มีเด็กกลุ่มหนึ่งขี่ม้าไม้ไผ่วิ่งผ่านไปด้วยความสนุกสนาน พวกเขากำลังเล่นพ่อแม่ลูกฉากหามเกี้ยวเจ้าสาว
ก่อนหน้านี้มองเห็นสตรีที่ยืนอยู่ข้างก้อนหินแล้ว อย่างมากสุดพวกเด็กๆ ก็แค่ชำเลืองมองมาหลายครั้งหน่อยเท่านั้น ไม่มีใครสนใจนางจริงจัง หญิงสาวมองดูแล้วหน้าตาไม่คุ้นเคย แล้วก็ดันไม่สวยเสียด้วย
นางออกเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพังต่ออีกครั้ง
สืบสาวเบาะแสไปตามการโคจรของปราณวิญญาณ ในที่สุดก็เจอกับพรรคตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง เป็นเพียงครอบครัวเล็กๆ นับว่าหาได้ยากในใบถงทวีปแห่งนี้
แต่ผู้ฝึกตนบนภูเขาดูเหมือนว่าจะออกไปข้างนอกกันหมด นางจึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยือน สุดท้ายห่างออกไปหลายร้อยลี้ ระหว่างภูเขาสองลูก ไอหมอกท่ามกลางขุนเขาแผ่อบอวล ประหนึ่งน้ำในลำธารที่ไหลริน ระหว่างยอดเขามีพวกผู้ฝึกลมปราณตระกูลเซียนกำลังจัดวางตาข่ายเวทคาถา เพราะต้องการจะจับนกชนิดหนึ่ง จึงทำเหมือนการจับปลาล่างภูเขา นั่นคือไล่ต้อนปลาให้เข้ามาในแห มีผู้ฝึกลมปราณหลายคนคอยทะยานลมสร้างความตื่นตกใจให้กับฝูงนก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างบางส่วนที่ยังไม่อาจทะยานลมได้จึงคอยวิ่งตะบึงอยู่กลางภูเขาไม่หยุด ทำเสียงดังจงใจให้พวกนกบินฮือขึ้นไปด้วยความตกใจ
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายนั่งมองภาพนี้อยู่บนกิ่งไม้ของภูเขาเล็กเตี้ยแห่งหนึ่งอย่างสงบนิ่ง
ดูเหมือนว่าหลังออกจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมายังใบถงทวีป ทัศนียภาพที่ได้เห็นก็ไม่ต่างจากนี้สักเท่าไร มีนกแตกฮือด้วยความตกใจ จากนั้นก็พุ่งเข้าชนตาข่ายใหญ่อย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเทพเซียนบนภูเขาที่เดิมทีมองจักรพรรดิล่างภูเขาเป็นหุ่นเชิดเหล่านั้น รอกระทั่งความตายมาเยือนแล้วจะหันมาอิจฉามดกึ่งกลางภูเขาที่ขอบเขตไม่สูงในสายตาของตนพวกนี้หรือเปล่า
คงจะไม่มีเวลามามัวสนใจกระมัง ความเป็นความตายเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ต่อให้จะเป็นผู้บรรลุมรรคา คาดว่าในสมองก็คงเหลวมีแต่แป้งเปียกไม่ต่างกันกระมัง?
อยู่ดีๆ นางก็อยากหาคนที่พูดคุยด้วยได้สักคน ไม่คาดหวังว่าจะต้องเป็นคนที่พูดภาษาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ จะดีจะชั่วพูดภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ก็ยังดี ตอนนี้หาเจอได้ไม่ง่ายนัก สถานที่เล็กๆ แบบนี้แม้แต่ศาลเทพอธิบาลเมือง ศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำขุนเขาสายน้ำก็ยังไม่มี ผู้คนต้องพูดแค่ภาษากลางของใบถงทวีปเป็นอย่างเดียวแน่นอน น่าเสียดายบัณฑิตลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาทั้งหลาย หากไม่รบตายในสนามรบ คนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ถอยกลับไปยังสำนักกุยหยกและสำนักใบถงแล้ว ซานจวินของห้าขุนเขาแห่งราชวงศ์ใหญ่ก็ต้องตายกันหมดแน่นอนแล้ว ลูกหลานสำนักการค้าก็ยิ่งเผ่นแน่บกันไปหมด ความสามารถในการหาเงินหลบเลี่ยงหายนะร้ายกาจเกินไป ยากที่จะตามตัวเจอได้
ส่วนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ก่อนหน้านี้นางกลับโชคดีได้เจอคนหนึ่ง คือคนที่ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก แล้วก็ไม่เคยเปิดขุนเขาก่อตั้งสำนัก คาดว่านี่ก็คงเป็นผู้ถือตนสันโดษของใต้หล้าไพศาลแล้วกระมัง ตอนนั้นนางเจอเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจ หลักๆ แล้วเพราะคร้านจะลงมือ เนื่องจากก่อนหน้านี้นางไปเยือนจวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีเซียนดินโอสถทองและก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์ แต่พูดคุยกันไม่ใคร่ถูกคอนักก็เลยถูกนางปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้ตายไปหมดแล้ว ถูกต้อง ตอนที่เพิ่งขึ้นฝั่ง ยังมีขอบเขตหยกดิบอีกคนที่นางลืมถามชื่อ เขาเองก็ถูกต่อยตายด้วยหมัดเดียวเหมือนกันไม่ใช่หรือ
ในคลองจักษุของนางมองเห็นชายหนุ่มหญิงสาวที่เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างหลายคนกำลังเดินลงเขามา มีเซียนซือหญิงถือดอกเบญจมาศที่เพิ่งเด็ดออกจากต้นประคองไว้ในฝ่ามือ น้ำค้างแข็งพิฆาตร้อยบุปผา มีเพียงพืชพรรณชนิดนี้ที่ยังออกดอกงดงาม
หญิงสาวสวมชุดผ้าฝ้ายวางสองมือยันกิ่งไม้ ไม่ได้สนใจเซียนซือหญิงทั้งหลาย ยิ่งไม่คิดจะมองดอกเบญจมาศมากไปกว่านั้น ความคิดของนางล่องลอยไปไกล ได้ยินมาว่าใต้หล้าไพศาลมีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ในบรรดาราชินีของร้อยบุปผา ดูเหมือนว่าตำแหน่งเทพของบุปผาชนิดนี้จะสูงมาก ชื่อเรียกที่ไพเราะสง่างามของพวกมันก็มีมากเหมือนกัน อีกทั้งยังน่าฟังอย่างมากด้วย เกสรน้ำค้าง ลักยิ้มทอง ส่วนคำเรียกที่ว่าแก่นตะวันกับอวบอิ่มนั้น ออกจะประหลาดไปสักหน่อย หญิงสาวสวมชุดผ้าฝ้ายชอบคิดเรื่องเหลวไหลพวกนี้ ในอดีตยามอยู่บนเส้นทางการฝึกตนของบ้านเกิดก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าใต้หล้าไพศาลมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย จะต้องมาเยือนที่นี่เพื่อดูให้เห็นกับตาให้ได้ ส่วนเรื่องการรบราฆ่าฟันนั้น สำหรับนางแล้วไม่ได้มีความหมายสักเท่าไร
ก่อนหน้านี้การที่นาง ‘กลับจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์’ ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วจึงมาเยือนใบถงทวีปแห่งนี้ สาเหตุก็เพราะปีศาจใหญ่เจ้าอารามดอกบัวได้ถูกต่งซานเกิงออกกระบี่สังหาร เพราะถึงอย่างไรหากว่ากันในบางระดับแล้ว นางกับเจ้าอารามดอกบัวก็พอจะถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกันได้ แน่นอนว่าถึงแม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนบ้าน แต่แท้จริงแล้วกลับอยู่ห่างกันไกลมาก ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีดวงจันทร์สามดวงลอยอยู่กลางอากาศ ทว่าระหว่างแสงจันทร์ก็แค่มองดูเหมือนใกล้เท่านั้น บางครั้งก็มีแค่เจ้าคนที่ชื่อเย่าเจี่ยเท่านั้นที่จะมาเยี่ยมเยียนนางที่บ้าน
ระหว่างที่ชายหญิงกลุ่มนั้นเดินอยู่กลางภูเขา มีคนบอกว่าเมฆสารทคืนแสงจันทร์ไร้น้ำหล่น ไฟเผาสนแห้งแข็งเพลิงลุกโชน จากนั้นพวกคนที่อยู่ข้างกายก็ขับร้องบทกวี บ้างก็เอามาจากในหนังสือ บ้างก็เป็นความรู้ที่อยู่ในท้องของตัวเอง
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายฟังอะไรไม่เข้าใจสักอย่างจึงเริ่มหงุดหงิด หากเป็นเมื่อก่อนนางคงจะอดทน ขึ้นเขาลงห้วยมาตลอดทาง นางล้วนถือเป็นแค่คนที่ผ่านทางมา เพียงแค่อยากหาคนที่พูดคุยด้วยได้เท่านั้นเอง นี่จึงทำให้นางมีโทสะ พอไฟโทสะลุกโชนก็เคยชินที่จะยื่นสองมือออกมาตบหน้าตัวเอง ความเคลื่อนไหวนี้ไม่เบา ทำให้พวกเซียนซือหนุ่มสาวที่หูดีได้ยิน บางคนสายตาไม่เป็นมิตร บางคนมองนางเหมือนเป็นพวกโจร แล้วก็มีคนที่รังเกียจว่านางหน้าตาไม่งดงามมากพอ? ทว่าพวกคนที่มองนางไม่ต่างจากนกที่บินเข้ามาติดตาข่าย คือคนประเภทที่นางรังเกียจที่สุด
เพียงแต่เมื่อนางมองเห็นแม่นางน้อยหน้ากลมคนหนึ่งเบิกตากว้างด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้ สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายก็ยิ้มกว้าง อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน เพราะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง นางจึงยกมือขึ้นโบก ถือเป็นการทักทายแม่นางน้อยคนนั้นแล้ว
แม่นางน้อยรีบยกมือโบกแรงๆ ทักทายพี่สาวแปลกหน้ากลับคืน พอพวกศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลายพากันมองมาที่นาง นางก็รีบเอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองฟ้าทันที
ทำเอาสตรีที่สวมชุดผ้าฝ้ายยิ้มจนตาหยี แม้นางน้อยหน้ากลมน่ารักเป็นที่สุด
สุดท้ายคนทั้งกลุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร ยิ่งไม่รู้ว่าถูกผีบังตาจนเดินวนกลับขึ้นเขาไปอีกรอบ
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายยังคงใช้สองมือยันกิ่งไม้ไว้เหมือนเดิม ยิ้มถามว่า “เจ้าก็คือเจียงซ่างเจินรึ?”
บุรุษคนหนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้อีกมุมหนึ่ง ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “แม่นางเซอเยว่หน้ากลมๆ ช่างน่ามองยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนใจ”
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายยังคงทอดสายตามองไปไกล เอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่เจ้าคิดจะฆ่าก็ฆ่าได้สักหน่อย”
เจียงซ่างเจินนั่งลงข้างกายนาง รอคอยแสงจันทร์มาเยือนโลกมนุษย์เป็นเพื่อนนาง ถามว่า “เคยเจอเฉินผิงอันหรือไม่?”
นางคิดแล้วก็ตอบว่า “เคยเห็นแวบหนึ่ง ไม่ได้หน้าตาดีเหมือนเจ้า”
เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ “ไม่จริงสักหน่อย”
แต่ดูเหมือนว่าเซอเยว่จะมีนิสัยค่อนข้างดื้อดึง จึงกล่าวว่า “จริงสิ”
เจียงซ่างเจินหยิบเหล้าตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมาดื่มอย่างสำราญใจ ทุกวันนี้คนหมักเหล้าของภูเขาลูกนั้นไม่อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นทุกกาที่ดื่มลงไป บนโลกมนุษย์ก็จะมีเหล้าน้อยลงไปหนึ่งกา
เซอเยว่ถาม “เจ้ารู้จักกับอิ่นกวานหนุ่มคนนั้นหรือ?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “นั่นคือพี่น้องที่สนิทสนมกันอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ทุกวันนี้เป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก มีทุกข์ร่วมต้านจริงๆ แล้ว”
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายยกมือเกาแก้ม ถามชวนคุยว่า “ทำไมไม่ออกไปจากใบถงทวีปเสียเลย? ในช่วงเวลาที่สำนักกุยหยกจะถูกตีแตกไม่แตก เจ้าก็ควรจะพาตัวไปตายที่นั่นแล้ว”
เจียงซ่างเจินดื่มเหล้าจนหมดจึงโยนกาเหล้าทิ้ง เอ่ยหยอกล้อว่า “จิตใจคนวิถีทางโลกพุ่งซัดกรากไหลสู่ที่ต่ำ แต่ข้าจะไหลทวนกระแสไปสู่ที่สูง ต้องการจะไปตะเบ็งเสียงตะโกนอยู่บนยอดเขาสักสองสามประโยค ไม่อย่างนั้นก็จะไม่อาจแสดงให้เห็นถึงมาดอันองอาจของข้าผู้แซ่เจียง”
สตรีชุดผ้าฝ้ายไม่ได้ต่อปากต่อคำ พูดคุยเรื่องพวกนี้น่าเบื่อจะตายไป นางจึงเปลี่ยนไปถามเรื่องใหม่ “พูดภาษาบ้านเกิดของข้าได้ไหม ไม่ได้ยินมานานแล้ว คิดถึงมากเลยล่ะ”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้าถอนหายใจ “แม้แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ข้าก็ยังไม่เคยไป จะพูดภาษาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อย่างไร”
นางถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สู้อิ่นกวานหนุ่มคนนั้นไม่ได้ ตอนอยู่บ้านเกิดของข้า เขาสร้างเรื่องก่อราวไว้เสียใหญ่โต ภายหลังสืบความบางอย่างมาได้ รู้สึกว่าเขาชอบผู้หญิงที่ชื่อหนิงเหยานั่นจริงๆ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าคนรุ่นเยาว์สิบคนอะไรนั่นมีความหมายตรงไหน เพียงแค่รู้สึกว่าบุรุษผู้หนึ่งสามารถชอบผู้หญิงคนหนึ่งได้ขนาดนั้นช่างสุดยอดไปเลย ก็เลยรู้สึกอิจฉาพวกเขาเล็กน้อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!