กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 744

ท่ามกลางแสงสนธยา แคว้นเล็กห่างไกลแห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ในอำเภอเซียนโหยวจังหวัดชิงหยวน นักพรตคนหนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศเดินทางมาถึงนอกศูนย์ฝึกยุทธแห่งหนึ่ง

เขาบอกว่าตัวเองเป็นเพื่อนรักกับเจ้าศูนย์สวี เท้าของนักพรตหนุ่มสวมรองเท้าผ้าพื้นหนา ท่าทางสะอาดสะท้าน ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวอันหนึ่ง ด้านหลังสะพายกล่องกระบี่เผยให้เห็นด้ามกระบี่ยาวสองเล่ม เล่มหนึ่งทำมาจากไม้ท้อ ทั้งยังสะพายห่อสัมภาระไว้เอียงๆ อีกหนึ่งห่อ

กระบี่ไม้ท้อนี่ คนเฝ้าประตูของศูนย์รู้จัก นักเล่านิทานที่สะพานเคยพูดถึง ทุกครั้งที่นักพรตซึ่งฝึกวิชาเซียนอยู่บนภูเขาลงจากเขาไปหาประสบการณ์ ไม่ว่าจะใช่นักพรตของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์หรือไม่ ส่วนใหญ่ล้วนชอบสะพายกระบี่ไม้ท้อทำท่าให้เหมือนอยู่เสมอ

คนเฝ้าประตูคือลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในศูนย์ฝึกยุทธได้แค่ไม่กี่ปี เพราะว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้วิถีทางโลกภายนอกไม่ค่อยสงบ จึงต้องขอเอกสารผ่านทางจากอีกฝ่าย ในความเป็นจริงแล้วลูกศิษย์ของศูนย์ฝึกยุทธผู้นี้ไม่ได้รู้จักตัวอักษรสักเท่าไร ก็แค่ทำท่าพอเป็นพิธีเท่านั้น ทุกวันนี้คนนอกเข้ามาท่องเที่ยวในอำเภอ ไม่ว่าจะผ่านทางมาเช่ารถม้า ขี่ลา หรือว่าพักเท้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม ก็มักจะถูกนักการของที่ว่าการหรือไม่ก็พวกมือปราบตรวจสอบประวัติความเป็นมาอย่างละเอียดก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ถึงคราวที่ลูกศิษย์ศูนย์ฝึกยุทธต้องมาทำหน้าที่ตรวจสอบหาช่องโหว่

คนเฝ้าประตูคืนเอกสารผ่านด่านฉบับนั้นไป บอกว่าจะไปรายงานก่อน

นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รอคอยด้วยความอดทน

ออกเดินทางไกลครั้งนี้ ตลอดทางที่ลงใต้มา แจกันสมบัติทวีปมักมีสภาพการณ์แทบไม่ต่างไปจากนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ไม่ว่าพบเจอใครก็ต้องป้องกันราวกับระวังโจร แม้แต่ชาวบ้านล่างภูเขาก็ยังระมัดระวังตัวกันอย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่นทุกวันนี้แม้แต่คนเคาะกรับตีฆ้องบอกเวลายามค่ำในอำเภอ ทางฝ่ายที่ว่าการก็ยังจัดหาคนให้มาอยู่ข้างกายคอยติดตามคนบอกเวลา ป้องกันไม่ให้คนชั่วฉวยโอกาสก่อคดี นอกจากนี้ยามค่ำคืนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมืองทั้งหลายก็พากันเปิดประตู เพราะว่าทางราชสำนักได้ออกคำสั่งมานานแล้วว่า ศาลน้อยใหญ่ทุกแห่งที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตล้วนต้องรับประกันว่าควันธูปจะลุกโชนไม่ขาดสาย ให้ที่ว่าการแต่ละระดับในท้องที่ส่งคนไป ‘ขานชื่อ’ เชิญธูปโดยเฉพาะ พวกชาวบ้านจึงต้องตื่นขึ้นมากลางดึก แม้ว่าจะมีคำบ่นมีความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่แท้จริงแล้วเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยพวกนี้ไม่ได้สร้างความอาฆาตแค้นเคืองสักเท่าไร ถึงอย่างไรทุกบ้านทุกเรือนก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้ทุกสามวันห้าวันอยู่แล้ว นอกจากนี้คนมีเงินในอำเภอยังต้องผลัดกันมาเปิดร้านอาหารมื้อดึก จะปล่อยให้ชาวบ้านต้องเหนื่อยเปล่าไม่ได้เด็ดขาด พวกคนจากตระกูลยากจนหรือพวกกำพร้าทั้งหลายกลับกลายเป็นว่าชอบการกระทำนี้ของที่ว่าการ ดังนั้นการมาจุดธูปยามค่ำคืนจึงยิ่งมีใจที่ศรัทธาซื่อสัตย์มากกว่าเดิม ทุกวันนี้จะต้องมีอาจารย์ผู้เฒ่าในโรงเรียน จวี่เหรินหรือไม่ก็ซิ่วไฉที่มียศติดตัวตระเวนไปทั่ว รวมถึงผู้เฒ่าในศาลบรรพชนของแต่ละบ้านแต่ละตระกูล แม้กระทั่งคนแก่อายุเจ็ดสิบกว่าปีก็ยังถือไม้เท้าออกมาคอยช่วยปลอบใจผู้คน หลักๆ แล้วคือพูดว่าทุกวันนี้สงครามด้านนอกต่อสู้กันดุเดือดรุนแรงมาก แต่ขอแค่รบชนะ กองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลีไปจนถึงราชสำนักของบ้านตนก็จะมาชดเชยให้ในเรื่องของภาษี ฮ่องเต้ทรงออกเอกสารอย่างเป็นทางการมาแล้ว จะไม่รังแกชาวบ้านอย่างพวกเราแน่นอน ดังนั้นขอแค่อดทนผ่านไปได้ก็จะได้มีชีวิตที่ดีที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบ ดังนั้นหากใครกล้าไม่รักษากฎในเวลานี้ ไม่เพียงแต่กฎบ้านเมืองจะเข้ามาปกครอง กฎของที่ว่าการเข้ามาควบคุม แม้กระทั่งกฎบ้านของศาลบรรพชนก็จะต้องเอาออกมาใช้ด้วย จะถูกขับไล่ออกจากทำเนียบตระกูล ชาวบ้านอาจไม่เข้าใจว่ากฎบ้านเมืองคืออะไร แต่หากเป็นกฎบ้านล่ะก็ โดยเฉพาะความร้ายแรงของการถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบตระกูลแล้วนั้น ย่อมรู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร

สวีหย่วนเสียก้าวเร็วๆ มาที่หน้าประตูใหญ่ พอเห็นนักพรตหนุ่มที่นอกประตูก็หัวเราะเสียงดังก้องกังวาน ก้าวข้ามธรณีประตูออกมา เอามือกดไหล่จางซานเฟิง ออกแรงเพิ่มเล็กน้อย “เจ้าตัวดี กระดูกแข็งจนใกล้จะเทียบกับพี่ใหญ่สวีได้แล้ว”

ลูกศิษย์ศูนย์ฝึกยุทธที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูรู้สึกสงสัยเล็กน้อย อาจารย์ท่านผู้อาวุโสไม่ได้อารมณ์ดีอย่างนี้มานานมากแล้ว อาจารย์คบหามิตรสหายกว้างขวาง ชอบแจกจ่ายเงินทอง พวกคนที่มาขอกินดื่มเปล่าๆ ที่ศูนย์ฝึกยุทธจึงมีไม่น้อย แต่เสียงหัวเราะบางครั้งที่หลุดออกมาจากปากอาจารย์มักเป็นไปตามวิถีแห่งการรับรองแขกในยุทธภพ เพียงแค่นี้เท่านั้น ทว่าเสียงหัวเราะในวันนี้ดูเหมือนว่าจะหลุดออกมาจากดวงตาของอาจารย์เลยทีเดียว

สวีหย่วนเสียโอบกอดจางซานเฟิงเอาไว้ ใช้ฝ่ามือตบบนแผ่นหลังของนักพรตหนุ่มเบาๆ สองสามที แล้วถึงได้ปล่อยมือออก ถอยไปด้านหลังหลายก้าว พยักหน้าเอ่ย “ยังคงรูปงามเหมือนเดิม หล่อเหลาได้ครึ่งหนึ่งของพี่ใหญ่สวีตอนยังเป็นหนุ่ม”

ได้พบกับสวีหย่วนเสียที่จากกันไปนานแล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง นักพรตหนุ่มพลันพูดอะไรไม่ออก

อยู่บนภูเขาจนเคยชินกับการที่รูปโฉมของอาจารย์และพวกศิษย์พี่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว

เมื่อจางซานเฟิงได้เห็น…ผู้เฒ่าตรงหน้านี้

สีหน้าของเขาพลันเลื่อนลอยไป

เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าหลังตรงเอวตั้ง จอนผมสองข้างออกสีเทา แล้วยังโกนหนวดเคราจนเอี่ยมสะอาด

เกือบจะจำไม่ได้อยู่แล้ว

นักพรตหนุ่มที่ยังคงมีรูปโฉมดุจเดิมพลันนึกขึ้นมาได้ว่าจอมยุทธเคราดกที่เคยอยู่ในวัยฉกรรจ์ผู้นี้ โดยไม่ทันรู้ตัวก็อายุครึ่งร้อยกว่าเข้าไปแล้ว

นี่ก็คือความต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธล่างภูเขากับอาจารย์หล่อหลอมบนภูเขา

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหากสามารถเลื่อนขั้นสู่หลอมลมปราณสามขอบเขต ก็พอจะรักษารูปโฉมให้คงเดิมได้อยู่บ้าง แต่หากไม่อาจเลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทองได้เสียที รูปลักษณ์ก็จะค่อยๆ เสื่อมโทรมแก่ชราจนไม่ต่างจากชาวบ้านในโลกมนุษย์ทั่วไป เส้นผมก็อาจหลุดร่วงหรือขาวโพลนเต็มศีรษะได้เช่นกัน

จางซานเฟิงเก็บความคิดกลับมา กุมหมัดเอ่ยเรียก “พี่ใหญ่สวี!”

สวีหย่วนเสียลากจางซานเฟิงให้ข้ามธรณีประตูไปด้วยกันพลางบ่นเบาๆ ว่า “ซานเฟิง ทำไมถึงมีเจ้าแค่คนเดียว? หากเจ้าเด็กนั่นยังไม่มาอีก ข้าคงยุให้เขาดื่มเหล้าไม่ไหวแล้วนะ”

จางซานเฟิงเอ่ยอย่างจนใจ “ครั้งนี้ข้านั่งเรือข้ามฟากของสำนักพีหมา จำเป็นต้องผ่านท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ผลคือไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ยังไม่ได้พบเฉินผิงอัน คราวก่อนเขาไปอุตรกุรุทวีป ข้าก็ดันไม่อยู่บนภูเขาพอดี”

สวีหย่วนเสียเอ่ยปลอบใจ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องฝืนบังคับ พวกเจ้ายังหนุ่ม”

กล่าวมาถึงตรงนี้สวีหย่วนเสียก็หัวเราะฮ่าๆ “ล้วนยังหนุ่มกันทุกคน”

หลังจากที่สวีหย่วนเสียกลับมาถึงบ้านเกิดก็มาเปิดศูนย์ฝึกยุทธแห่งนี้ อันที่จริงตระกูลของสวีหย่วนเสียคือตระกูลที่มีชื่อเสียงในจังหวัด เพียงแต่ว่าสวีหย่วนเสียออกจากบ้านไปนานเกินไป อีกทั้งยังเป็นสายรอง ดังนั้นจึงถือว่าแยกบ้านออกมาตั้งตระกูลเป็นของตัวเองแล้ว ศูนย์ฝึกยุทธเป็นกิจการต้นทุนน้อย หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่ได้อบรมสั่งสอนจนมีลูกศิษย์ที่เก่งกาจเป็นพิเศษอะไร พวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศูนย์ฝึกยุทธรับเอาลูกศิษย์มาอีกทีก็มีภาพบรรยากาศที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร กิจการไม่ถึงขั้นซบเซา แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ แต่ศูนย์ฝึกยุทธที่ไม่ถือว่าสะดุดตาแห่งนี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางยุทธภพของแคว้นเล็กๆ อันห่างไกล อันที่จริงในสายตาของคนบางคนก็ไม่ถือว่าเรียบง่ายขนาดนั้น เพราะทยอยมีข่าวลือแพร่ออกมาบอกว่าอาจารย์สวีที่วิชาหมัดไม่เข้าขั้นรู้จักเซียนซือบนภูเขาหลายคน อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่อาจารย์สวีไปเป็นทหารในกองทัพชายแดนก็ได้สะสมความสัมพันธ์ควันธูปในวงการขุนนางที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ไว้หลายส่วน อันที่จริงสวีหย่วนเสียรำคาญคำพูดเหลวไหลพวกนี้มาก ข้าผู้อาวุโสมีความสัมพันธ์ควันธูปกับราชสำนักกะผายลมอะไรกัน วิชาหมัดของข้าผู้อาวุโสไม่เข้าขั้น? จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ก็ไม่ถือว่าแย่กระมัง

เพียงแต่ว่าจะโทษที่คนนอกปั้นน้ำเป็นตัวก็ไม่ได้ ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่สวีหย่วนเสียย้อนกลับมายังบ้านเกิดก็ไม่เคยเห็นขอบเขตของผู้ฝึกยุทธเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เพียงแต่จงใจอำพรางความสูงต่ำของวิชาหมัด แม้แต่เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตหกก็ยังไม่เคยบอกเล่าแก่คนนอกแม้แต่คำเดียว ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่ง อยู่ในยุทธภพแคว้นเล็กห่างไกลอย่างบ้านเกิดของสวีหย่วนเสียนี้ ก็ถือว่าเป็นคนดังระดับสูงสุดของยุทธภพได้แล้ว ขอแค่ยินดีเปิดประตูต้อนรับแขก สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพรรคบนภูเขาและวงการขุนนางในราชสำนักบ้าง ก็ยังถึงขั้นมีโอกาสได้เป็นผู้นำของยุทธภพเลยด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นสถานที่เล็กๆ พอวิชาหมัดสูงเมื่อไหร่ บุญคุณความแค้นในยุทธภพก็จะมีมากเมื่อนั้น พวกตะพาบในน้ำตื้นก็จะมากตามไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนเป็นเรื่องที่น่ารำคาญที่สุด

สวีหย่วนเสียเขียนบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งขึ้นมาเป็นการส่วนตัว เดี๋ยวตัดเดี๋ยวลด เดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวเติม เพียงแต่ว่ายังไม่ได้หาสำนักพิมพ์ให้ช่วยจัดพิมพ์ออกมาเสียที

ความองอาจในชีวิตล้วนถูกเกลาไปไว้ในสุรา ทิ้งไว้ในยุทธภพที่เคยเดินผ่านมาในอดีตก็แล้วกัน

มีเพียงได้กลับมาพบเจอกับสหายที่แท้จริงอีกครั้ง มือดาบเคราดกที่ในอดีตเคยเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำมาเพียงลำพังผู้นี้ถึงจะอยากดื่มเหล้าอย่างแท้จริง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!