เด็กหนุ่มบนหอชมน้ำของพรรคเยวียนจวี้ได้เจอกับเฝ่ยหรานโดยบังเอิญ ชั่ววินาทีที่โชคมาพร้อมกับเคราะห์ เดิมทีมีหวังว่าจะได้ติดตามเฝ่ยหรานขึ้นเขาไปฝึกตน ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็ตายไป
หลูเจี่ยนซินแห่งเมืองใหญ่อดีตแคว้นเป่ยจิ้นที่สุดท้ายถูก ‘ตัวเอง’ บีบคอตาย ได้พบกับอวี่ซื่อ หากไม่เป็นเพราะเจียงซ่างเจินสอดเท้ายื่นเข้าแทรก กลับกลายเป็นว่าจะมีโอกาสได้เปลี่ยนจากปลาเป็นมังกร ได้รับโชควาสนาใหญ่ กลายเป็นเจ้านครยังเป็นเรื่องรอง แต่ได้ตีสนิทกับอวี่ซื่อ บวกกับมู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซินอีกคนที่ใช้เขาเป็นตัวพิศมรรคา ก็เรียกได้ว่าเป็นยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดสองแผ่น ต่อให้อยากตายก็ยังยาก
เฝ่ยหรานคิดทบทวนคำพูดประโยคนั้นของอาจารย์โจวอยู่ตลอดเวลา สถานศึกษา สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อมอบอำนาจให้แก่ราชวงศ์โลกมนุษย์ ไม่ยินดีจะบังคับฝืนใจดึงมาเป็นพวกหรือพันธนาการใจคน
สถานศึกษาสามแห่ง สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของลัทธิขงจื๊อ ฟังแล้วเหมือนมีเยอะมาก แต่เอามาวางไว้ในใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาล กลับมีแค่สำนักศึกษาสามแห่งซึ่งมีสำนักต้าฝูเป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้น
ผลคือศาลบุ๋นยังจะบังคับกะเกณฑ์นักปราชญ์วิญญูชนของสำนักศึกษาอีก ไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมกับเรื่องในราชสำนักมากเกินไป ห้ามลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาไปเป็นไท่ซ่างหวงที่อยู่เบื้องหลังแคว้นต่างๆ เด็ดขาด
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างปกครองแคว้นด้วยตัวเอง บนภูเขาหลีกเลี่ยงเรื่องทางโลก ยอดฝีมือชิงชังโลกโลกีย์ แม่ทัพ อัครเสนาบดีทั้งหลาย พวกที่ชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอม วิญญูชนจอมปลอมที่เบียดบังอริยะปราชญ์ตัวจริง แต่ละแคว้นแต่ละสถานที่ ประหนึ่งเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย
เพียงแต่ว่าเฝ่ยหรานสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่า จุดประสงค์ของความรู้อันเป็นรากฐานในการก่อลัทธิตั้งตนเป็นบรรพบุรุษของอาจารย์โจวนั้นคืออะไรกันแน่
ทำอย่างไรถึงจะสามารถแก้ไขปมของโรคนี้ได้อย่างแท้จริง
ลำพังเพียงแค่การอยู่ร่วมกันระหว่างเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์ต่อจากนี้ ก็คือปัญหายากที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
ส่วนสถานะที่แท้จริงของอาจารย์โจว เฝ่ยหรานพอจะเคยได้ยินมาบ้าง
โจวมี่แน่นอนว่าเป็นนามแฝง เคยเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่แท้จริงของใต้หล้าไพศาล
จากคำบอกเล่าของศิษย์พี่เชี่ยอวิ้น อาจารย์โจวเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ มีความรู้ยิ่งใหญ่อย่างมาก
เพียงแต่ว่าความรู้ของเขาไม่ได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋น มีครั้งหนึ่งหลังจากถกปัญหากับผู้อื่นก็ทำให้เขาหมดอาลัยตายอยากโดยสิ้นเชิง ถึงได้หนีห่างมาเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ห่างไกล
บัณฑิตท่านนี้ได้เสนอ ‘สิบสองกลยุทธ์แห่งความสันติสุข’ ให้แก่ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ
ข้อแรก จัดตั้งบทฝึกตนให้กับบัณฑิตในใต้ห้ลา ความหมายคร่าวๆ ก็คือนักปราชญ์ วิญญูชนและอริยะของลัทธิของจื๊อจะแยกกันดูแลบ้าน แคว้นและใต้หล้า
จักรพรรดิฮ่องเต้ของราชวงศ์โลกมนุษย์และแคว้นใต้อาณัติทั้งหมดล้วนต้องเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษา หากไม่ได้เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจะไม่สามารถเป็นผู้ครองแคว้นได้
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทุกท่านล้วนควรได้เป็นอาจารย์ของฮ่องเต้!
วิญญูชนและนักปราชญ์ทำหน้าที่เป็นราชครู
ไม่ว่าจะเป็นสามมหาเสนาบดีเก้ามนตรี หรือสามสำนักหกกรม ขุนนางหลักที่อยู่ใจกลางสำคัญของราชสำนักเหล่านี้ก็ควรจะต้องเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาทั้งหมด
ราชสำนักทุกแห่งจะต้องจัดตั้งตำแหน่งขุนนางตำแหน่งหนึ่งที่สามารถมองข้ามกฎข้อห้ามของพระราชวัง รับผิดชอบคอยจดบันทึกคุณความดีและความผิดพลาดของจักรพรรดิและขุนนางสำคัญทุกคนอย่างละเอียด เอาไว้สำหรับการทดสอบใหญ่ที่จัดขึ้นทุกๆ สามปีของสำนักศึกษา
ข้อที่สอง สังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนทุกคนในใต้หล้าไพศาลให้สิ้นซาก เผ่าปีศาจเซียนดินก็ขับไล่ให้ไปอยู่รวมกันในทวีปหนึ่งแล้วทำการควบคุมอย่างเข้มงวด
หากเผ่าปีศาจเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกร ก่อนและหลังจะเลื่อนขั้นจำเป็นต้องแจ้ง ‘ชื่อจริง’ ให้กับสำนักศึกษาแห่งต่างๆ และศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางจดบันทึกลงในเอกสารคดี
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มนี้ หลังจากเลื่อนเป็นโอสถทองแล้วก็ต้องไปให้ความช่วยเหลือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของพื้นที่ต่างๆ รับรองว่าฝนและลมของพื้นที่ใต้อาณัติจะโคจรอย่างราบรื่นภายในเวลาร้อยปี เป็นฝ่ายลงมือสังหารภูตผีทั้งหลายที่ออกอาละวาดด้วยตัวเอง ทำหน้าที่คล้าย ‘เสี้ยนเหว่ย’ จากนั้นก็เอาคุณความชอบที่ทางสำนักศึกษาบันทึกไว้มาตัดสินว่าพวกมันจะได้รับแต่งตั้งเป็นซานขุย เป็นสุ่ยเซียน หรือว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำไปอีกร้อยปี หากได้เลื่อนขั้นเป็นซานขุย สุ่ยเซียนเมื่อไหร่ ก็เท่ากับว่าได้เปลี่ยนจากฝ่ายน้ำขุ่นเป็นฝ่ายน้ำใสเหมือนวงการขุนนางโลกมนุษย์ หลังจากนี้เส้นทางการเลื่อนขั้นจะไม่ต่างจากเทพวารีแห่งแม่น้ำลำคลอง หรือฝู่จวินของขุนเขาแม้แต่น้อย
ข้อที่สาม บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาห้อยหัวจะต้องเลือกสถานที่สามแห่งให้เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงเข้ากับทักษินาตยทวีป หรดีฝูเหยาทวีปและอาคเนย์ใบถงทวีป ยกตัวอย่างเช่นพื้นที่ตั้งของสำนักอวี่หลงเก่า
จากนั้นก็ค่อยๆ ไปตั้งทัพที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อันดับแรกย้ายพวกมนุษย์ธรรมดา คนที่ไม่เหมาะจะฝึกตนซึ่งเป็นคนในพื้นที่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ออกไปยังเกาะใต้อาณัติของสำนักอวี่หลงทั้งหมดก่อน ต่อมาจึงดึงเอาผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปมาประจำการที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ระยะยาว
ผู้ฝึกตนทุกคนของใต้หล้าไพศาลที่ทำผิดมหันต์ ล้วนจะต้องลงสนามรบอาศัยคุณความชอบในการรบมาต่อชีวิตของตัวเอง
ผู้ฝึกตนอิสระทั้งหมดล้วนสามารถอาศัยผลงานทางการสู้รบมาซื้อยา ตำราลับและสมบัติหนักบนภูเขาได้ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาออกจากเมืองไปเข่นฆ่า ยามที่มีสงครามให้คอยเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมือง หลังจบศึกก็คอยสร้างนครหลายแห่งขยับไปทางทิศใต้อย่างต่อเนื่องโดยใช้กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นจุดศูนย์กลาง บีบให้อย่างน้อยทุกๆ สามสิบปีใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะต้องโยกย้ายกำลังทหารกันครั้งหนึ่ง
สภาพภูมิประเทศของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเอกลักษณ์พิเศษ ผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่จะได้รับการสยบกำราบจากฟ้าดิน ถ้าอย่างนั้นก็ปลูกฝังผู้ฝึกยุทธเต็มตัวให้ได้จำนวนมากพอ แม้ว่าจะได้รับการสยบจากมหามรรคาและปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์เหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณ เพราะผู้ฝึกยุทธสามารถอาศัยสิ่งนี้มาขัดเกลาเรือนกายได้ อีกทั้งธรณีประตูของผู้ฝึกยุทธก็ต่ำกว่าผู้ฝึกลมปราณ เมื่อเป็นเช่นนี้สุดท้ายแล้วกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะกลายมาเป็นสถานการณ์ทางการสู้รบที่ว่า หากไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ทุกคนก็ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ
ผู้ฝึกลมปราณมากมายนอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธ ให้คอยทำหน้าที่ช่วยเหลือสนับสนุน
ข้อที่สี่ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตบินทะยานทุกคนล้วนจะได้รับอิสระเสรีเพิ่มเติม
บุคคลบนยอดเขาเหล่านี้จำเป็นต้องทุ่มเท ทว่าทุกครั้งที่พวกเขาทุ่มเทไปไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตามก็ล้วนต้องได้รับการตอบแทนที่มากยิ่งกว่า
ศาลบุ๋นต้องให้การยอมรับว่าพวกเขาคือ ‘ยอดฝีมืออันดับหนึ่ง’
ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่เดินทางมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางต้องรับรองว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องรบตาย ไม่เสียหายไปถึงรากฐานมหามรรคา แค่ต้องทำในเรื่องที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ยกตัวอย่างเช่นเมื่อการศึกได้เปรียบก็ขยับขยายความได้เปรียบให้แผ่ไปมากขึ้น หากสงครามเกิดความเสียหาย ก็ใช้สมบัติอาคมที่ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตซึ่งผ่านการหลอมใหญ่มาแล้วไปต้านทานการโจมตีของเผ่าปีศาจ หรือไม่ก็สร้างค่ายกลขุนเขาสายน้ำขึ้นมาปกป้องนคร ปกป้องหัวกำแพงเมือง ผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธ
ข้อที่ห้า แต่ละแคว้นแต่ละทวีป นอกจากเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาแล้ว ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางยังต้องสร้างสถาบันการปกครองขึ้นมาอีกเจ็ดสิบสองแห่ง
นอกจากจะคอยตรวจสอบคุณสมบัติในการฝึกตน ทุกปีต้องรับ ‘บรรณาการ’ จากราชสำนักของแต่ละแคว้นแล้ว ยังต้องรับตัวเมล็ดพันธ์ในการฝึกตนของแต่ละสถานที่มาด้วย
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อกลุ่มนี้ นอกจากจะศึกษาวิชาหาความรู้แล้ว เรื่องของการฝึกตนและการทหารก็ไม่ใช่แค่เป็นการวางแผนกลยุทธบนหน้ากระดาษ มีเพียงคำพูดปากเปล่าที่เลื่อนลอยเท่านั้น จะต้องรู้วิชาทั้งหมดในประวัติศาสตร์ด้วย
สุดท้ายสถานที่ทดสอบก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีควันดินปืนลอยคลุ้งไม่ขาด
ข้อที่หก แบ่งเมธีร้อยสำนักที่ความรู้ซับซ้อนมากมายออกเป็นเก้าระดับ มีการเลื่อนขั้นและมีการลดขั้น ไม่ต่างจากวงการขุนนาง
ผู้ที่ไม่ยอมรับให้ขับไล่ออกไปจากเก้าระดับ สั่งห้ามเผยแพร่วิชาความรู้ ทำลายตำราทุกเล่มที่มี บรรพบุรุษของสำนักนั้นจะถูกขังอยู่ในสวนป่ากงเต๋อของศาลบุ๋น
ข้อที่เจ็ด ทำลายความห่างเหินระหว่างบนภูเขาและล่างภูเขา ข้อเสนอแนะหนึ่งในนั้นก็คือการช่วยผลักดันอย่างลับๆ นำผลประโยชน์มาหลอกล่อ ผลักดันให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียน
ข้อที่แปด ปฏิเสธความรู้ของสองลัทธิอย่างพุทธและเต๋า ห้ามสร้างวัดวาอารามทั้งหมด รับประกันว่าลัทธิขงจื๊อจะเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลตามความหมายที่แท้จริง
ข้อที่เก้า ให้ความสำคัญและสนับสนุนสำนักการทหาร สำนักการค้าและสำนักคำนวณเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ยังมีกลยุทธอีกสามข้อที่มีไว้รับมือกับสองใต้หล้าที่เป็นเพื่อนบ้านห่างๆ รวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลโดยเฉพาะอย่างละเอียด
เฝ่ยหรานถอนหายใจ เก็บความคิดวุ่นวายทั้งหมดกลับมา พึมพำกับตัวเองว่า “สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ปีนั้นที่อาจารย์โจวเสนอกลยุทธ์สิบสองข้อนี้ก็เพื่อดึงอำนาจกลับมาให้ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ต้องการให้บัณฑิตมีอิสระเสรีมากกว่าเดิม สร้างความสันติสุขให้กับวิถีทางโลกยาวนานหมื่นปี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!