อวี่ซื่อคิดว่าจะให้หลูเจี่ยนซินเป็นเจ้าเมืองของเมืองนี้ ให้คนหนุ่มได้มีชีวิตที่สุขสบายเหมือนฮ่องเต้ดูก่อน จากนั้นค่อยให้เจียวสีหมึกบันทึกเรื่องราวของเขาโดยละเอียด แล้วนำการเปลี่ยนแปลงทางขนบธรรมเนียมประเพณีของนครแห่งนี้ภายในเวลาหลายปีต่อจากนี้ไปมอบให้มู่จีได้อ่าน
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลูเจี่ยนซินถึงได้เกลียดแค้นสองพี่น้องเข้ากระดูกดำถึงเพียงนี้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้
อาจเป็นเพราะในหน้าหนาวของบางปีที่ได้แต่สวมเสื้อผ้าตัวบาง พอได้เห็นคุณชายคลุมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวโพลนออกมาชมหิมะ ก็ยิ่งทำให้เขาละอายใจที่สู้ไม่ได้
อาจเป็นเพราะรักและบูชาสตรีผู้นั้นมานาน เพียงแต่ว่ามีวันหนึ่งบังเอิญเดินสวนกันบนถนน สตรีผู้นั้นไม่เอ่ยอะไรสักคำ ทว่าสายตาที่ปรายมองมาอย่างไม่ตั้งใจของนางกลับเอ่ยทุกสิ่ง
สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องประหลาด อวี่ซื่อเองก็ไม่สนใจว่าความจริงจะเป็นอย่างไร จุดที่ทำให้อวี่ซื่อรู้สึกว่าน่าสนุกอย่างแท้จริงคือช่วงเวลาก่อนหน้านี้ อวี่ซื่อมองเห็นความซาบซึ้งในบุญคุณ ความเลื่อมใส ความหวาดกลัวต่อตนอย่างจริงใจผ่านสายตาและหัวใจของคนหนุ่ม รวมไปถึงความรู้สึกที่ยินดีจะเสี่ยงเดิมพันครั้งใหญ่ จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่เสียดายชีวิต เห็นได้ชัดว่าหลูเจี่ยนซินยินดีใช้ความสะใจเพียงชั่วครู่ชั่วยามมาพิฆาตความไม่สบอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในใจมาอย่างยาวนาน ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องการคนน่าสงสารที่นิสัยเดินไปบนทางสุดโต่งได้ง่ายเช่นนี้ ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี คาดว่าคนเหล่านี้คงจะเป็นคนเติมดินหลุมศพของลัทธิขงจื๊ออย่างที่มู่จีกล่าวถึงกระมัง อาจารย์โจวเคยยิ้มเอ่ยว่า ใต้หล้าไพศาลมีบัณฑิตเยอะเกินไป ชอบสร้างความรู้จอมปลอมทำตัวเป็นคนถ่อยที่แท้จริงมากเกินไป คิดจริงๆ หรือว่าการแสร้งวางมาดภูมิฐานเช่นนั้น คนบนโลกจะมองไม่เห็น ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย คนประเภทหนึ่งคือกล้าโมโหไม่กล้าพูด อีกประเภทหนึ่งคือคนที่ในใจคอยคิดอยากจะเป็นคนแบบนั้น ดังนั้นอันที่จริงจึงเป็นการสร้างหลุมศพให้ตนเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษที่ผู้คนมากมายมาคอยเติมดินให้หลุมศพราบเรียบไม่ได้แล้ว
อวี่ซื่อพลันเงยหน้าขึ้น
ระหว่างฟ้าดินมีภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่จากจุดที่ห่างไปไกลแผ่ลามมาถึงที่แห่งนี้อย่างว่องไว คือวิชาอภินิหารของขอบเขตบินทะยานอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่แม้แต่เขาอวี่ซื่อซึ่งอยู่ที่นี่ก็ยังสามารถสัมผัสถึงลมปราณมากไพศาลขุมนั้นได้อย่างชัดเจน
สตรีผู้หนึ่งที่สองตาเป็นสีแดงฉานมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายอวี่ซื่อ เอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย รบกวนออกไปจากที่นี่ชั่วคราวก่อน ก่อนหน้านี้สวินยวนเจ้าสำนักกุยหยกถูกข้ากับหย่างจื่อดักฆ่า แล้วยังถูกเซียวสวิ้นไล่ตามเข้าไปในพื้นที่ลับใต้มหาสมุทรที่ถูกอำพรางไว้ พวกเขาต่อสู้กันจนที่นั่นแหลกเละ ไม่เหลือที่ให้หลบหนีได้อีกแล้ว สวินยวนจึงเรียกกายธรรมมาปรากฎตัวที่ชายหาดของมหาสมุทรบูรพา คิดจะแบ่งใบถงทวีปออกเป็นสองส่วน มีความเป็นไปได้มากว่าจะลามเดือดร้อนมาถึงที่แห่งนี้ด้วย”
อวี่ซื่อส่ายหน้ากล่าว “เจ้าแค่ปกป้องข้ากับพวกเซียนจ่าวก็พอแล้ว ข้าอยากจะเห็นในระยะประชิดว่าสวินยวนจะแบ่งใบถงทวีปออกจากกันได้อย่างไรกันแน่”
เฟยเฟยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์พยักหน้ารับ
อวี่ซื่อขมวดคิ้วถาม “แล้วเซียวสวิ้นผู้นั้นล่ะ?”
เฟยเฟยกล่าว “พื้นที่ลับแห่งนั้นประหลาดอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะถูกสวินยวนหลอกไปยังใต้หล้าแห่งอื่นชั่วคราว เป็นไปได้ว่าการหลบหนีครั้งนี้ของสวินยวนก็เพราะจงใจล่อให้เซียวสวิ้นมาติดกับ”
ร่างของนางพลันพุ่งวูบหายไป ครู่ต่อมาก็กลับมาที่นี่ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย “ในที่สุดเซียวสวิ้นก็ออกกระบี่แล้ว”
อวี่ซื่อเงยหน้ามองไป กลางอากาศเหนือมหาสมุทรบูรพาของใบถงทวีป ม่านฟ้าถูกแหวกออกเป็นประตูบานใหญ่ เซียวสวิ้นใช้กระบี่ฟันม่านฟ้าของที่แห่งอื่นแล้วใช้การ ‘บินทะยาน’ กลับเข้ามาในใต้หล้าไพศาล จากนั้นก็ปล่อยแสงกระบี่ประกายแสงเจิดจ้าพร่าตาเข้าใส่กายธรรมหมื่นจั้งของสวินยวน พลังอำนาจไม่เป็นรองกระบี่แรกที่ป๋ายเหย่ส่งออกไปยังฝูเหยาทวีปเลย
แสงกระบี่ที่พลังอำนาจเป็นเอกไร้เทียมทานนั้นมีประกายของแสงน้ำ แสงไฟ แสงสายฟ้าบิดพันเข้าด้วยกัน
เฟยเฟยแหงนหน้ามองไปแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ตาเฒ่าตายแน่”
อวี่ซื่อยิ้ม “เทียบกับเจ้าแล้ว สวินยวนไม่ถือว่าแก่จริงๆ”
เฟยเฟยยิ้มบางๆ จากนั้นกล่าวว่า “ข้าจะไปแย่งเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสมาให้คุณชาย”
อวี่ซื่อคิดจะส่ายหน้า เฟยเฟยกลับพุ่งตัวออกไปแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านหนึ่ง อีกทั้งรากฐานมหามรรคายังไม่ได้รับความเสียหาย จะให้อวี่ซื่อคอยตำหนิหรือขัดขวางอยู่ก็คงมิได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่เฟยเฟยยังใช้เสียงในใจเอ่ยกับเขาสองคำว่า ‘ระวังด้วย’
อวี่ซื่อสาวเท้าเดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่ในจวนโอ่อ่านั้นอย่างไม่กระโตกกระตาก
แล้วทันใดนั้นรอบกายของอวี่ซื่อก็คล้ายว่าอยู่ดีๆ แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็หยุดชะงักอย่างไร้สาเหตุ
ทว่าอวี่ซื่อกลับไม่ได้ตกตะลึงใดๆ ตอนนี้บนร่างเขามีชุดคลุมอาคมที่เฟยเฟยมอบให้ สามารถต้านทานการปล่อยกระบี่อย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินได้หลายครั้งโดยที่ไม่ตาย
อีกทั้งหากชุดคลุมอาคมของอวี่ซื่อโดนเวทกระบี่หรือกระบี่บิน ขอแค่เฟยเฟยไม่ได้อยู่กันคนละทวีป ก็สามารถมาถึงได้ในเสี้ยววินาที
อวี่ซื่อหันไปมองบนหลังคาเรือนหลังหนึ่ง คือบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่บนศีรษะสวมกวานสูง สวมชุดคลุมตัวยาวสีทอง เขาโยนถุงผ้าต่วนสีเหลืองที่เจียวสีหมึกตัวนั้นกำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งแต่ก็ไม่อาจสลัดได้หลุดออกมาเบาๆ
คนผู้นั้นชำเลืองตามองไปยังชุดคลุมอาคมบนร่างของอวี่ซื่อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยากนักที่จะมีสิ่งของใดที่พอได้เห็นแล้วอยากได้ทันที แต่ก็ยังคงเป็นชีวิตน้อยๆ ของข้านี้ที่มีค่ามากกว่าหน่อย”
อวี่ซื่อกุมหมัดกล่าว “คารวะเจ้าสำนักเจียง”
เจียงซ่างเจินยกมือขึ้นโบกเบาๆ “ไม่ได้เรื่องเลย เกรงใจอะไรกัน กว่าพ่อลูกจะได้พบเจอกันไม่ใช่เรื่องง่าย เรียกท่านพ่อก็พอแล้ว วันหน้าจำไว้ว่าให้สาวใช้เฟยเฟยผู้นั้นมาทุบไหล่นวดขาให้พ่อของเจ้าด้วย ถือเสียว่าเป็นการกตัญญูชดเชยส่วนที่ขาดไป”
อวี่ซื่อหลุดหัวเราะพรืด เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “คนหนุ่มที่เจียวสีหมึกให้การปกป้องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เจียงซ่างเจินหัวเราะคิกคัก “เขาน่ะหรือ แลกวิญญาณกับคุณชายหนุ่มคนหนึ่งไปแล้ว คาดว่ารออีกเดี๋ยวพอแม่น้ำแห่งกาลเวลาสลายหายไป คงจะค่อนข้างมึนงง ข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะทำอะไร?”
อวี่ซื่อถาม “เจ้าประมุขเจียงไม่ไปช่วยสวินยวน กลับมาพูดบ่นให้ข้าฟังที่นี่น่ะหรือ?”
“คนที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดอย่างเจ้ายังไม่ฆ่า แล้วจะไปช่วยคนที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้าทำไม? หากข้าผู้แซ่เจียงฉลาดขึ้นมา แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ แล้วพวกเจ้าจะคาดการณ์ได้หรือ”
เจียงซ่างเจินเบ้ปาก “อีกอย่างไอ้ลูกไม่มีพ่ออย่างเจ้าก็คือเศษสวะตัวน้อย เฟยเฟยนังแพศยาผู้นั้นถึงขั้นตัดใจมอบชุดคลุมแห่งชะตาชีวิตให้เจ้าได้ ข้ามันขี้ขลาด อีกอย่างฆ่าเจ้าแล้วเดี๋ยวการค้ากระบี่เล่มหนึ่งก็หายไป ไม่คุ้มกัน ดังนั้นจึงไม่อาจทำอะไรเจ้าได้ แค่เก็บถุงผ้าแพรต่วนสีเหลืองที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนนี้มาได้เปล่าๆ ก็พอใจมากแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!