กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 732

ภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลาง

เทพเกราะทองที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดพลันลุกขึ้นยืน สีหน้าเคร่งขรึม กุมหมัดคารวะผู้ที่มาเยือนด้วยความเคารพ

สามารถทำให้เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานให้ความเคารพจากใจจริงได้เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ซิ่วไฉเฒ่าที่กำลังหัวเราะหน้าเป็นทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ผู้นั้น แต่เป็น…ป๋ายเหย่ที่อยู่ข้างกายซิ่วไฉเฒ่า ตอนนี้กลายมาเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่สวมหมวกหัวเสือแล้ว

ผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ถือกระบี่ไปเยือนฝูเหยาทวีป เงื้อกระบี่ฟาดฟันครั้งแล้วครั้งเล่า หากรวมการลงมือของโจวมี่และหลิวชาในตอนท้ายเข้าไปด้วย ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าป๋ายเหย่คนเดียวถือกระบี่เซียนสี่เล่ม ชี้กระบี่ท้าทายปีศาจบนบัลลังก์แปดตน

เพียงแต่ว่าเด็กน้อยในเวลานี้สวมชุดสีขาวสวมหมวกใบใหญ่สีแดง คิ้วตางามพิสุทธิ์ แฝงสีหน้าเย็นชาห่างเหินไว้หลายส่วน พอเห็นเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซาน เด็กชายก็แค่พยักหน้าเบาๆ

ซิ่วไฉเฒ่าเอามือกดลงบนหมวกหัวเสือ “อะไรกัน เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่มีมารยาทแล้วนะ พบเจอกับเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานของพวกเรา…”

เด็กชายยกมือขึ้นปัดมือของซิ่วไฉเฒ่าทิ้ง บอกเป็นนัยแก่เขาว่าแค่พอสมควรก็พอแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าแสร้งทำเป็นช่วยจัดหมวกหัวเสือที่เอียงให้ “ลมบนภูเขาแรง ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะถูกไอเย็นไม่ใช่หรือ?”

ถึงอย่างไรทุกวันนี้จิตวิญญาณของป๋ายเหย่ก็ยังอ่อนแอ จำเป็นต้องมีวัตถุชิ้นหนึ่งช่วยอำพรางความลับสวรรค์ หลีกเลี่ยงไม่ให้บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นั้นตามมาตอแยไม่เลิกรา ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าจึงไปขอสมบัติล้ำค่าของศาลบุ๋นชิ้นหนึ่งมาจากปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลังจากที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เอาภาชนะในการประกอบพิธีการมาจากศาลบุ๋นแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะโน้มน้าวให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ช่วยหลอมให้ด้วย สุดท้ายมันจึงกลายมามีลักษณะเหมือนหมวกหัวเสือใบที่ป๋ายเหย่ชอบสวมเมื่อครั้งยังอยู่บ้านเกิดตอนยังเยาว์

เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานรู้สึกอยุติธรรมแทนป๋ายเหย่จริงๆ จึงใช้เสียงในใจพูดกับซิ่วไฉเฒ่าอย่างเดือดดาลว่า “ซิ่วไฉเฒ่า ทำตัวให้เป็นการเป็นงานหน่อย!”

ซิ่วไฉเฒ่าหดมือกลับมาอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะยิ้มถามเด็กชาย “พวกเราสองคนเดินเท้าขึ้นไปบนยอดเขา หรือจะรบกวนให้ท่านเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานช่วยส่งไปที่นั่นดีล่ะ?”

เด็กชายขยับเท้าเดินนำไปก่อน คร้านจะพูดคุยกับซิ่วไฉเฒ่าแม้แต่ครึ่งคำ เขาคิดว่าจะเดินไปที่ยอดเขาสุ้ยซานเพื่อไปพบกับปรมาจารย์มหาปราชญ์

ชั่วชีวิตนี้ป๋ายเหย่ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนมามากมาย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ด้วยการจับผลัดจับผลูหลายครา มีหลายครั้งที่ป๋ายเหย่เดินทางผ่านภูเขาสุ้ยซาน แต่กลับไม่เคยขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้มาก่อน ดังนั้นป๋ายเหย่จึงอยากอาศัยโอกาสนี้มาเดินเที่ยวชมดูสักหน่อย

ซิ่วไฉเฒ่าเดินตามไปด้านหลังป๋ายเหย่น้อยที่สวมหมวกหัวเสือ หันหน้าไปมองเจ้าโง่ใหญ่ที่คิดจะนั่งกลับลงไปเหมือนเดิมแล้วด่าขำๆ ว่า “ก้นเจ้าออกไข่ฟักลูกเจี๊ยบฝูงหนึ่งได้หรือไง หรือว่าทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลอยู่ตรงนี้สามารถเก็บเงินจากตาเฒ่าได้ ยังไม่รีบมาคุ้มกันอีก? ให้เร็วเลย! พายุลมกรดบนภูเขาสุ้ยซานพัดแรงสวบๆ ขนาดนี้ หากไม่ทันระวังพัดให้หมวกหัวเสือใบนี้ปลิวไปก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพพี่น้อง ถึงเวลานั้นไปเจอกับตาเฒ่าจะฟ้องเรื่องเจ้าก่อนเลย…”

เทพเกราะทองมองข้ามคำบ่นของซิ่วไฉเฒ่าไปโดยอัตโนมัติ เดินตามมาด้านหลังคนทั้งสองเงียบๆ เดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับพวกเขา

การแกะสลักศิลาหินและหน้าผาของภูเขาสุ้ยซาน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือท่วงทำนองด้านการประพันธ์ล้วนยอดเยี่ยมเป็นเอกในใต้หล้าไพศาล ความเสียดายอย่างใหญ่หลวงในใจของเทพเกราะทองก็คือขาดอักษรลายมือของป๋ายเหย่ไปเพียงผู้เดียว

เพียงแต่ว่าเด็กชายสวมหมวกหัวเสือตอนนี้ คาดว่าคงจะพอถือเป็นเจ๋อเซียนอย่างสมชื่อคนหนึ่งได้แล้วกระมัง

ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้ามาเอ่ย “ป๋ายเหย่บทกวีไร้เทียมทาน ใช่หรือไม่ใช่? ภูเขาสุ้ยซานของเจ้ายอมรับหรือไม่ยอมรับ?”

เทพเกราะทองพยักหน้า “ย่อมต้องยอมรับ บทกวีของอาจารย์ป๋ายเปี่ยมไปด้วยมาดองอาจของวีรบุรุษถึงเพียงนั้น”

ในความเป็นจริงแล้วบนยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน เทพเกราะทองได้จงใจเก็บหน้าผาหินขาวว่างเปล่าก้อนหนึ่งไว้โดยเฉพาะ

ต้องรู้ว่าภูเขาที่มีชื่อเสียงบนโลก ส่วนใหญ่มักจะมีเซียนซือบนภูเขาและนักประพันธ์มาช่วยแกะสลักหน้าผาให้เป็นจำนวนมาก นี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมถึงมีคำกล่าวว่านับแต่โบราณมาภูเขาที่มีชื่อได้รับรองอริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาใหญ่ทั้งหลาย ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา พูดถึงแค่บริเวณยอดเขา หน้าผาที่เหลือไว้ให้คนรุ่นหลังแกะสลัก หรือไม่ก็เหลือไว้ให้ตั้งป้ายศิลา แม้แต่พื้นที่ว่างเปล่าเท่าฝ่ามือก็แทบจะเก็บไว้ไม่อยู่ ดังนั้นนี่จึงมากพอจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซาน นอกจากนี้ ‘ผู้นำแห่งเทพภูเขาแผ่นดินกลาง’ ท่านนี้ก็ไม่ใช่คนอย่างซิ่วไฉเฒ่า ทั้งๆ ที่มีความคิดเช่นนี้ แต่กลับไม่เคยป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ ป๋ายเหย่ไม่มาเยือนภูเขาของเขาก็เก็บเอาไว้ ไม่มา ก็เก็บเอาไว้ตลอดไป ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของซิ่วไฉเฒ่า ป่านนี้คงเอากระดาษพู่กันแท่นฝนหมึกไปดักรอป๋ายเหย่ที่หน้าประตูใหญ่แล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าหันขวับกลับมา เต้นผางสบถด่า “ภูเขาสุ้ยซานใหญ่โตมโหฬารถึงปานนี้ แต่กลับไม่มีตัวอักษรของป๋ายเหย่แม้แต่ครึ่งคำงั้นหรือ? เจ้าเป็นเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานประสาอะไร?”

เทพเกราะทองเอ่ย “ไม่อยากไปรบกวนการปิดด่านอ่านตำราของอาจารย์ป๋าย”

ซิ่วไฉเฒ่าร้องเพ้ยหนึ่งที “ความจริงใจของเจ้าไม่มากพอน่ะสิ เจ้าไม่สนิทกับป๋ายเหย่ก็เป็นเรื่องปกติ ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่สามารถเรียกแทนตัวเป็นพี่เป็นน้องกับป๋ายเหย่ หรือถึงขั้นอาศัยบารมีของลูกศิษย์บ้านตัวเองทำให้ลำดับศักดิ์คล้ายจะสูงกว่าครึ่งขั้นได้?! แต่เจ้ากับข้ามีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน ทำไมไม่เห็นเจ้าขอร้องข้าแม้แต่ครึ่งคำเลยเล่า? ขอร้องหรือไม่เป็นเรื่องของเจ้า ตอบตกลงหรือไม่เป็นเรื่องของข้า ลำดับก่อนหลังไม่คิดจะมีหน่อยหรือ?”

โทสะพลันลุกโหมในใจเทพเกราะทอง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “จะให้ปล่อยเจ้าไว้ตรงตีนเขาคนเดียว ให้เจ้าค่อยๆ บ่นเลยดีไหม?”

เด็กชายที่สวมหมวกหัวเสือร่ายวิชากระพือไฟวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตใส่ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ด้านหลังด้วยการแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เด็กชายเดินขึ้นสู่ที่สูงไปเพียงลำพังช้าๆ ชื่นชมทัศนียภาพของภูเขาสุ้ยซานอย่างสบายอารมณ์

ซิ่วไฉเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีทันใด เอ่ยกับเจ้าโง่ใหญ่ด้วยสีหน้ามีเมตตาปราณี “บัณฑิตในยุคหลังมักพูดจาโอ้อวดอย่างไม่ละอาย บอกว่าป๋ายเหย่มีข้อบกพร่องอยู่ที่โคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำที่ไม่เคร่งครัดมากพอ มักจะมีจุดที่ไม่คล้องจองกันเยอะ ดังนั้นบทกวีที่สืบทอดต่อกันมาจึงมีน้อยมาก อะไรที่บอกว่าสตรีเอวยาวแข็งแรงดั่งผึ้งกระโจนหาบุปผา เอาชื่อโคลงเฟิงเยาถี่ (รูปแบบหนึ่งของกลอนที่บทต้นและบทท้ายไม่มีข้อเรียกร้อง ทว่าบทกลางต้องมีเสียงสัมผัสคู่กัน) กดลงบนหัวของป๋ายเหย่ เทียบกับหมวกหัวเสือใบนี้แล้วก็ไม่น่ารักเลยแม้แต่น้อย ถูกหรือไม่?”

เทพเกราะทองมีสีหน้ากังขา หรือว่ามโนธรรมในใจซิ่วไฉเฒ่าทำงานครั้งหนึ่งอย่างหาได้ยาก เลยคิดจะให้ป๋ายเหย่แกะสลักโคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำบทหนึ่งไว้บนหน้าผาของภูเขาสุ้ยซาน?

ซิ่วไฉเฒ่าใช้สายตาบอกเป็นนัยว่าเจ้าโง่ใหญ่เจ้าน่าจะเข้าใจนะ แต่พอเห็นว่าเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานคล้ายจะหัวทึบอยู่เหมือนเดิม ซิ่วไฉเฒ่าที่หันหลังให้ป๋ายเหย่จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วทำท่าถูนิ้วเบาๆ

เทพเกราะทองเกิดหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ แล้ว ขอแค่ซิ่วไฉเฒ่าทำให้ป๋ายเหย่ทิ้งโคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำบทหนึ่งไว้ได้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนปรึกษากันได้ทั้งนั้น จะให้ซิ่วไฉเฒ่ายืมภูเขาสายรองไปสายหนึ่งก็ยังไม่เป็นปัญหา ใช้คุณความชอบสองสามร้อยปีแลกเปลี่ยนมาด้วยกวีบทหนึ่งจากป๋ายเหย่ก็คุ้มแล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าหยุดเท้าไม่เดินหน้า ลูบหนวดยิ้ม ใช้เสียงในใจกระแอมอยู่สองสามที ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “เงี่ยหูตั้งใจฟังให้ดีล่ะ…โคลงสัมผัสของบทกวี กฎเกณฑ์อันคร่ำครึกักขังป๋ายเหย่ของข้าไว้ได้ต่างหากถึงจะแปลก…”

คิดไม่ถึงว่าเด็กชายที่สวมหมวกหัวเสือซึ่งเดินขึ้นสู่ที่สูงเพียงลำพังไปได้หลายสิบก้าวแล้วจะเอ่ยว่า “โคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำไม่ใช่สิ่งที่ข้าถนัดจริงๆ หากท่านเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานได้ฟังกวีโคลงสัมผัสบาทละเจ็ดคำบทใด นั่นต้องเป็นผลงานที่ซิ่วไฉเฒ่าสวมรอยใช้ชื่อข้าอย่างแน่นอน”

ซิ่วไฉเฒ่ทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด วิ่งตุปัดตุเป๋ตามเจ้าคนสวมหมวกหัวเสือไป เตรียมจะยื่นมือไปประคองหมวกให้กลับถูกป๋ายเหย่ที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ามาปัดมือทิ้ง

เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานคุ้มกันคนทั้งสองตลอดทางจนไปถึงยอดเขา กุมหมัดคารวะอาจารย์ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิพลิกเปิดตำราแล้วย้อนกลับไปที่ตีนเขาอีกครั้ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!