กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 730

สรุปบท บทที่ 730.3 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 730.3 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 730.3 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายรายล้อม หากไม่เป็นเพราะมีเซียนกระบี่นอกเหนือจากป๋ายเหย่ออกกระบี่ขัดขวาง เกรงว่าอวี๋เสวียนคงต้องถูกเด็กหญิงมัดผมแกละคนหนึ่งต่อยให้ร่วงลงมายังโลกมนุษย์แล้ว

เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าโจวมี่ผู้นั้นไม่รู้ร่ายใช้วิธีการอะไร ถึงสามารถปิดฟ้าข้ามทะเล เอาดวงจิตเม็ดหนึ่งฝังมาไว้ในยันต์ได้ แล้วก็คอยติดตามเขามาตลอดทางจนมาถึงที่นี่ แม้กระทั่งอวี๋เสวียนเองก็ต้องรอให้ร่างลดลงพื้นก่อนถึงอาศัยสัญชาตญาณทำให้สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ ‘ทุบไหที่แตกให้แหลก’ ไปเลย ยินดีทำลายยันต์ที่เหลืออยู่ซึ่งเป็นวัตถุที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาให้แตกสลายไปสิ้น ดีกว่ายอมให้เรื่องไม่คาดฝันหนึ่งในหมื่นนั้นเกิดขึ้น และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการกระทำนี้ของฝูลู่อวี๋เสวียนถือว่าเดิมพันถูกต้อง

โจวมี่ถึงขั้นคร้านจะเก็บเอาดวงจิตที่ใช้แสงจันทร์แห่งชะตาชีวิตของเซอเยว่ช่วยอำพรางกลับมาด้วยซ้ำ เลือกที่จะสลายหายไปพร้อมกับยันต์สีทองแผ่นนั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกปรมาจารย์มหาปราชญ์กักตัวไป

นอกซากปรักตำหนักดวงจันทร์แห่งนั้น ฝูลู่อวี๋เสวียนพลันนั่งแปะลงบนพื้น ในมือถือฝักกระบี่ไท่ป๋ายที่ป๋ายเหย่กำชับไว้ว่าต้องเอาไปคืนให้กับอารามเสวียนตูใหญ่ ผู้เฒ่าพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ท่านย่ามันเถอะ จะไม่เป็นวีรบุรุษอีกแล้ว”

เพียงแต่ไม่นานผู้เฒ่าก็ลูบหนวดยิ้ม “ช่างแม่งกับขอบเขตสิบสี่มันเถอะ ข้าผู้อาวุโสสะใจนัก!”

ก้มหน้าลงมอง บนหนวดเคราสีขาวหิมะมีคราบเลือดติดเกรอะ ลูบหนวดเหมือนบิดหนวดเสียมากกว่า จึงเริ่มก่นด่าเจ้าสุนัขเจี่ยเซิงอีกครั้ง

ด่าจบอวี๋เสวียนกำลังจะลุกขึ้นยืน ไปอยู่ให้ห่างสถานที่อันตรายแห่งนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีกระดาษหนังสือหน้าหนึ่งปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า พลิ้วร่วงลงมาเบื้องหน้าอวี๋เสวียน

ผู้เฒ่าเอื้อมมือไปคว้า ร่างทั้งร่างก็ถูกกระชากพาไปไกล ราวกับว่าฝูลู่อวี๋เสวียนจะถูกหนังสือหน้าหนึ่งพาไปยังธารดาราอันยิ่งใหญ่ไพศาลนั้น

ด้านบนมีบทกลอน ‘กลุ่มดวงดาวพร่างพราวในทางช้างเผือก ดุจกรูเกลื่อนจากอ้อมกอดแห่งมหาสมุทร’

รวมไปถึงประโยคหนึ่งที่อยู่ด้านข้างคล้ายเป็นคำอธิบายว่า ‘ฝูลู่อวี๋เสวียน ผสานมรรคาที่นี่’

อวี๋เสวียนยืนอยู่บนยันต์ที่พลันขยายใหญ่เหมือนเรือกลวง คล้ายกำลังเดินทางไกลอยู่บนมหามรรคา ดุจเซียนล่องลอยอยู่บนมหาสมุทรดวงดาว

อวี๋เสวียนกราบคำนับตามพิธีการของลัทธิเต๋า

ในทะเลสาบหัวใจมีริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา “อวี๋เสวียนเที่ยงตรงยิ่งใหญ่ไพศาลนัก”

อวี๋เสวียนหัวเราะฮ่าๆ “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว”

ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ โจวมี่คลายตราผนึกฟ้าดินเล็กออก เหยียบย่างเข้าไปยังนกในกรงที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม

โจวมี่หลุดหัวเราะพรืด มือกระบี่สองคนราวกับว่าอยู่กันคนละขอบฟ้า ต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเอง

หลิวชาลุกขึ้นยืนก่อน ฝ่าตราผนึกฟ้าดินของนกในกรงเล่มนั้นกลับคืนไปยังทักษินาตยทวีปอีกครั้ง ฟังจากความหมายของโจวมี่ก็คือ ในเมื่อได้สามทวีปมาแล้ว ต่อจากนี้ก็ต้องให้ผู้รอบรู้คนนั้นอยู่ไม่สุขช่วงบั้นปลายบ้างแล้ว พยายามยึดเอาทักษินาตยทวีปและบุรพแจกันสมบัติทวีปมาให้ได้ในเวลาเดียวกัน สนามรบของนาตยทวีปที่เป็นหนึ่งในนั้นจะยกให้กับหลิวชา ให้เขาถามกระบี่แก่เฉินฉุนอันผู้เดียว เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องสนใจ

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เฒ่าตาบอดสังหารไม่ง่ายสินะ?”

โจวมี่กวาดตามองไปรอบด้าน พยักหน้ารับ “ฆ่าได้ยากกว่าใต้เท้าอิ่นกวานอยู่สักหน่อย”

เฉินผิงอันโยนกาเหล้าในมือใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ถามว่า “สังหารป๋ายเหย่ได้อย่างไร?”

โจวมี่ตอบไม่ตรงคำถาม “เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับไม่เคยเห็นป๋ายเหย่ออกกระบี่ ช่างน่าเสียดายนัก”

เฉินผิงอันเอ่ย “วันหน้าป๋ายเหย่สามารถดูข้าออกกระบี่ได้”

โจวมี่หัวเราะ ประโยคนี้ของอิ่นกวานหนุ่ม ฟังดูแล้วมีพลังองอาจทะยานเข้าไปถึงชั้นเมฆ คนธรรมดาฟังแล้วก็มีแต่จะคิดว่าอิ่นกวานหนุ่มตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร แม้แต่ป๋ายเหย่ก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่โจวมี่กลับรู้ว่า นี่คือเหตุผลข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันบัณฑิตแห่งใต้หล้าไพศาลพูดกับเจี่ยเซิงไพศาล

เรื่องน่าเสียดายมักจะทำให้คนผิดหวังเสมอ

แต่ข้าก็จะยังทำในเรื่องที่ไม่ทำให้คนอื่นผิดหวัง

โจวมี่มองสุนัขไร้บ้านที่ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าเขาพูดจาใหญ่โตอย่างไร้ยางอายหรือควรบอกว่าเขามีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ดีตัวนี้ เขาถึงกับมีน้ำอดน้ำทนกับอีกฝ่ายมากเป็นพิเศษ จึงเอ่ยเนิบช้าว่า “นั่นก็เพราะคนคนหนึ่งไม่เคยผิดหวังอย่างแท้จริงมาก่อน”

เฉินผิงอันหรี่ดวงตาทั้งคู่ลง น้ำเสียงของเขาก็เนิบช้าเช่นเดียวกัน “เคยมีเด็กหญิงคนหนึ่งระหว่างที่เดินทางลี้ภัยหนีเอาชีวิตรอด ได้เห็นกับตาตัวเองว่ามารดาแท้ๆ ของตนแอบสามีกับบุตรสาวกินหมั่นโถว เด็กน้อยเพียงแค่มองภาพนั้นอย่างเฉยชา เจ้าว่านางผิดหวังหรือไม่ สิ้นหวังหรือไม่? ก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน สามารถเปลี่ยนได้ เป็นบัณฑิตแล้วร้ายกาจนักหรือ? ความผิดหวังจะต้องใหญ่กว่าคนอื่นหรือ? ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”

โจวมี่ส่ายหน้า “เหตุผลเป็นเหตุผลที่ดี แต่ยังเล็กไปหน่อย”

อิ่นกวานหนุ่มพลันคลี่ยิ้ม “นั่นมันก็แน่อยู่แล้ว ผู้เยาว์อายุน้อย ความรู้ตื้นเขิน ไหนเลยจะสามารถเปรียบเทียบกับ เหตุ ผล ใหญ่ ของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ได้”

โจวมี่เอาสองมือไพล่หลัง “สรุปแล้วต้องสังหารตัวเองไปกี่มากน้อยกันแน่ ถึงจะยอมรับชะตาอย่างแท้จริง แล้วค่อยเปลี่ยนฟ้าผลัดดินไปทีละก้าว”

สีหน้าเฉินผิงอันไร้อารมณ์

ร่างของโจวมี่หายวับไปแล้ว แม้แต่นกในกรงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงการมาเยือนและการจากไปของคนผู้นี้

เฉินผิงอันคีบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น ยืนยันให้แน่ใจว่าร่างของตนอยู่ในฟ้าดินของใครกันแน่

โจวมีมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ยิ้มเอ่ยว่า “ขี้ขลาดขนาดนี้ เป็นอิ่นกวานได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันเก็บยันต์ลงไป

โจวมี่กล่าว “คาดหวังปราณโชติช่วงของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบของเจ้ามาก”

เฉินผิงอันยังคงไม่เอ่ยอะไร

กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่นอกฟ้าดินสองแห่ง วิญญาณวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่ในอดีตเคยเดินออกมาจากม้วนภาพวาดเริ่มจัดขบวนรบ สามารถลดทอนตบะของโจวมี่ได้มากน้อยแค่ไหนก็แค่นั้น

โจวมี่ยิ้มกล่าว “โอสถทองแตกแล้วแตกอีก ถึงเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้ แล้วก่อกำเนิดล่ะ? ไม่สู้ใช้การถดถอยของขอบเขตผู้ฝึกลมปราณมาแลกเปลี่ยนเป็นขอบเขตปลายทางของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไหมเล่า?”

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หากไม่ได้จริงๆ ก็ทุ่มกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนี้ทิ้งไปก็แล้วกัน

นี่ก็คือท่าไม้ตายสุดท้ายของเฉินผิงอันแล้ว เอาชีวิตหนึ่งชีวิตและกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งมาแลกเปลี่ยนกับมหามรรคาของปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่ง อันที่จริงมูลค่าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งยังคงสูงมาก การค้าครั้งนี้ไม่คุ้มค่า แต่กลับน่าสนใจอย่างถึงที่สุด ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่ง ใครเล่าจะยินดีเอามหามรรคามาแลกเปลี่ยน? คาดว่าหลงจวินคงเป็นคนที่สละทิ้งได้มากที่สุดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังคอยพยายามหยั่งเชิงให้แน่ใจมาโดยตลอดว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสได้ทิ้งวิธีการรับมือไว้เบื้องหลังจริงหรือไม่

ดูเหมือนว่าโจวมี่จะกำลังยืนยันให้แน่ใจว่าการตัดสินใจของอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้น้อยหรือใหญ่เพียงใด

……

สกุลอวี้แผ่นดินกลางร่วมมือกับสกุลหลิวธวัลทวีป ฝ่ายหนึ่งออกแรงออกกำลังคน อีกฝ่ายหนึ่งออกเงิน จากนั้นเผาผลาญโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของอาณาเขตขุนเขาเขียวน้ำใสของราชวงศ์เสวียนมี่แห่งหนึ่ง เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณในรัศมีร้อยลี้แห้งขอด สุดท้ายจึงสร้างประตูใหญ่ที่ข้ามจากทิศเหนือของเกราะทองทวีปมาถึงที่แห่งนี้ขึ้นชั่วคราว แน่นอนว่าหากคิดจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จยังต้องมีคนออกกระบี่ ซึ่งก็คือเซียนกระบี่ที่เคยแกะสลักตัวอักษรซึ่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่าง ฉีถิงจี้

ทุกวันนี้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีข่าวลือเกี่ยวกับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสจากต่างถิ่นท่านนี้มากมายดุจหน่อไม้ที่โผล่ขึ้นหลังฝนฤดูใบไม้ผลิ รายงานขุนเขาสายน้ำต่างสายแทบทั้งหมดล้วนพูดถึงฉีถิงจี้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาผู้นี้ไม่มากก็น้อย รายงานทุกฉบับแทบไม่เคยปฏิเสธเรื่องที่ว่า หากไม่มีฉีถิงจี้ออกกระบี่สังหารปีศาจ ฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปก็มีแต่จะถูกข้าศึกยึดครองเร็วกว่านี้

ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ในสำนักศึกษาโมโหไม่น้อย จึงไปหาตาเฒ่าอวี้ที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตก ขอเหล้ามาดื่มเล็กน้อย แล้วก็ถือโอกาสไปดูด้วยว่าตาเฒ่าอวี้มีของอะไรที่พอจะเอามาใช้ประโยชน์ได้บ้างหรือไม่

ส่วนเผยเฉียนก็พาพี่หญิงเป่าผิงไปพบพี่หญิงไจ้ซี อวี้เจวี้ยนฟู

ผู้ฝึกกระบี่สองคนอย่างจินเจินเมิ่งและจูเหมยออกมาจากสนามรบของเกราะทองทวีปเร็วก่อนใคร ถอยมายังประตูใหญ่ทางทิศเหนือ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนอย่างอวี้เจวี้ยนฟูและเผยเฉียนกลับถอยออกมาช้ายิ่งกว่า

สุดท้ายเหลือแค่เฉาสือคนเดียวที่ยังคงอยู่ที่ทิศเหนือของเกราะทองทวีป

การถามหมัดสี่ครั้งที่เผยเฉียนจะถามต่อเฉาสือจึงได้แต่วางพักไว้ก่อนชั่วคราว เรื่องราวแบ่งเล็กใหญ่ มีเร่งด่วนมีล่าช้า สำหรับเรื่องนี้เผยเฉียนเข้าใจอย่างชัดเจน

สุดท้ายคนทั้งสี่ก็กลับมายังตระกูลอวี้ด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าหลินจวินปี้ก็จะอยู่ใกล้ๆ ด้วย ก่อนหน้านี้หลินจวินปี้เดินทางจากราชวงศ์เส้าหยวนมาถึงราชวงศ์เสวียนมี่ อยู่ที่เมืองหลวงมาครึ่งเดือนกว่าแล้ว เพียงแต่ว่าหลินจวินปี้ออกจากบ้านมาครั้งนี้ไม่ได้ปล่อยข่าวใดๆ ให้คนนอกรับรู้ หากพวกอวี้เจวี้ยนฟูสามคนไม่ได้กลับมายังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หลินจวินปี้อยู่ต่ออีกครึ่งเดือนก็จะกลับไปยังเส้าหยวน

สกุลอวี้คือตระกูลใหญ่ชั้นสูงที่อยู่ระดับบนสุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แตกกิ่งก้านสาขาไปกว้างไกล ทำเนียบวงศ์ตระกูลมีมากมายหลายหีบ และอวี้เจวี้ยนฟูเองก็เป็นทายาทหญิงที่ถูกฝากความหวังไว้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นในอดีตก็ไม่มีทางหมั้นหมายกับ ‘สกุลไหวฉีหลิน’

หลินจวินปี้ จินเจินเมิ่ง จูเหมย คนทั้งสามคนนี้เป็นทั้งผู้ฝึกกระบี่ แล้วก็ยังเป็นทั้งคนของราชวงศ์เส้าหยวน ทุกวันนี้ความสัมพันธ์จึงดีเยี่ยม สนิทสนมกันอย่างมาก

ทุกวันนี้พักอาศัยอยู่ที่จวนสกุลอวี้ที่เป็น ‘ไท่ซ่างหวงของราชวงศ์เสวียนมี่’

อวี้เจวี้ยนฟูทำหน้าที่เป็นเฒ่าจันทรามือสมัครเล่นอีกครั้ง นางลากเอาตัวอวี้ชิงชิงสตรีในตระกูลที่อายุเท่ากันให้มาเล่นหมากล้อมกับหลินจวินปี้

อวี้เจวี้ยนฟูมองสองคน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าจับคู่ได้ถูกต้อง เป็นคู่สร้างคู่สมกันจริงๆ หากไม่ให้กำเนิดเด็กน้อยผิวขาวอมชมพูเนื้อเนียนละเอียดดุจหยกกลุ่มใหญ่ก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ

ส่วนสตรีชุดแดงที่ว่ากันว่ามาจากสำนักศึกษาซานหยาผู้นั้น อวี้เจวี้ยนฟูเพียงแค่ปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาทในทุกๆ ด้าน แค่นี้เท่านั้น นางกับเผยเฉียนคือสหายที่ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมความทุกข์ยากมาด้วยกัน หลี่เป่าผิงกลับเป็นแค่สหายของสหายเท่านั้น เรื่องของการสานความสัมพันธ์กับผู้คนเป็นเรื่องที่อวี้เจวี้ยนฟูไม่ถนัดมาโดยตลอด

อวี้เจวี้ยนฟูพาคนทั้งกลุ่มมายังศาลาอิ่งป่าย สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปของสกุลอวี้ โต๊ะหยกขาวในศาลาเป็นกระดานหมากไปในตัว มีม้านั่งหินแค่สองตัว บนโต๊ะวางโถเก็บเม็ดหมากไว้สองใบ คนที่เล่นหมากล้อมนั่งลงประจำตำแหน่ง คนอื่นๆ ที่เหลือได้แต่ยืนดู ข้อนี้ต้องพิถีพิถันอย่างมาก แน่นอนว่ารอบศาลามีม้านั่งยาวล้อมรั้วเอาไว้ให้นั่ง เพียงแต่ว่าห่างจากกระดานหมากมาค่อนข้างไกลก็เท่านั้น

ในฐานะบรรพบุรุษสกุลอวี้ที่เป็นเสาค้ำยันมหาสมุทรของตระกูลใหญ่ ตอนเด็กหนุ่มเคยเป็นเด็กอัจฉริยะ ได้รับคำเรียกขานว่า ‘เทพผู้องอาจสง่างาม อายุน้อยมีปณิธานยิ่งใหญ่ ใฝ่เรียนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อ่านตำรามากมายหลากหลาย’ ศาลาอิ่งป่ายแห่งนี้ก็คือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่อวี้พ่านสุ่ยบรรพบุรุษสกุลอวี้สร้างขึ้นกับมือตัวเอง เพียงแต่ว่าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน สถานที่แห่งนี้ถูกอวี้พ่านสุ่ยปิดตายไว้นานถึงสามร้อยปีเต็ม เพียงแค่เพื่อเอาไว้เล่นหมากเซียนที่ในอดีตไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีปรากฏในอนาคต

มีคนหนึ่งร้อยหกสิบคนทยอยกันมานั่งลงวางเม็ดหมาก ทว่าทุกคนสามารถวางหมากได้แค่ตาเดียวเท่านั้น ส่วนจะได้ถือเม็ดหมากสีขาวหรือเม็ดหมากสีดำก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงแล้ว

หมากเม็ดดำได้วางก่อนเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ไร้ใดเปรียบ กระทั่งแม่น้ำลำคลองไหลตรงเป็นแนวดิ่ง กลางกระดานแตกพ่าย สถานการณ์ของหมากสีขาวพลิกกลับมาดีเยี่ยม กระทั่งปัญญาชนลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีขาวเข้ามาในศาลา คีบเม็ดหมากสีดำวางลงบนกระดาน จากนั้นก็เอ่ยประโยคหนึ่งว่าไม่ต้องเล่นแล้ว

ทุกคนพอเข้ามาในศาลาแล้วก็กวาดตามองไปรอบด้าน ทัศนียภาพแปลกใหม่ราวกับอยู่ในถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง ต้นป่ายสีขาวเรียงราย ว่ากันว่าเป็นต้นป่ายโบราณที่ทุกต้นมีมูลค่าควรเมือง ถูกย้ายจากจวนเซียนที่มีชื่อว่านครจิ่นกวานเอามาปลูกที่นี่

ต้นไผ่มาจากภูเขาชิงเสิน ต้นป่ายมาจากนครจิ่นกวาน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!