กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 717

เพ่ยเซียงตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะบ่นว่า “แรงหนุนที่มิอาจดูแคลนเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเจ้าบอกกับข้าเลย?”

เจียวหลงขอบเขตก่อกำเนิดตัวหนึ่ง!

สามารถมองเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบครึ่งตัวได้เลย!

เจียวน้ำที่เกิดมาก็มีเรือนกายแข็งแกร่งควบคู่กับวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตเช่นนี้ ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เว้นจากผู้ฝึกกระบี่แล้ว ใครเล่าจะกล้าไปหาเรื่องง่ายๆ?! โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับสายน้ำใหญ่ทั้งหลาย หากผูกปมแค้นกันขึ้นมาก็เท่ากับเทียบเชิญที่พญายมราชเป็นผู้ส่งมาให้ รับไว้ก็ตาย ไม่รับไว้ก็ตายเหมือนกัน

หากสวี่หุนแห่งนครลมเย็นไม่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว และในฐานะผู้ฝึกตนสำนักการทหาร พลังพิฆาตของเขาจึงรุนแรงมากจนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่มีเจียวน้ำตัวนี้ช่วยคุมหลังให้ บวกกับจูเหลี่ยนอีกคน ภูเขาลั่วพั่วก็สามารถงัดข้อกับนครลมเย็นซึ่งๆ หน้าได้แล้ว

“แม่นางหงเซี่ยเดินลงน้ำกลายเป็นเจียว สามาถทำให้เพ่ยเซียงสบายใจขึ้นได้ก็ดีแล้ว”

จูเหลี่ยนหัวเราะ เผชิญหน้ากับอาการตกตะลึงของเพ่ยเซียง เขาได้แต่พูดเช่นนี้ ไม่อาจพูดไปมากกว่านี้ได้อีก

ไม่บังเอิญเลยที่ยามอยู่บ้านเกิดของเขา หงเซี่ยไม่กล้าพูดอะไรบนภูเขาลั่วพั่วเลยด้วยซ้ำ

หากจูเหลี่ยนจำไม่ผิดล่ะก็ แม้แต่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อ หงเซี่ยก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้ง

ตอนนี้คนที่จูเหลี่ยนค่อนข้างเป็นห่วงก็คือเฉินหลิงจวินที่เดินลงแม่น้ำจากลำน้ำใหญ่ในอุตรกุรุทวีปมากกว่า

ในเมื่อจนถึงวันนี้ยังไม่มีข่าวส่งมาที่แจกันสมบัติทวีปก็หมายความว่าเฉินหลิงจวินยังไม่ได้เดินลงน้ำ

ไม่ใช่ว่าเขาถือสาอยากให้ผลลัพธ์ในการเดินลงน้ำของเฉินหลิงจวินเหนือหงเซี่ยไปไกล จูเหลี่ยนแค่กังวลว่าด้วยนิสัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของเฉินหลิงจวิน ออกไปอยู่ข้างนอก ไม่มีใครให้การดูแล ย่อมง่ายที่จะต้องเสียเปรียบ ด้วยนิสัยนั้นของเฉินหลิงจวิน หากอยู่บ้านเกิดยังนับว่าดี ถึงอย่างไรก็ยอมรับชะตากรรมมานานแล้ว ไม่มีนิสัยยอมตายแต่ก็ต้องรักหน้าตาเอาไว้อีกต่อไป แต่เรียกให้ไพเราะเสียใหม่ว่า ‘บุญคุณความแค้นเป็นเรื่องของหมัดหนึ่งหมัด’ ทว่าไปอยู่ข้างนอก คาดว่าคงจะชอบตบหน้าทำตัวให้เป็นคนอ้วนอีกครั้งอย่างแน่นอน

เพ่ยเซียงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง นางเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งลงมาจากต้น ยื่นส่งให้จูเหลี่ยน

จูเหลี่ยนโบกมือ ยิ้มกล่าว “คนยิ่งหน้าตาอัปลักษณ์ถึงยิ่งชอบปักบุปผา เจ้าเอาไปปักเองเถอะ”

พื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต มีประเพณีนิยมที่บุรุษจะปักบุปผา ไม่อย่างนั้นรุ่นหลังจะมีหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อได้อย่างไร

เพ่ยเซียงถลึงตาใส่เขา ทว่ากลับยังเหน็บดอกไม้ไว้บนผม

จูเหลี่ยนสามารถทะยานลมเดินทางไกล เพ่ยเซียงเองก็เป็นเซียนดินก่อกำเนิด หากเกิดอารมณ์อยากจะทะยานลมก็ไม่ต้องสนใจแล้วว่าใต้ฝ่าเท้ามีเส้นทางให้เดินหรือไม่ จูเหลี่ยนมาถึงสันเขาแห่งหนึ่งของภูเขาฉีตุนที่ห่างไกลไร้ผู้คน เพียงแต่ว่าค่อนข้างอยู่ไกลจากที่ตั้งศาลของซ่งอวี้จาง

จูเหลี่ยนเอาสองมือไพล่หลังยืนอยู่บนกิ่งต้นสนโบราณต้นหนึ่งแล้วยิ้มอย่างชอบใจ

มองเห็นภูเขาลั่วพั่วได้แล้ว

เพ่ยเซียงนั่งอยู่บนกิ่งไม้ สองนิ้วแตะดันดอกไม้ที่อยู่ตรงจอนผมริมหูเบาๆ

จูเหลี่ยนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “บ้านไหนกล้าแขวนป้ายสงบสุขปลอดภัย เต้าหู้ผักเขียวมีความสันติสุข ได้กินอิ่ม ได้สวมอุ่น วันนี้นอนหลับ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ก็คือวิถีทางโลกที่สงบสุขของมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ”

เพ่ยเซียงเอ่ยสัพยอก “ไม่ใช่ว่าข้าหลงตัวเองหรอกนะ แต่เจ้าและข้าจะถือว่าเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?”

จูเหลี่ยนเงยหน้ามองฟ้า เอ่ยเบาๆ ว่า “ต่อให้จะอยู่เบื้องล่างคนแค่คนเดียว ก็ล้วนถือเป็นคนธรรมดาทั้งสิ้น”

ที่บ้านเกิดเดิมของจูเหลี่ยน ต่อให้เด็กรุ่นหลังอย่างติงอิงจะมีขอบเขตวิถีวรยุทธสูงกว่า แต่หากพูดถึงสภาพจิตใจแล้วกลับไม่แน่เสมอไป ติงอิงถือเป็นคนที่ถือกำเนิดขึ้นได้เพราะโชคชะตา ลุกผงาดขึ้นมาเพราะโอกาสอำนวย วิชาหมัดสูงหรือไม่ อันที่จริงในสายตาของจูเหลี่ยนล้วนถือเป็นของนอกกาย

หากอิงตามคำอธิบายของเผยเฉียนในภายหลัง อย่างน้อยที่สุดติงอิงก็ไม่สามารถเป็นเหมือนจูเหลี่ยนในปีนั้นได้ ถึงขั้นที่สามารถพูดได้ว่า เส้นทางที่มารร้ายติงอิงก้าวเดินในภายหลังก็คือทางเส้นเดียวกับที่คนคลั่งวรยุทธจูเหลี่ยนเคยเหยียบเดินผ่านมาก่อน

กวานสูงของตระกูลเซียนชิ้นนั้นเป็นของที่จูเหลี่ยนโยนทิ้งให้ติงอิงตอนเป็นหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจ

จูเหลี่ยนใช้กำลังของคนคนเดียวสังหารยอดฝีมือในใต้หล้าเก้าคน ในสายตาของเขาข้างกายล้วนว่างเปล่าไร้ผู้คน

เพียงแต่จูเหลี่ยนไม่ได้รู้สึกว่านั่นคือวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไร ยังอยู่ห่างจากสิ่งที่คิดไว้ในใจไกลนัก

ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสบนภูเขาลั่วพั่วท่านนั้น เขาได้อยู่ในจุดที่สูงและห่างไกลในใจของจูเหลี่ยนเรียบร้อยแล้ว จูเหลี่ยนต้องก้าวเดินไปทีละก้าวถึงจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

หนึ่งในภาพเหมือนสามภาพที่แขวนบนภูเขาลั่วพั่ว ก็มีชุยเฉิงผู้ฝึกยุทธเป็นหนึ่งในนั้น

ส่วนคนที่ชักนำผู้เฒ่าที่ในอดีตเคยสติฟั่นเฟือนนานถึงร้อยปีกว่ามายังภูเขาลั่วพั่ว ก็คือภิกษุวัยกลางคนที่อุ้มบาตรออกเดินทางไกล สุดท้ายทุกฝีเท้าที่ก้าวเดินมีดอกบัวผุดขึ้นมา

เพ่ยเซียงยื่นนิ้วออกไปชี้ “นั่นก็คือภูเขาลั่วพั่วหรือ?”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “รอบน้ำล้วนมีแต่ภูเขา รอบภูเขาล้วนมีแต่น้ำ มองไปต้นไม้เขียวครึ้มชอุ่มทั้งดกดื่นทั้งงดงาม คือบ้านเกิดข้าเอง”

เพ่ยเซียงเอ่ยหยอกล้อ “เปรี้ยวขนาดนี้เชียว (เปรียบเปรยว่าฟังแล้วเข็ดหู เข็ดฟัน) ทำปลาผักดองเก่งมากหรือ?”

เพราะจูเหลี่ยนเคยพูดล้อเล่นด้วยการเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่าตัวเองมีฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง วิชาหมัดพอใช้ได้ พิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดก็แค่พอถูไถ

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ “เพ่ยเซียงเจ้าบังเอิญพูดถึงเรื่องนี้พอดี ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเตือนเจ้าสักคำ อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว นอกจากคุณชายแล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดถึงปลาผักดอง ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกจดบัญชีได้ง่าย”

ท่ามกลางม่านราตรีที่ธารดวงดาวส่องประกายแสงระยิบระยับ คนทั้งสองกลับมาเดินบนเส้นทางของภูเขาฉีตุนกันอีกครั้ง จูเหลี่ยนฝึกท่าเดินนิ่งไปอย่างเนิบช้า เพ่ยเซียงไม่มีอะไรทำจึงเงยหน้าชมทัศนียภาพรอบด้าน

สุดท้ายมาถึงเนินสูงแห่งสุดท้ายบนภูเขาฉีตุน จูเหลี่ยนเก็บหมัด ทอดสายตามองทิศไกล อยู่ดีๆ ก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ตื่นจากฝันคือการกระโดดหน้าผาครั้งหนึ่ง”

เพ่ยเซียงยิ้มถาม “หมายความว่าอะไร?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ไม่มีความหมาย

เพ่ยเซียงจึงไม่ได้ใคร่ครวญคำพูดประโยคนี้ให้ลึกซึ้ง

บางครั้งคำพูดของจูเหลี่ยนก็แปลกประหลาดจนทำให้คนจับต้นชนปลายไม่ถูก

นางอดไม่ไหวนึกถึงเจียวน้ำที่เป็นขอบเขตเดียวกับตนตัวนั้นขึ้นมาอีก “งูเหลือมใหญ่ตัวนั้นเดินลงน้ำได้ราบรื่น ช่างโชคดีจริงๆ เป็นเพราะว่าชื่อจังหวัดหลงโจวของต้าหลีพวกเจ้า ชื่อหลงโจว (จังหวัดของมังกร) นี้ตั้งได้ดีใช่หรือไม่?”

จูเหลี่ยนกล่าว “ต่อให้ชื่อหลงโจวจะดีแค่ไหน ก็ไม่ดีเท่าชื่อของคุณชายข้าหรอก”

เพ่ยเซียงยื่นนิ้วข้างหนึ่งมานวดคลึงหว่างคิ้ว ปวดหัว

จูเหลี่ยน จูเหลี่ยน หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่ออีก ข้าจะสงสัยเรื่องหนึ่งแล้วนะ

จูเหลี่ยนเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “หมามองเขาแวบหนึ่ง เขามองข้าแวบหนึ่ง ข้ามองฟ้าดินแวบหนึ่ง เป็นจริงจริงๆ หรือ? ยิ่งนานข้าก็ยิ่งไม่แน่ใจ”

และไม่นานจูเหลี่ยนก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เป็นเพียงแค่คำพูดเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนเท่านั้น เพ่ยเซียงอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”

เพ่ยเซียงถาม “หากข้าถามเจ้า เจ้าตอบคำถามข้า จะไม่ใช่ว่าสามารถช่วยพิสูจน์ให้เจ้าได้หรอกหรือ?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้าเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจริงหรือไม่ ถามไปก็เสียเวลาเปล่า ตอบไปก็เสียเปล่า”

เพ่ยเซียงมีไฟโทสะเล็กน้อย

เพียงแต่ว่านางปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว จูเหลี่ยนตรงไปตรงมากับตนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นตนเป็นคนนอกแล้ว

เพ่ยเซียงถาม “ถ้าอย่างนั้นใครกันถึงจะให้คำตอบเจ้าได้?”

จูเหลี่ยนยกมือชี้นิ้วไปที่ม่านฟ้า ก่อนจะชี้นิ้วไปยังจุดที่ห่างไปไกล สุดท้ายปรบมือเบาๆ “ตะวันจันทราอยู่บนฟ้า หนึ่งคำว่าสว่าง ใจข้าสว่างไสว คนดีคนหนึ่ง หากคนผู้นี้เป็นคนบอกคำตอบแก่ข้า ข้าก็จะเชื่อ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!