหม?”
ซิ่วไฉเฒ่าตบหัวใจตัวเอง “ข้าได้ความสบายใจ ฟ้าดินได้ประโยชน์ ไยจะไม่ยินดีทำเล่า?”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความปรารถนาดี “ความรู้เรื่องกิจการงานและคุณความชอบ ดีก็ดีอยู่ แต่ดีพอแล้วหรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก พูดถึงแค่สามเรื่อง จะสามารถทำให้ผู้อำนวยการใหญ่คนนั้นเอาตัวอักษรให้ข้ายืมไหม? สามารถทำให้อาจารย์ป๋ายยอมเอาภาพค้นภูเขาออกมาไหม? สามารถทำให้บนโลกนี้มีเด็กสาวขอบเขตเดินทางไกลที่เดินเข้าหาความดีอยู่ห่างไกลจากความชั่วร้ายเพิ่มมาอีกคนหนึ่งได้ไหม? บัณฑิตจะเอาแต่รู้สึกว่าข้าทำดีมากพอแล้ว ยามหนอนหนุนหมอนสูงแล้วก็ไม่ต้องระวังตัว รู้สึกว่าทุกเรื่องล้วนสามารถวางใจได้แล้วมิได้ หากวิถีทางโลกกล้าคาดหวังกับตัวข้าเพิ่มส่วนหนึ่ง ข้าก็จะถ่มน้ำลายใส่วิถีทางโลก ก่นด่าคนบนโลกว่าโง่เง่าไร้จิตสำนึก”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ก็เกาหัว “บีบคอไอแรงๆ สองสามที แล้วค่อยถุยเสลดเหนียวข้นออกมา มารดามันเถอะนี่แม่งช่าง…น่าขยะแขยงจริงๆ”
พูดถึงเรื่องทุบทำลายเทวรูปในครานั้น จำได้ว่ามีบัณฑิตของราชวงศ์เส้าหยวนคนหนึ่งที่เอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ
อันที่จริงเรื่องที่ซิ่วไฉเฒ่าพูดคือคนละเรื่องกัน แต่ชุยตงซานฉลาดมากพอ จึงล้วนฟังเข้าใจทั้งสิ้น หนึ่งคือเรื่องราวของใต้หล้าที่แสวงหาต้นกำเนิดอันชัดเจน อีกหนึ่งคือคำบ่นของคนบ้านกันเดียวที่ปิดประตูบ่นให้กันฟัง
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ทุกวันนี้เผยเฉียนขอบเขตสูงแล้ว กลับยิ่งกลายเป็นว่ากลัวจะเกิดเรื่อง นี่คือเรื่องดี เพราะหมัดหนักเกินไป แต่อายุกลับยังน้อย ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดจะเปลี่ยนแปลงวิถีทางโลกเร็วเกินไปนัก”
“วิถีทางโลก วิถีทางโลก ก็หนีไม่พ้นเส้นทางเดินของคนบนโลกเท่านั้น”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง “บนทางสายหนึ่งที่ผู้คนเบียดกรูกันเข้าไปอย่างผิดๆ มองดูเหมือนเป็นทางลัดเดินสบาย ไม่ต้องสนใจว่ามีคนมากหรือน้อย เส้นทางเดินได้สบายมากแค่ไหน อาจารย์ทุกคนที่สอนหนังสือก็ต้องบอกกับพวกเด็กๆ ทุกคนที่เรียนรู้ตัวอักษร เรียนอ่านตำรา เรียนมารยาทพิธีการอยู่ในโรงเรียนว่าไม่อาจเดินแบบนั้นได้ วันหน้าเมื่อพวกเด็กๆ เติบใหญ่ มีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังไปยืนขวางอยู่บนทางสายนั้น บอกกับคนอื่นว่านี่เป็นสิ่งที่ผิด ผิดก็คือผิด จากนั้นก็อาจจะถูกวิถีทางโลกบางอย่างต่อยจนหน้าเขียวจมูกบวม หากความรู้ด้านกิจการงานและคุณความชอบของพวกเจ้าสามารถทำให้ความผิดที่หล่นลงบนร่างของคนดีพวกนี้ลดน้อยลงไปได้ นั่นก็จะประเสริฐยิ่ง จะดีอย่างมากแล้ว”
ชุยตงซานกล่าวอย่างอัดอั้นตันใจ “มาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม ทำไมไม่พูดกับชุยฉานล่ะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ตอบ
มีเพียงสายน้ำของลำน้ำใหญ่เบื้องหน้าคนทั้งสองเท่านั้นที่ไหลรินผ่านไปช้าๆ
ชุยตงซานพึมพำกับตัวเองว่า “พบเจอคนมีคุณธรรมความสามารถ ต้องเรียนรู้จากเขา”
เงียบกันไปนาน ชุยตงซานก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ไปเถอะๆ ไปให้จบๆ เรื่อง”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ข้าจะไปเจอผู้อาวุโสบางคนสักหน่อย”
ผู้อาวุโสท่านนั้นเคยมีคำถามที่มหัศจรรย์แม้จะผ่านมานานพันปีหมื่นปี เปิดบทมาก็ถามแล้วว่า เมื่อย้อนไปถึงยุคโบราณ ใครกันเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาคนแรก? ลำพังเพียงแค่คำถามข้อนี้ก็ทำเอาพวกอริยะปราชญ์ที่เงียบเหงาบางท่านต้องหลั่งน้ำตาแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าเองก็เคยมีช่วงเวลาตอนเป็นหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตอันฮึกเหิมเช่นนี้ มีครั้งหนึ่งเขาดื่มเหล้าจนเมามายอย่างที่หาได้ยาก จึงตะโกนเสียงดังว่าข้าจะตอบเอง ข้าสามารถตอบได้…
และตอนที่อยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลูกศิษย์จั่วโย่วก็เคยถามตอบกับศิษย์น้องเฉินผิงอัน
ชุยตงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องตอบคำถามสวรรค์อีกได้ไหม”
ยังคงเป็นคำถาม แต่กลับไม่ใช้เสียงของการตั้งคำถามอยู่เหมือนเดิม
ไม่ตอบ เหลือค้างไว้ อาจารย์ในอดีต ท่านเก็บค้างไว้ในใจตัวเองไปตลอดก็พอแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ามือหนึ่งลูบหนวด มือหนึ่งตบหน้าท้องเบาๆ “ไม่เหมาะสมแก่กาลเทศะ ไม่พูดคงอัดอั้นนัก”
ชุยตงซานถามอย่างประหลาดใจ “ฉีจิ้งชุนรู้แต่แรกแล้วหรือว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า “ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ความลับนี้หลังจากผสานมรรคาแล้ว ในอดีตขนาดตาเฒ่าก็ยังปิดบังข้า”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันตบป้าบเข้าที่หัวของชุยตงซาน “เจ้าลูกกระต่ายน้อย วันๆ เอาแต่ด่าตัวเองว่าตะพาบเฒ่า สนุกนักหรือ?”
สายตาชุยตงซานแฝงความไม่พอใจ “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดเองว่าถึงอย่างไรก็เป็นคนละคนกันแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าเหวี่ยงมือตบอีกรอบ “พูดกับอาจารย์ปู่แบบนี้ได้ยังไง? หา?”
หลังจากโดนตบไปทีหนึ่ง ชุยตงซานก็ยื่นมือมาป้องหัวตัวเอง “แค่พอประมาณก็พอแล้วนะ”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยว่า “อันดับแรกก็มีอริยะปราชญ์มองดูโลกมนุษย์ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างเฉยชา หลิง ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ดุจเทพ จวิน ท่วงทำนองการพูด ผู้ที่พูดจาเที่ยงธรรมเป็นกฎเกณฑ์ ไม่มีอะไรเหนือเกินฟ้า ผู้ที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งปรับสมดุลท่วงทำนอง ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าดิน นี่จึงเป็นเหตุให้เที่ยงตรงเป็นกลางมากที่สุด ภายหลังป๋ายเหย่พกกระบี่ออกเดินไกลทั่วฟ้าดิน ใต้หล้าแห่งที่ห้าควรจะตั้งชื่ออย่างไร ข้าพอจะมีความคิดแล้ว”
รักษาความบริสุทธิ์เกียรติศักดิ์บนวิถีแห่งความเที่ยงตรง เดิมก็คือสิ่งที่อริยะปราชญ์ชื่นชมมานับแต่โบราณ
ป๋ายเหย่แต่งกวีไร้เทียมทาน ความคิดโดดเด่นไม่เหมือนใคร ช่างเป็นดินแดนบริสุทธิ์ไร้มลทิน ปราณเที่ยงธรรมล่องลอยดุจก้อนเมฆบนผืนฟ้า
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “ประเสริฐ”
ซิ่วไฉเฒ่ายกมือข้างหนึ่งขึ้น ชุยตงซานรีบยกสองมือมาปัดป้องวุ่นวาย สกัดขวางฝ่ามือนั้น
ซิ่วไฉเฒ่าเก็บมือมา ลูบหนวดยิ้ม เอ่ยอย่างลำพองใจว่า “แค่คำว่าประเสริฐคำเดียวจะพอใช้เสียที่ไหน? อยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก ดังนั้นในเรื่องของการตั้งชื่อนี้ เป็นอาจารย์ของเจ้าที่ได้รับการสืบทอดที่แท้จริงไป”
ชุยตงซานยิ้มหน้าทะเล้น “แล้วเรื่องหาภรรยาล่ะ?”
ซิ่วไฉเฒ่าใช้ฝ่ามือลูบปลายคาง “เรื่องนี้ก็ไม่เคยสอนนะ เก่งกาจเองโดยไม่ต้องมีคนสอนหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะร่วน “หากเคยสอนมาก่อน คาดว่าคงไม่มีหวังแล้ว”
หลังจากซิ่วไฉเฒ่าจากไป
ชุยตงซานทะยานลมมายังทะเลเมฆ เห็นเด็กน้อยที่เผยร่างจริงผู้นั้นกำลังเลียบลำน้ำใหญ่เดินลงแม่น้ำอย่างเกรียงไกร ระยะทางผ่านไปได้เกินครึ่งแล้ว บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ แต่กลับพุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดันอาจหาญ ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!