กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 709

ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งเปลี่ยนใจจึงขี่กระบี่มาหาอวี่ซื่อ

ระดับขั้นของกระบี่ยาวไม่ธรรมดา จึงวาดแสงกระบี่เจ็ดสีพร่างพราวน่ามองอยู่กลางอากาศ

นางมีนามว่าเซียนจ่าว เป็นพี่น้องกับพี่สาวอิ๋นซู่ พวกนางต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ แม้ว่าจะไม่ได้ถูกจัดอันดับอยู่ในร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ แต่กลับเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนครกว่างหานสำนักใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เป็นขุนนางหญิงของกรมเซวี่ยซวง มีโฉมหน้าอ่อนเยาว์ ทว่ากลับเป็นผู้ฝึกตนหญิงที่มีอายุมากถึงสามร้อยปีแล้ว

นครกว่างหานคือหนึ่งในสำนักใต้อาณัติของปีศาจใหญ่เฟยเฟย ในอดีตเฟยเฟยกับหย่างจื่อผู้ครองลำคลองเย่ลั่วเคยสู้รบกันมานานหลายปี ผู้ฝึกตนหญิงในหกกรมซึ่งมีกรมเซวี่ยซวง กรมหลิ่วเถียวเป็นหนึ่งในนั้นของนครกว่างหานคือผู้ที่ออกแรงเยอะที่สุด

รูปลักษณ์ของเซียนจ่าวหลังจากจำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ คือหญิงสาวที่มีคางแหลมเล็ก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น นางยกชายกระโปรงขึ้น ยอบตัวคารวะแล้วเอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าคุณชายอวี่ซื่อ

อวี่ซื่อไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงแค่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ระดับชนชั้นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีความเข้มงวดอย่างมาก หากใครที่มีมารยาทมากเกินไป มีแต่จะได้ผลลัพธ์ในทางที่ตรงกันข้าม

หลังจากที่เซียนจ่าวเก็บกระบี่พกเรียบร้อยก็นั่งอยู่ห่างจากอวี่ซื่อมาไม่ไกล แต่กลับไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้มากนัก นางยกมือสองข้างเท้าคางมองนครที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชายอวี่ซื่อ เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเข่นฆ่าแล้วจริงๆ เหตุใดใต้หล้าไพศาลถึงได้มีเมืองมากมายขนาดนี้ล่ะ อำเภอ จังหวัด เขตการปกครอง เมืองหลวง เมืองมาก คนกลับมากยิ่งกว่า ยังดีที่พวกเขาขี้หลาด ต่างก็ถูกตัวเองทำให้ตกใจจนเกือบตายไปก่อน แล้วก็ไม่มีการต่อต้านใดๆ แรกเริ่มน่ะ ข้ายังสนุกอยู่มาก คิดว่าในที่สุดก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายทุ่มชีวิตเหมือนตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแล้ว แต่พอฆ่ามากๆ เข้า มีคนให้ฆ่าไม่หมดไม่สิ้นก็รู้สึกเบื่อจนเอียนแล้ว”

อวี่ซื่อยิ้มกล่าว “นี่ก็คือใต้หล้าไพศาลอย่างไรล่ะ อุดมสมบูรณ์ ขอแค่ไม่มีสงคราม ไม่มีภัยแล้ง ภัยน้ำท่วม หรือภัยตั๊กแตนใหญ่ๆ ผู้คนก็จะอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว น้อยนักที่จะต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย เพราะฉะนั้นจึงมีคนเยอะมาก ไม่ค่อยเหมือนบ้านเกิดของพวกเราสักเท่าไร”

ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก่อนที่บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่จะปรากฏตัว นั่นคือกลียุคหมื่นปี

วิถีทางโลกวุ่นวายมากอย่างแท้จริง ปีศาจใหญ่เหิมเกริมไปทั่วใต้หล้า จนถึงขั้นที่ไม่เคยมีคำกล่าวว่า ‘ฆ่าอย่างพร่ำเพื่อ’ ในใต้หล้าแห่งนั้น

เซียนจ่าวชี้นิ้วไปยังมุมหนึ่งในนคร ถามว่า “เห็นซุ้มประตูหินนี่อีกแล้ว มีอยู่ในหลายสถานที่เลย ข้ากับพี่สาวอ่านตัวอักษรบนนั้นไม่ออก คุณชายอวี่ซื่อ ท่านเคยอ่านหนังสือมาก่อน เข้าใจใต้หล้าไพศาลดีมาก พวกมันมีไว้ทำอะไรหรือ?”

ตัวอักษรโบราณเก่าแก่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ว่ากันว่าพอจะถือว่ามีต้นกำเนิดเดียวกับของใต้หล้าไพศาลได้อย่างถูไถ แต่กลับแยกไปเป็นคนละสาขา ต่างฝ่ายต่างมีวิวัฒนาการ แต่ก็เพราะ ‘ตัวอักษรมีต้นกำเนิดเดียวกัน’ ต่อให้จะแค่พอถูไถแค่ไหน ตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของอริยะลัทธิขงจื๊อก็ยังคงทำให้ปีศาจใหญ่ทุกตนกริ่งเกรงมากอยู่ดี เมื่อประมาณหนึ่งพันปีก่อน ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้เริ่มมีตัวอักษรประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ‘อักษรน้ำเมฆ’ ใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นตัวอักษรที่อาจารย์โจว ‘มหาสมุทรแห่งความรู้ของใต้หล้า’ ท่านนั้นเป็นผู้สร้างขึ้นมา

อวี่ซื่ออธิบาย “นี่คือของที่มีเฉพาะในใต้หล้าไพศาล เอามาใช้สรรเสริญชายหญิงที่มีความรู้ดี มีคุณธรรมสูง เคยอ่านเจอจากในตำราว่าอริยะปราชญ์ของที่นี่มีคำกล่าวที่ว่า ข้อเสียใหญ่ในทุกวันนี้ ขนบธรรมเนียมบริสุทธิ์หดหาย แต่ยังมีคุณความดีน้อยนิดที่ปรากฏอยู่บนศิลาสดุดี ความหมายคร่าวๆ ก็คือสามารถอาศัยซุ้มป้ายหินมาสรรเสริญความดีงามของคน ในใต้หล้าไพศาล หากมีซุ้มหินนี้ตั้งอยู่ในตระกูล ลูกหลานก็จะมีหน้ามีตาอย่างมาก”

เซียนจ่าวกล่าวอย่างสงสัย “คนพวกนี้ฟังดูแล้วร้ายกาจอย่างมาก แต่ตลอดหลายปีที่ทำสงครามมานี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ”

แต่นางก็เคยเจอคนประหลาดมาบางส่วนอยู่เหมือนกัน มีหญิงชราผมขาวโพลนที่ในมือถือไม้เท้ายืนอยู่หน้าประตูศาลบรรพชนของตระกูลตัวเอง แม้สุดท้ายจะตายเร็วเหมือนปุยนุ่นที่แตกกระจาย แต่นางกลับไม่กลัวตายเลยสักนิด หรือเป็นเพราะว่ามีชีวิตอยู่มานานมากพอแล้ว? แล้วนางก็ยังเคยเห็นผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่แม้ว่ายามหายนะใหญ่มาเยือนจะทำได้เพียงยืนเฉยรอความตาย ทว่าตอนนั้นที่ต้องตายอยู่ข้างโต๊ะซึ่งกองเต็มไปด้วยตำรา ผู้เฒ่าจูงมือเด็กน้อยคนหนึ่งเอาไว้ แล้วบอกให้เด็กน้อยคนนั้น ‘พูดดังๆ’ ส่วนผู้เฒ่ารับฟังถ้อยคำด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้จากฟันที่กระทบกันของเด็กรุ่นหลัง บางทีนั่นอาจเป็นคำสั่งสอน หรืออาจจะเป็นถ้อยคำบนหนังสือของอริยะปราชญ์บางเล่มกระมัง?

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนที่ผู้เฒ่าตาย สีหน้าของเขาเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนบนภูเขาหลายๆ คนที่ยกสองมือประคองส่งสมบัติอาคม หรือไม่ก็เงินเทพเซียน เทียบกับจักรพรรดิฮ่องเต้หลายพระองค์ที่หมอบกราบอ้อนวอนแล้ว กลับองอาจผึ่งผายกว่ามาก

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไรเล่า? เซียนจ่าวรู้สึกว่าไม่มีความหมาย ถึงอย่างไรไม่ว่าจะคนแก่หรือเด็กก็ล้วนต้องตาย

กลับเป็นสถานที่หลายแห่งที่เดิมทีกระโจมทัพมองเป็นสถานที่ที่ ‘สามารถต่อสู้ได้’ สนามรบแต่ละแห่ง เส้นแนวป้องกันแต่ละเส้น ด่านแต่ละด่าน มีพลทหารเท้า มีกองทัพม้าที่สวมเสื้อเกราะใหม่เอี่ยมแวววาวนับหมื่นนาย ทว่ากลับเป็นเพียงแค่ชั้นวางดอกไม้ แค่แตะก็แหลกสลาย ยังไม่ทันต่อสู้ก็ย่อยยับ

นครสูงด่านโอฬารบางแห่ง ส่วนใหญ่มักจะต้านทานได้แค่ไม่กี่วันก็ถูกตีแตกแล้ว

เสื้อเกราะใหม่เกินไป ทหารเยอะแต่ฝีมือน้อยเกินไป

ทว่าตระกูลเซียนอักษรจงบางส่วนกับพวกกองทัพม้าเหล็กของราชวงศ์เจ็ดแปดแห่งนั่น กลับยังถือว่าพอจะสร้างปัญหาให้กับกองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้บ้าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่เรียกว่าภูเขาไท่ผิง คนบาดเจ็บล้มตายกันไปมหาศาล ต่อสู้กันจนกองกำลังภายใต้บัญชาการณ์ของกระโจมทัพสองแห่งตายหมด สุดท้ายจำต้องระดมกำลังของกองทัพใหญ่อีกสองกลุ่มไปช่วย

อวี่ซื่อไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ยากมากที่จะอธิบายความมีประโยชน์และความไร้ประโยชน์ของสิ่งที่เป็นดั่งมายาเลื่อนลอยพวกนี้ได้ มีประโยชน์ต่อการอบรมสั่งสอนใจคน แต่กับการเข่นฆ่าสังหารแน่นอนว่าต้องไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ซุ้มหินทุกแห่ง หากเป็นช่วงเวลาที่วิถีทางโลกสงบสุข แม้มีทองพันชั่งก็ยากจะซื้อหามาได้ ทว่าท่ามกลางกลียุควุ่นวาย กลับดูเหมือนว่าจะไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว

อวี่ซื่อเห็นผู้ฝึกตนผู้เฒ่าที่มีภาพบรรยากาศของก่อกำเนิด ในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวออกมาจากพื้นที่ปกป้องของค่ายกล เปิดฉากเข่นฆ่ากับพวกอิ๋นซู่ เพราะตลอดทางที่ผ่านมาอิ๋นซู่ฆ่าคนไปมากมาย อีกทั้งยังจงใจฆ่าให้เขาเห็น ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้นยังจงใจกระชากหัวของคนบางส่วนโยนไปบนค่ายกลใหญ่จนริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เหมือนเลือดสดที่ป้ายทาลงบนผนัง ส่วนปีศาจใหญ่ที่เผยร่างจริงเป็นงูเหลือมก็ยิ่งกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ คว้าเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเทพอภิบาลเมืองมาสองตนแล้วกดไว้บนผนังด้านนอกค่ายกล ก่อนจะค่อยๆ บีบร่างทองของพวกเขาให้แหลกสลาย

ได้พูดคุยกับเขาพักหนึ่งเซียนจ่าวก็พึงพอใจมากแล้ว นางลุกขึ้นยืน เอ่ยขออภัยว่า “คุณชายอวี่ซื่อ ข้าจะไปสังหารต่อล่ะนะ ไม่อย่างนั้นพี่สาวคงโมโหที่ข้าแอบอู้ เดี๋ยวจะบ่นข้ายาว”

อวี่ซื่อโบกมือ ยิ้มเอ่ยเตือนว่า “ยังต้องระวังผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่ามนุษย์สองคนนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้วจะประมาทได้ ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ ยามที่มีชีวิตอยู่ มีกลอุบายกันมากนัก และยามที่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะตาย ก็ยิ่งเด็ดเดี่ยวอย่างมาก”

เซียนจ่าวพยักหน้ารับอย่างแรง

คุณชายอวี่ซื่อมีสถานะอันสูงศักดิ์ แต่กลับมีนิสัยอ่อนโยน พูดจานุ่มนวลเช่นนี้เสมอ

อวี่ซื่อมองเงาร่างของเซียนจ่าวที่ขี่กระบี่จากไป ยังคงไม่มีความคิดจะลงมือ

ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อวี่ซื่อเข้าออกสนามรบหลายครั้งมากแล้ว คุณความชอบในการสู้รบมีไม่น้อย เสียเปรียบไม่มาก อันที่จริงก็มีแค่ครั้งนั้น แต่กลับเป็นครั้งที่ค่อนข้างหนักหนา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!