อ่านสรุป บทที่ 745.2 ภูเขาสายน้ำพลิกกลับค่ำคืนลมหิมะ จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บทที่ บทที่ 745.2 ภูเขาสายน้ำพลิกกลับค่ำคืนลมหิมะ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
เฝ่ยหรานถูกโจวมี่ทิ้งไว้ที่ท่าเรือใบท้อ
ก่อนจะจากไป ดูเหมือนว่าโจวมี่จะบาดเจ็บไม่เบา ถึงขนาดทำให้ขอบเขตสิบสี่บนยอดเขาสูงสุดคนหนึ่งหน้าซีดขาวได้
ตอนนั้นบนร่างของโจวมี่ยังมีปราณกระบี่ที่เฉียบคมอย่างถึงที่สุดและปณิธานของเวทอสนีหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีพายุหมัดแปลกประหลาดอีกขุมหนึ่งที่ปัดเป่าเท่าไรก็ไม่จางหาย
หลังจากเฝ่ยหรานทิ้งตราประทับหนังสือชิ้นนั้นทิ้งไปก็กลับไปที่กระโจมทัพก่อนรอบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหตุใด มู่จีแห่งกระโจมเจี่ยจื่อ หรือควรจะเรียกว่าโจวชิงเกาลูกศิษย์คนสุดท้ายของโจวมี่ได้มารออยู่ที่นั่นนานแล้ว เขาบอกว่าอีกเดี๋ยวจะต้องไปใบถงทวีปพร้อมกับเฝ่ยหราน จากนั้นจึงจะไปถ้ำแห่งโชควาสนาบนเกาะหลูฮวา อันที่จริงเฝ่ยหรานชื่นชมคนหนุ่มผู้นี้มาก เพียงแต่ว่าไม่ค่อยชอบความรู้สึกย่ำแย่ที่เหมือนหุ่นเชิดถูกชักใย หันไปทางไหนก็ชนกำแพงเช่นนี้อย่างยิ่ง ทว่าในเมื่อโจวชิงเกาก็มาแล้ว นั่นต้องเป็นคำสั่งของโจวมี่อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่ว่าตัวเฝ่ยหรานเองคิดเห็นอย่างไร ก็ไม่ได้สำคัญอีกแล้ว
เฝ่ยหรานเพียงแค่ถามคำถามหนึ่ง จุดจบของนครเซิ่นจิ่งในราชวงศ์ต้าเฉวียนแห่งนี้จะเป็นเช่นไร
โจวชิงเกาชิงตอบสองคำ เป็นเหมือนเดิม
เฝ่ยหรานจึงพาโจวชิงเกาย้อนกลับไปที่ยอดเขาจ้าวผิง จากนั้นก็เดินทางลงใต้ไปด้วยกัน เฝ่ยหรานพลิ้วกายลงในนครที่เหลือแต่ซากรกร้างแห่งหนึ่งในโลกมนุษย์ ครั้นจึงเดินขึ้นสะพานหินโค้งที่มีพืชหญ้าเขียวชอุ่มขึ้นเต็มไปด้วยกัน
เฝ่ยหรานที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ สวมหน้ากากหยุดอยู่บนจุดโค้งสูงสุดของสะพานหิน ถามว่า “ในเมื่อต่างก็เลือกที่จะทุ่มเดิมพันอย่างเต็มที่ เหตุใดถึงยังต้องแบ่งทหารออกเป็นสองเส้นทางอยู่ที่แจกันสมบัติทวีปกับทักษินาตยทวีป คิดจะยึดครองหนึ่งในนั้นมา ไม่ยากเลย อิงตามสงครามในทุกวันนี้ นี่ไม่ใช่การสู้รบอะไรอีกแล้ว แต่เป็นการทุบไหที่แตกให้แหลกกว่าเดิม ฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปไม่มีกำลังเสริมไปช่วย แต่กรูกันเข้าไปยังแจกันสมบัติทวีปและทักษินาตยทวีปทั้งหมด มันใช่เรื่องหรือ? กระโจมทัพใหญ่แห่งต่างๆ ไม่มีใครมีความเห็นต่างบ้างเลยหรือ? ขอแค่พวกเราได้ยึดครองทวีปหนึ่งในนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม หากยึดครองแจกันสมบัติทวีปได้ก็ไปทำสงครามกับอุตรกุรุทวีปต่อ ยึดครองทักษินาตยทวีปได้ก็ใช้เกราะทองทวีปเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ เดินทางขึ้นเหนือไปตีหลิวเสียทวีปต่อ ถ้าอย่างนั้นสงครามครั้งนี้ก็สามารถดำเนินต่อไปได้ ต่อให้ตีกันไปอีกหลายสิบปีหรือหนึ่งร้อยปีก็ยังไม่มีปัญหา โอกาสชนะของพวกเราไม่ถือว่าน้อย”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแจกันสมบัติทวีปที่ใช้เมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีเป็นเส้นแบ่งเหนือใต้ของหนึ่งทวีป พื้นที่เลียบมหาสมุทรทางทิศใต้ทั้งหมด แต่ละแห่งล้วนมีเผ่าปีศาจกรูกันปรากฎตัวออกมาจากมหาสมุทรใหญ่อย่างบ้าคลั่ง
โจวชิงเกาเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยสงสัยเช่นนี้ แต่อาจารย์กลับไม่เคยให้คำตอบ”
เฝ่ยหรานยื่นมือไปปาดราวสะพานหยกขาว ในมือเต็มไปด้วยฝุ่น เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามอีกว่า “บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่คิดอย่างไรกันแน่นะ?”
โจวชิงเกาคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ข้าไม่กล้าถามอาจารย์เรื่องนี้”
สุดท้ายเฝ่ยหรานถามว่า “ทำไมไม่ติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์ของเจ้า”
โจวชิงเกายังคงส่ายหน้า “อาจารย์สั่งมา ลูกศิษย์ทำตาม อะไรที่ไม่ควรถามก็จะไม่ถามสักคำ อะไรที่ไม่ควรคิด…ก็จะพยายามคิดให้น้อยลง”
เฝ่ยหรานหันตัวกลับมา เอนหลังพิงราวสะพาน ทิ้งตัวหงายไปด้านหลัง มองท้องฟ้า
ท้องฟ้าว่างเปล่า หัวใจว่างโหวง
หลังจากที่เฝ่ยหรานพอจะฝึกตนจนประสบความสำเร็จบ้างเล็กน้อย อันที่จริงก็เคยชินที่จะมองตัวเองเป็นคนบนภูเขามาโดยตลอด แต่กระนั้นก็ยังแบ่งแยกบ้านเกิดกับใต้หล้าไพศาลได้อย่างชัดเจน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเพื่อกระโจมทัพก็ดี หรือต้องออกกระบี่สังหารคนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ช่าง เฝ่ยหรานล้วนไม่เคยเลอะเลือน เพียงแต่อยู่นอกสนามรบ อย่างอยู่ที่ใบถงทวีปแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เฝ่ยหรานจะไม่เหมือนกับพวกอวี่ซื่อ จวินทาน ต่อให้เป็นโจวชิงเกาข้างกายที่ในใจเลื่อมใสความรู้ของร้อยสำนักแห่งไพศาลอย่างยิ่งผู้นี้ ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงไม่เหมือนกัน
โจวชิงเกายิ้มเอ่ย “ข้าไม่ดื่มเหล้า ดังนั้นจึงไม่ได้พกสุราติดตัวมาด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะแหกกฎดื่มกับพี่เฝ่ยหรานสักครั้งแล้วล่ะ”
เฝ่ยหรานส่ายหน้า “ช่างเถิด สุราดับทุกข์ไม่ควรดื่ม”
หากจะบอกว่าชีวิตคนก็คือการนำวันเดือนปีมาใช้แทนก้อนอิฐที่ถูกปูให้กลายเป็นสะพานโค้งแห่งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ธรรมดาในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด คนวัยสามสิบปี อย่างมากสุดก็วัยสี่สิบปี ก็คงเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดของสะพานได้แล้ว เดินอยู่บนนั้น อยู่บนสะพานสามารถหันกลับไปมองดูได้ แต่กลับไม่มีทางให้เดินกลับไป ดังนั้นตอนเด็กจึงรีบร้อนอยากเติบใหญ่ พอเติบใหญ่กลับกลัวว่าจะแก่ ส่วนผู้ฝึกลมปราณที่เดินขึ้นเขาฝึกตน มองดูเหมือนไม่ต้องตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วหากจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนค่อยๆ เน่าเปื่อยทรุดโทรม อีกทั้งยังไม่มีความหวังจะได้ฝ่าทะลุขอบเขต ก็มีแต่จะทุกข์ทรมานยิ่งกว่ามนุษย์ธรรมดา
เฝ่ยหรานพลันหัวเราะ “ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราท่านนั้นชื่อว่าเฉินผิงอัน แต่กลับดูเหมือนว่าเป็นคนที่ชีวิตยากจะสงบสุขที่สุด พอคิดแบบนี้ อารมณ์ของข้าก็ดีขึ้นได้เยอะเลย”
เฝ่ยหรานหยิบเหล้าออกมาสองกา โยนให้โจวชิงเกาหนึ่งกา อยู่ดีๆ ก็ถามโพล่งขึ้นมาว่า “ใบถงทวีปไม่มีอะไรให้เที่ยวเล่นดู ไม่สู้พวกเราสองคนข้ามถ้ำแห่งโชควาสนาตรงไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปเยี่ยมเยียนใต้เท้าอิ่นกวานเลยดีไหม?”
โจวชิงเกาลังเลตัดสินใจไม่ได้
เฝ่ยหรานตบบ่าอีกฝ่าย “ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มา เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเจ้า ตอนนี้ใกล้จะต้องตอกปิดฝาโลงแล้ว พวกเจ้าต้องมีเรื่องให้ได้คุยกันแน่นอน ขอแค่สนิทสนมคุ้นเคยกัน เจ้าก็จะรู้ว่าเขาพูดมากยิ่งกว่าใครทั้งนั้น”
โจวชิงเกาพยักหน้ารับ จิบเหล้าหนึ่งคำ ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู เงื่อนไขก็คือเจ้าต้องรับรองกับข้าว่าข้าจะไม่ถูกเขาฆ่าตาย”
เฝ่ยหรานยิ้มเอ่ย “ตกลง”
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่ บนหัวกำแพงเมือง ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจสำนักการทหารขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งหอบหายใจหนักหน่วง มือที่จับดาบสั่นสะท้านน้อยๆ
ก่อนหน้าวันนี้ยังมีความคลางแคลงอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้หวนกลับไปยังสถานที่ที่เคยไป ไปกินบะหมี่ปลาไหลที่ปีนั้นไม่ได้กินอีกหรือไม่
ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้หวนกลับคืนไปยังบ้านเกิด กินเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาวที่กินร้อยรอบก็ไม่เบื่ออีกสักมื้อ ถ้วยสุราบนโต๊ะถูกคนเปลี่ยนเป็นจอกสุราให้แทนอีกหรือไม่
พอถึงหน้าร้อนก็จะถูกคนลากไปกินหม้อไฟ จะยังมีคนแก่หลอกตนว่าหนึ่งสิ่งข่มหนึ่งสิ่ง ดื่มเหล้าสามารถแก้เผ็ดได้ ทำให้เขาเผ็ดจนน้ำตาแทบไหลอีกหรือไม่
ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ พอหยิบบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นออกมาอีกครั้ง ตนทั้งรอคอยให้วันนี้มาถึงอย่างยากลำบาก แต่ก็ทั้งคล้ายว่าจะกังวลกับการมาถึงของวันนี้
ทันใดนั้นปรากฎการณ์แห่งฟ้าดินพลันเกิดความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวง เป็นเหตุให้ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่สั่นสะเทือนไม่หยุด เฉินผิงอันพยายามข่มจิตใจให้สงบมั่นคงอย่างสุดกำลัง
ภูเขาสายน้ำพลิกสลับกลับเปลี่ยน
บัณฑิตลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งมายืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง หันหน้ามามองคนหนุ่ม “เจ้าสามารถกลับได้แล้ว”
เฉินผิงอันหยิบปิ่นหยกสีขาวออกมาปักบนมวยผม
เดินก้าวหนึ่งไปถึงบนหัวกำแพง แล้วทรุดตัวลงนั่งยอง “ให้ข้ากินข้าวสักมื้อดื่มเหล้าสักกา รอให้ข้ากินดื่มอิ่มหนำแล้วค่อยตัดสินใจได้หรือไม่?”
ชุยฉานพยักหน้า “เรื่องใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว ทุกเรื่องที่เหลือล้วนเป็นเรื่องเล็ก”
เฉินผิงอันนั่งแปะลงบนหัวกำแพงเมือง ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง บอกว่าจะกินดื่มให้อิ่มหนำ แต่กลับไม่ได้กินข้าวไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่นอนอยู่บนพื้น เบิกตากว้างเหม่อมองม่านฟ้าที่มีลมหิมะอยู่เช่นนั้น “ช่างให้คนรอคอยนานนัก อีกนิดเดียวก็เกือบจะทนทรมานไม่ไหวแล้ว”
——
Next
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!