กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 731

ตอนที่เผยเฉียนเดินขึ้นเขา ในมือกำมีดตัดกระดาษไม้ไผ่เหลืองเล่มหนึ่งเอาไว้ ใช้นิ้วโป้งดันด้ามมีดไม้ไผ่เบาๆ ผลักมีดออกจากฝักแล้วผลักกลับคืนเบาๆ

แม้ว่าจะเป็นมีดไม้ไผ่ที่ทำมาจากไม้ไผ่บรรพบุรุษของภูเขาชิงเสินที่มีลักษณะเหมือนมีดตัดกระดาษซึ่งเป็นของประดับห้องหนังสือ ทว่าหากเอามาใช้รับมือกับศัตรู เนื่องจากไผ่เขียวคือไม้ไผ่บรรพบุรุษที่มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ จึงถือเป็นสมบัติอาคมที่สามารถสยบกำราบภูตผีปีศาจได้เป็นอย่างดี

วันนี้เฉินยวนจีเพิ่งจะเดินนิ่งลงมาจากภูเขา เผยเฉียนจึงหยุดเดินอีกครั้ง ยืนหันข้างเพื่อเปิดทางให้ฝ่ายแรก ขณะเดียวกันเผยเฉียนก็เก็บมีดไม้ไผ่ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อด้วย

บนขั้นบันไดตรงยอดเขา จูเหลี่ยนกับหมี่อวี้นั่งอยู่ตรงนั้น ต่างคนต่างดื่มเหล้า จูเหลี่ยนมองเห็นภาพนั้นก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ต่อให้นางได้ไปท่องยุทธภพของปีนั้นอีกครั้ง แม้จะเป็นเส้นทางที่เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่คาดว่าใต้หล้านี้คงไม่มีแม่นางน้อยถ่านดำที่แปะยันต์บนหน้าผาก พร่ำท่องคำว่า ‘ก้าวเดินอย่างองอาจ ภูตผีปีศาจหวั่นกลัว’ อีกต่อไปแล้ว”

ในความทรงจำเดิมของหมี่อวี้ เผยเฉียนยังคงเป็นแม่นางน้อยที่พบเจอกันในกำแพงเมืองปราณกระบี่ปีนั้น เป็นเด็กแก่นแก้วเฉลียวฉลาด ไม่เคยหวาดกลัวเรื่องใด พอหมี่อวี้ได้กลับมาพบกับเผยเฉียนบนภูเขาลั่วพั่วอีกครั้ง เขาก็ค่อนข้างจะตกตะลึงอยู่บ้างจริงๆ ความรู้สึกที่ค่อนข้างจะกะทันหันนี้ของหมี่อวี้ อันที่จริงไม่ต่างจากที่สุยโย่วเปียนรู้สึกเท่าใดนัก

หลังจากหมี่อวี้ขึ้นมาบนภูเขา ความเข้าใจทั้งหมดที่มีต่อเผยเฉียน อันที่จริงล้วนมาจากการคุยเล่นในเวลาปกติกับเฉินหน่วนซู่และโจวหมี่ลี่ แน่นอนว่าหมี่ลี่น้อยที่เดินลาดตระเวนภูเขากับหมี่อวี้ทุกวันได้พูดคุยกับเขามากกว่า เช้าตรู่ของทุกวันหมี่อวี้ไม่ต้องออกจากบ้าน นอกประตูก็จะมีแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลตรงเวลา แล้วก็ไม่เคยเอ่ยเร่งรัด เพียงแค่รออยู่ตรงนั้น หมี่อวี้เคยโน้มน้าวหมี่ลี่น้อยว่าไม่ต้องมารอที่หน้าประตู แต่แม่นางน้อยกลับบอกว่ารอคนเป็นเรื่องที่มีความสุขมากเลยนะ จากนั้นหากได้พบหน้ากับคนที่รอคอยอยู่ก็จะยิ่งมีความสุขเข้าไปใหญ่

คำพูดง่ายๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจนี้ของหมี่ลี่น้อยเกือบทำให้เซียนกระบี่ที่ตอนอยู่บ้านเกิดนอนดื่มเหล้าบนเมฆเรืองรองอย่างสบายอารมณ์มาหลายร้อยปีหลั่งน้ำตาได้ทันที

พอเฉินยวนจีเดินนิ่งไปถึงประตูภูเขาก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก หยุดพักชั่วคราว นางนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างกายเฉาฉิงหล่าง เอ่ยเสียงเบาว่า “เผยเฉียนเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เฉาฉิงหล่างไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าตอนนี้เผยเฉียนต้องหันหน้ามองมาทางตีนเขาอยู่แน่นอน หากตัวเองพูดอะไรมากแม้แต่คำเดียวก็จะต้องถูกจดลงบัญชี

เมื่อก่อนอาจารย์ลู่เคยบอกว่าเด็กหลายคนเติบโตในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ทว่าหลายคนต่อให้ผ่านมาทั้งชีวิตแล้วสุดท้ายก็ยังเป็นได้แค่เด็กที่ผมขาวเท่านั้น ตอนนั้นเฉาฉิงหล่างมิอาจเข้าใจได้เลย

บนขั้นบันไดยอดเขา หมี่อวี้ดื่มเหล้าหนึ่งอึก พลันเอ่ยว่า “เมื่อเทียบกับหมี่ลี่และหน่วนซู่ อันที่จริงข้าไม่ถือว่าชื่นชอบเผยเฉียนสักเท่าไร แต่แน่นอนว่าไม่ได้รังเกียจนาง”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “เป็นเรื่องที่ปกติมาก เผยเฉียนฉลาดเกินไป หลายๆ ครั้งความฉลาดที่มากเกินพอดี เดิมทีก็เป็นกระบี่ยาวที่ไร้ฝักไร้ด้ามเล่มหนึ่ง ออกกระบี่ทำร้ายคนอื่น คนถือกระบี่เองก็บาดเจ็บด้วย”

หมี่อวี้เอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “พูดจาน่าไม่อายสักประโยค ภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเผยเฉียน เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าสบายใจได้หลายส่วนอย่างน่าประหลาด”

บนภูเขาลั่วพั่ว กฎเกณฑ์ไม่มาก ทว่าแต่ละข้อล้วนเป็นกฎใหญ่ วางตัวอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม หมี่อวี้เกียจคร้านรักสบายมาจนเคยชินแล้ว เรื่องเดียวที่พอจะทำได้ก็คือส่งกระบี่ออกไป แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าวันหน้าหากเผยเฉียนลงจากเขาแล้วไม่ใช้เหตุผลกับคนอื่นก่อน เขาก็แค่ต้องตามไปแล้วถามกระบี่กับคนผู้นั้นก็พอกลับกลายเป็นว่าทำให้สาแก่ใจได้หลายส่วน ไม่อย่างนั้นวันหน้ารอให้ใต้เท้าอิ่นกวานกลับมาถึงบ้าน ก็จะดูเหมือนว่าเขาหมี่อวี้กินเปล่าอยู่เปล่ารอความตายไปวันๆ บนภูเขาลั่วพั่วนานหลายปี นั่นจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร เพราะถึงอย่างไรคำพูดของเซียนกระบี่ใต้เท้าอิ่นกวานก็มีเซียนกระบี่แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถรับได้

จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกยุทธ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่บัณฑิต คนหนึ่งกระบี่บินตัดหัว อีกคนหนึ่งตั้งท่าหมัดรับมือกับศัตรู ไม่มีอะไรที่ไม่กล้ายอมรับ สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายแสวงหาก็คืออิสระเสรียิ่งใหญ่ไร้พันธนาการ เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าเคยพูดกับคุณชายไปแล้วไม่น้อย…”

หมี่อวี้รู้สึกปวดหัวแปลบ ยกกาเหล้าขึ้นมา “พวกเจ้าคุยของพวกเจ้าไปเถอะ ไม่ว่าคุยกันแล้วได้ผลลัพธ์อะไรก็ไม่ต้องมาบอกให้ข้าฟังแม้แต่ประโยคเดียว ข้าปวดกบาล”

จูเหลี่ยนกล่าว “แม่หนูเฉินจี และยังมีเจ้าเด็กฉิงหล่างนั่น ถือเป็นกระแสน้ำใสสองขุมที่มีไม่มากของภูเขาลั่วพั่วเรา จุดยืนของคนทั้งสองก็ยิ่งเป็นจุดยืนของขนบธรรมเนียมภูเขาลั่วพั่วเรา”

หมี่อวี้กล่าวอย่างกังขา “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?”

จูเหลี่ยนเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด

หมี่อวี้พลันเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา ปรบมือร้องว่ายอดเยี่ยม ก่อนจะจุ๊ปากพูดเบาๆ ว่า “มีเหตุผล มีเหตุผล”

เผยเฉียนไม่ได้ไปที่เรือนไม้ไผ่ แต่เดินตรงขึ้นเขาไป

ในมือถือมีดตัดกระดาษไม้ไผ่เหลืองที่บรรพบุรุษสกุลอวี้มอบให้ แล้วอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งนำมาส่งต่อให้ตน นี่ถือว่าช่วยเผยเฉียนไปได้มาก ไม่อย่างนั้นเผยเฉียนที่กลับบ้านเกิดโดยต้องข้ามสามทวีปก็จะต้องเป็นร้านผ้าห่อบุญขนาดใหญ่ที่สมชื่ออย่างแท้จริงไปตลอดทาง ข้าวของหลายอย่างไม่แน่ว่าอาจได้แต่ฝากไว้กับอวี้เจวี้ยนฟูก่อน ถึงอย่างไรเรื่องที่ไม่นำทรัพย์สินติดตัวไปให้คนอื่นดูก็เป็นเรื่องที่อาจารย์และศิษย์สองคนรู้ใจกันมานานมากแล้ว พอมีวัตถุจื่อชื่อชิ้นนี้ เผยเฉียนก็ต้องทำการนับทรัพย์สมบัติทั้งหมดแล้วย้ายข้าวของเหมือนมดย้ายรัง ทุกวันนี้ด้านในบรรจุวัตถุบนภูเขาหกสิบเก้าชิ้นที่เผยเฉียนเก็บมาได้จากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบนซากปรักสนามรบเกราะทองทวีป

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูของธวัลทวีป เผยเฉียนหยิบเอาหอกเหล็กของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบออกมา มีระดับอาวุธกึ่งเซียน ก่อนหน้านี้เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋เสวียนเป็นผู้มอบให้ หอกแหลมถูกเผยเฉียนใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าสองหมัดต่อยปลายทั้งสองด้านหักจึงเปลี่ยนมาคล้าย ‘ดาบแคบแหลมคม’ เลยกลายมาเป็นอาวุธสามชิ้นในทันที เป็นดาบคู่กับกระบองเหล็ก บวกกับที่ได้รับการหล่อหลอมจากวิชาอสนีของศาลเหลยกง ระดับขั้นจึงถูกลดทอนไปบ้างเล็กน้อย แต่ไม่มากเกินพอดี สุดท้ายจึงเท่ากับว่าเผยเฉียนมีอาวุธกึ่งเซียนครึ่งชิ้นเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง

ตอนนั้นทำเอาเพ่ยอาเซียงที่มองดูอยู่ปากอ้าตาค้าง แม่นางน้อยแซ่เผยผู้นี้สายตามีแต่เงินหรืออย่างไร? แต่เรื่องที่ผู้อาวุโสเพ่ยใช้ภูเขาเหลยกงมาช่วยหล่อหลอมวัตถุสามชิ้นให้ เผยเฉียนจึงคิดว่าจะมอบสมบัติอาคมให้เขาชิ้นหนึ่งเพื่อถือเป็นการชดเชยให้กับภูเขาเหลยกง เพ่ยอาเซียงไม่ถึงขั้นต้องคิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้ เขาจึงปฏิเสธเผยเฉียนอย่างละมุนละม่อม บอกแค่ว่าวันหน้าให้คนที่ฝึกวิชาหมัดฝึกวรยุทธของศาลเหลยกงกับภูเขาลั่วพั่วมาประลองวิชาหมัดกันมากๆ หน่อย แค่ขัดเกลาวิถีวรยุทธก็พอแล้ว หากมีโอกาสได้พบเจอกันยุทธภพ ไม่แน่ว่าต่างฝ่ายอาจจะช่วยดูแลกันและกันได้ ลูกศิษย์ของสองสายแค่บอกชื่อแซ่ของตัวเองมาก็พอ เท่านั้นก็กลายมาเป็นเพื่อนกันในยุทธภพได้แล้ว

ตอนนั้นเผยเฉียนสีหน้าสดใสเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ถามว่า ‘ผู้อาวุโสเพ่ย ทำแบบนั้นได้จริงๆ หรือ?’

เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว ‘มีอะไรไม่ได้เล่า ภูเขาลั่วพั่วดูแคลนศาลเหลยกงหรือ?’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!