ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ หลิวสือลิ่วแหงนหน้ามองภาพแขวนสามภาพที่ได้รับควันธูปจากภูเขาลั่วพั่วเงียบๆ
เฉินหน่วนซู่หยิบกระบอกธูปไม้ไผ่อันหนึ่งมาให้ ยกสองมือชูขึ้นสูง หลิวสือลิ่วเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำแล้วค้อมเอวก้มหน้าไปหยิบธูปสามดอกออกมาจากในกระบอกไม้ไผ่
โจวหมี่ลี่บอกกับชายฉกรรจ์ร่างกำยำว่าอีกเดี๋ยวหากเหนื่อยแล้วอยากจะพักเท้าสามารถนั่งบนเก้าอี้ของนางได้
แม่นางน้อยชุดดำชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ด้านหลังพนักเก้าอี้แปะกระดาษแผ่นขนาดเท่าฝ่ามือเขียนคำว่า ‘ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา โจวหมี่ลี่’
หลิวสือลิ่วพยักหน้ารับ
เฉินหน่วนซู่กระตุกชายแขนเสื้อของหมี่ลี่น้อย จากนั้นก็ออกไปจากศาลบรรพจารย์ด้วยกัน ให้หลิวสือลิ่วได้อยู่เพียงลำพัง
พวกนางเดินออกจากประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ จากนั้นก็เดินผ่านประตูด้านนอกของศาล เซียนกระบี่หมี่ที่สวมชุดคลุมสีเขียวตัวยาวสุภาพสง่างาม กับเว่ยซานจวินที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ ตรงหูห้อยห่วงสีทอง ยืนเคียงบ่ากันอยู่นอกประตูใหญ่ ประหนึ่งดอกจือหลันต้นไม้หยกที่ถือกำเนิดเคียงคู่อยู่หน้าสวน
หมี่อวี้ใช้เสียงในใจถามเว่ยป้อ “เจ้ารู้ตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างไร? ใต้เท้าอิ่นกวานไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ”
เว่ยป้อจึงอธิบายให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ที่อาจารย์ป๋ายขยับเข้ามาใกล้อาณาเขตของขุนเขาเหนือก็เป็นฝ่ายบอกกล่าวชื่อแซ่กับภูเขาพีอวิ๋นด้วยตัวเอง เขาเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘ป๋ายเหย่พาสหายรักหลิวสือลิ่วมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว’ ส่วนหลิวสือลิ่วก็เรียกแทนตัวเองว่าเป็นศิษย์พี่ของเฉินผิงอันครึ่งตัว ต้องการมากราบไหว้ภาพแขวนของอาจารย์ที่นี่
หมี่อวี้เอ่ยสัพยอก “พอพูดถึงป๋ายเหย่ผู้นั้น พี่เว่ยต้องตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ?”
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ใครบ้างไม่เลื่อมใส”
คนที่สามารถทำให้เว่ยป้อชื่นชมเลื่อมใสได้มีไม่มาก คนหนึ่งคือป๋ายเหย่ คนหนึ่งคืออาเหลียงที่สลักตัวอักษรลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ และยังมีเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานของแผ่นดินกลาง
หมี่อวี้ส่ายหน้า “ที่บ้านเกิดของข้าไม่มีการพูดคุยถึงคนผู้นี้มากนัก”
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าบัณฑิตผู้นั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่คุณธรรมไม่สอดคล้องกับชื่อเสียง แต่เป็นเพราะจำนวนครั้งที่ป๋ายเหย่ออกกระบี่มีน้อยเกินไปจนไม่มีอะไรให้เอามาพูดถึงได้
นอกจากปีนั้นที่ใช้หนึ่งกระบี่ชักนำน้ำตกหวงเหอมาจากบนฟ้าแล้ว หลังจากนั้นท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานก็ดูเหมือนว่าป๋ายเหย่จะไม่มีผลงานทางการสู้รบอะไรอีก
กระทั่งครั้งนี้ที่เขาปรากฏตัวในฝูเหยาทวีปซึ่งเป็นดินแดนของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว ได้ใช้สามกระบี่สังหารปีศาจบนบัลลังก์ไปตนหนึ่ง
อันที่จริงก่อนจะออกกระบี่สองครั้ง ฮว่อหลงเจินเหรินได้แวะไปเยือนเกาะโดดเดี่ยวนอกทะเลแห่งนั้น ภายหลังป๋ายเหย่จึงได้พกกระบี่ออกเดินทางไกลไปเงียบๆ แล้วใช้หนึ่งกระบี่สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
หมี่อวี้มองไปในประตูใหญ่ บุรุษตัวสูงใหญ่ที่เดินทางมาไกลผู้นั้น หลังจากจุดธูปสามดอกแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะก็ไม่ยอมเอาธูปปักลงในกระถางเสียที น่าจะกำลังพึมพำอะไรอยู่
หมี่อวี้อิจฉาหลิวสือลิ่วผู้นี้อย่างมาก พอมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็สามารถจุดธูปกราบไหว้ได้ทันทีเลย
เซียนกระบี่หยกดิบที่ใช้นามแฝงว่าอวี๋หมี่ มาถึงภูเขาลั่วพั่วนานขนาดนี้แล้วยังไม่เคยได้เข้าไปจุดธูปกราบไหว้ในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาจี้เซ่อ เพียงแต่จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ เป็นหมี่อวี้เองที่บอกว่าจะรอให้ใต้เท้าอิ่นกวานกลับมาบ้านเกิดเสียก่อน รอให้บนภูเขาลั่วพั่วมีคนมากอีกหน่อย จากนั้นค่อยใช้ชื่อ ‘หมี่อวี้’ บันทึกเข้าไปในทำเนียบของศาลบรรพจารย์ ผลคือพอรอทีก็นานหลายปีขนาดนี้ หมี่อวี้รอจนเริ่มหงุดหงิดใจแล้ว เพราะถึงอย่างไรบนภูเขาลั่วพั่วก็มีเรื่องราวไม่น้อย ต้องแทะเมล็ดแตงพลางมองเมฆเคลื่อนผ่านไปผ่านมาเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อย หรือไม่ก็ต้องไปเดินเล่นอยู่บนราวรั้วหยกขาวนอกศาลเทพภูเขา หากเบื่อหน่ายจริงๆ ก็ไปร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวี ไปหาหลิวเสี้ยนหยางชายฉกรรจ์เกียจคร้านเพื่อคุยเล่นกัน คุยถึงเรื่องวิชาและความรู้ของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของตระกูลเซียน คิดว่าในอนาคตจะลากเอาเว่ยซานจวิน ผู้ถวายงานโจวเฝย และยังมีเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นอีกคน เลือกวันฤกษ์ดีเปิดกิจการ จะดีจะชั่วก็จะได้หาเงินเทพเซียนมาให้ภูเขาลั่วพั่วชดเชยปราณวิญญาณสายน้ำได้บ้าง
ทุกเรื่องพวกนี้ น่าสนใจก็ส่วนน่าสนใจ สบายใจก็ส่วนสบายใจ แต่โอกาสที่จะได้ทำเรื่องเป็นการเป็นงาน ถึงอย่างไรก็ยังมีน้อยเกินไป
หมี่อวี้อยากจะทำความรู้จักกับเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาอยู่มาก หาโอกาสแอบใช้กระบี่ลอบฟันร่างทองของนางดูสิว่าดีของนางใหญ่แค่ไหนกันแน่
อยู่ที่บ้านเกิด หมี่อวี้มีโอกาสคบค้าสมาคมกับเทพขุนเขาสายน้ำที่แท้จริงน้อยครั้งมาก คิดไม่ถึงว่าอยู่ในแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ทุกหนทุกแห่งจะมีแต่ศาลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แคว้นหูของนครลมเย็นแห่งนั้น หมี่อวี้อยากจะไปเยือนมาตั้งนานแล้ว ส่วนสวี่หุนเจ้านครก็ถูกหมี่อวี้มองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว เพราะสวี่หุนถูกเรียกขานว่าเป็นบุรุษที่เกลือกกลิ้งอยู่ในกองผงชาดเครื่องประทินโฉม (หรือเปรียบเปรยว่าคลุกคลีอยู่กับพวกสตรี) นอกจากนี้หมี่อวี้ก็ยิ่งอยากยืนยันให้แน่ใจว่าเจ้านครสวี่ที่ช่วงชิงตำแหน่ง ‘บุคคลอันดับหนึ่งเบื้องล่างห้าขอบเขตบน’ ของแจกันสมบัติทวีปกับหวงเหอแห่งศาลลมหิมะ เสื้อเกราะโหวจื่อบนร่างของเขาที่เป็นสมบัติสืบทอดของตระกูลหลิวเสี้ยนหยางชิ้นนั้น หลายปีมานี้สวมอยู่บนร่างแล้วพอดีตัวหรือไม่
ส่วนทางฝั่งของภูเขาตะวันเที่ยงที่ได้รับการกล่าวขานว่า ‘วิถีแห่งกระบี่หลายเส้นทอดยาวสู่ยอดเขา สิบเซียนกระบี่แห่งยอดเขาสูงสิบแห่ง’ ของแจกันสมบัติทวีปนั้น ก็เพิ่งจะมีบรรพบุรุษเซียนกระบี่ที่ออกมาจากการปิดด่าน ตอนนั้นหมี่อวี้นั่งงีบหลับอยู่ริมลำคลองติดร้านตีเหล็กเป็นเพื่อนหลิวเสี้ยนหยาง พอได้ยินหลิวเสี้ยนหยางเอ่ยสามคำว่า ‘เซียนกระบี่ผู้เฒ่า’ ก็ทำเอาหมี่อวี้สะดุ้งโหยง ชั่งน้ำหนักว่าขอบเขตหยกดิบของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างตนนี้จะมีโอกาสได้แลกชีวิตกับขอบเขตเซียนเหรินของแจกันสมบัติทวีปหรือไม่ รายงานขุนเขาสายน้ำที่หลิวเสี้ยนหยางยื่นให้เขาฉบับนั้น ถือเป็นรายงานแสดงความยินดีของบนภูเขาโดยเฉพาะ เพราะใช้กระดาษสีฟ้าลงด้วยอักษรสีทอง
หมี่อวี้อ่านรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับนั้น ถ้อยคำยกยอสรรเสริญเกินเหตุทั้งหลายบรรยายเสียราวกับว่าตาเฒ่าไม่ได้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ แต่เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว หมี่อวี้ล่ะอัดอั้นนัก มารดาเจ้าเถอะ แค่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเล็กๆ แค่นี้ก็ต้องปิดด่านนานถึงร้อยปีเชียวหรือ? การที่ข้าผู้อาวุโสถูกเรียกขานว่าเป็นเซียนกระบี่ปักบุปผาใหญ่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ซึ่งเป็นถ้อยคำชมเชยที่คล้ายคลึงคำว่า ‘บุคคลอันดับหนึ่งในหยกดิบ’ เหตุผลหนึ่งที่สำคัญก็ไม่ใช่เพราะว่าช่วงเวลาการปิดด่านนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ไปเกือบครึ่งปีหรอกหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!