กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 750

เจียงซ่างเจินรับเหล้ากานั้นมา แต่ปากกลับพูดบ่นว่า “ไม่ดีกระมัง? เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าไม่เห็น ทำลายความปรองดองจะตายไป หันอวี้ซู่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนเหรินที่มีประสบการณ์มากเชียวนะ หากข้าเป็นแค่ผู้ถวายงานของบ้านเจ้า ลำพังตัวข้าแค่คนเดียว สู้ก็คือสู้ ถึงอย่างไรก็จะเล่นงานเขาให้ร่อแร่ปางตายจริงๆ ส่วนข้าก็แกล้งทำเป็นหนีเอาชีวิตรอด แต่เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งจะเปิดเผยรากฐานของข้าออกมา เจียงซ่างเจินคนเดียวหนีได้ แต่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนกลับหนีไม่ได้นะ…ดังนั้นจะปล่อยให้การต่อสู้ครั้งนี้เสียเปล่าไม่ได้ ต้องเอาเหล้ามาสองกา แล้วก็ให้ข้าเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งด้วย!”

เฉินผิงอันโยนเหล้าไปให้เจียงซ่างเจินอีกกา ยิ้มเอ่ย “มีอะไรไม่ดีเล่า ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน ในเมื่อหันอวี้ซู่รู้จักเจ้า ก็มานั่งตรงนี้ดื่มเหล้าของเจ้าไปแล้วกัน”

ที่แท้คือยกหันเจี้ยงซู่ให้เจียงซ่างเจิน ส่วนหันอวี้ซู่ เขาจะเป็นคน ‘ไม่ตีกันไม่ได้รู้จักกัน’ เอง

เพิ่งพูดขาดคำ เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน ที่แท้กริชเฉาจื่อคู่หนึ่งได้ไถลออกมาจากชายแขนเสื้อแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้เปลี่ยนใจ คล้ายละทิ้งสถานะของ ‘เฉาโม่’ ไป

เขาเก็บกริชใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นจึงม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นเบาๆ เฉินผิงอันยืดแขนบิดขี้เกียจ พันหมื่นลี้ของขุนเขาสายน้ำในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ก็เหมือนมีเสียงฟ้าผ่าฤดูใบไม้ผลิระเบิดแตกเป็นทอดๆ บอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่ ฟ้าดินต้อนรับวสันต์

ในทะเลสาบหัวใจ

ริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นคล้ายมีจดหมายฉบับหนึ่ง

เป็นอย่างที่ชุยฉานว่าไว้จริงๆ สมองของเฉินผิงอันไม่ดีมากพอ ดังนั้นจึงเป็นดั่งเงามืดใต้โคมไฟ

กระทั่งมาถึงภูเขาไท่ผิง มาเจอกับเจียงซ่างเจิน ถึงได้ ‘ไขความฝัน’ ได้

จดหมายฉบับนั้นลอยอยู่ในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ สลายหายไป

เวลาเดียวกันนั้นดวงตะวันจันทราที่เคียงคู่กันอยู่บนนภากาศของสภาพจิตใจก็คล้ายว่ามีม้วนภาพแห่งกาลเวลามากมายปรากฎขึ้นมา เฉินผิงอันถึงขั้นไม่อาจเปิดออกได้ ยิ่งไม่อาจไปแตะต้อง

ทว่าจดหมายฉบับนั้น เฉินผิงอันปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านมานานหลายปีถึงจะเปิดออก

‘ไม่เพียงแต่ข้าที่ถูกขังอยู่ในหออ่านตำรา ไม่เพียงแต่เจ้าที่เดียวดายอยู่ในตรอกหนีผิง อันที่จริงบนเส้นทางของการเติบโต เด็กทุกคนต่างก็พยายามเบิกตาให้กว้าง มองโลกไม่คุ้นเคยที่อยู่ข้างนอก บางทีอาจจะค่อยๆ คุ้นชินไปเอง และบางทีก็อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยไปชั่วชีวิต

เฉินผิงอัน เจ้ามองมานานเกินไปแล้ว อีกทั้งยังมองอย่างละเอียดเกินไป จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จิตใจจะเหนื่อยล้าโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่สู้ลองย้อนนึกดู ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเจ้าจนถึงบัดนี้ เจ้าได้นอนหลับไปกี่ปี แล้วได้ฝันดีไปกี่ครั้ง? ควรจะหันมามองตัวเองบ้างได้แล้ว ให้ตัวเองมีชีวิตที่ผ่อนคลายสักหน่อย ลำพังเพียงแค่รู้จักเข้าใจจิตดั้งเดิมของตัวเอง ไหนเลยจะพอ หลักการเหตุผลดีๆ ในใต้หล้า หากเพียงแค่ทำให้คนเหมือนเด็กที่ต้องสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร นั่นจะได้อย่างไร? หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์และความงดงามในโลกที่ทำให้บัณฑิตอย่างพวกเราพยายามไขว่คว้าแสวงหาชั่วชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จะเป็นสิ่งที่ดีแต่จะทำให้คนรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างลึกล้ำได้อย่างไร?

เฉินผิงอัน เจ้าอายุยังน้อย ชีวิตนี้ต้องลองเป็นคนบ้าระห่ำดูบ้าง อีกทั้งต้องรีบเป็นเสียแต่เนิ่นๆ ต้องอาศัยตอนที่ยังอายุน้อยเอ่ยประโยคที่บ้าระห่ำ ทิ้งถ้อยคำอาฆาตดุดัน สร้างวีรกรรมที่ไม่ต้องจงใจปิดบังแก่ฟ้าดินแห่งนี้สักหลายๆ ครั้ง อีกทั้งไม่ว่าจะพูดจาหรือลงมือทำอะไร ตอนที่ออกหมัดออกกระบี่ก็ต้องเชิดหน้าขึ้นสูง ต้องเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม หยิ่งยโสทระนงตน เรื่องของการศึกษาหาความรู้ต้องเรียนรู้จากฉีจิ้งฉุน เรื่องของการลงมือต้องเรียนรู้เอาจากจั่วโย่ว

ต้องยืนหยัดที่จะปฏิบัติดีต่อโลกใบนี้ แล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติดีกับตัวเองให้เป็น ต้องให้พวกเด็กๆ ที่ติดตามอยู่ด้านหลังเจ้า ไม่เพียงแต่เรียนรู้ที่จะปฏิบัติดีต่อคนอื่น อยู่ร่วมกับโลกใบนี้อย่างกลมเกลียวปรองดอง ยังต้องให้พวกเขาเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่งอย่างแท้จริง เป็นคนดี นอกจากตัวเองจะสบายใจแล้ว ยังจะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนอย่างจริงแท้แน่นอน

นี่ต่างหากจึงจะเป็นการเดินบนมหามรรคาที่เจ้าควรจะเดินอย่างแท้จริง

นี่ต่างหากถึงจะเป็นความฝันแรกในสามความฝันที่แท้จริง ส่วนสามความฝันก่อนหน้านี้ก็เพื่อให้เจ้าได้บรรลุคำว่าปลอมในความฝันที่แท้จริง ฝันนี้ต่างหากถึงจะให้เจ้าที่อยู่ในฝันปลอมไปแสวงหาคำว่าจริง ต้องการให้เจ้าได้เห็นความจริงในความฝัน รู้จักตัวเองที่แท้จริงยังไม่พอ ยังต้องรู้จักฟ้าดินที่แท้จริงด้วย หลังจากนี้ยังมีอีกสองความฝัน จงไขความฝันต่อไป ศิษย์พี่ปกป้องมรรคามาถึงตรงนี้ ได้ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ถือเสียว่าช่วยถ่ายทอดวิชาความรู้แทนอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย

หวังว่าวิถีทางโลกในอนาคต สักวันหนึ่ง คนวัยชราได้มีอายุยืนยาว คนวัยกลางคนได้อุทิศตน คนวัยเยาว์ได้เติบโต ขอศิษย์น้องเล็กช่วยมองวิถีทางโลกที่เป็นเช่นนั้นแทนศิษย์พี่ด้วย วันนี้ทุกความคิดของชุยฉาน ต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปีพันปีจะดังก้องขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ชุยฉานก็ยังคงไร้ความละอายใจ ไร้ความเสียดาย ไร้ความเสียใจ สายของเหวินเซิ่งมีข้าชุยฉาน ไม่ได้เป็นไปยังไง มีเจ้าเฉินผิงอัน ดีมาก ดีจนดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี ความคิดของฉีจิ้งชุนยังคงไม่พอ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ศิษย์พี่ขออวยพรล่วงหน้าให้วันหนึ่งศิษย์น้อง…เอ๊ะ? ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งแม่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบห้าแล้วหรือ…’

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าเบาๆ หนึ่งครั้ง

ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ยามตื่นเหมือนฝัน ท่ามกลางฝันหวังแสวงหาความจริง

มิน่าเล่าออกมาจากถ้ำแห่งโชควาสนาของเกาะหลูฮวาได้ไม่นานเท่าไรก็มีเรือข้ามฟากไฉ่อีลำหนึ่งผ่านทางมาพอดี แล้วยังไปที่ท่าเรือชวีซานก่อน ไม่ใช่ไปที่สำนักฝูจี จากนั้นก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าเฉินผิงอันจะต้องมาพบเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกก่อน สุดท้ายยังยินดีมาเยือนภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ ไม่ว่าเจียงซ่างเจินจะพูดไขความลับหรือไม่ ชุยฉานก็รู้สึกว่าเฉินผิงอันสามารถคิดไปถึงประโยคที่ว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’ ได้เอง เงื่อนไขก็คือเฉินผิงอันต้องไม่โง่เกินไปนัก เพราะถึงอย่างไรตอนอยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชุยฉานก็เคยอธิบายคำศัพท์คำว่า ‘ฉิงหล่าง’ ให้เฉินผิงอันฟังด้วยตัวเองมาก่อน เดิมทีนั่นก็คือการเตือนอย่างหนึ่ง คงเป็นเพราะในสายตาของซิ่วหู่ ตนโกงให้ถึงขนาดนี้แล้ว หากเฉินผิงอันมาถึงภูเขาไท่ผิงแล้วยังเลอะเลือน สติปัญญายังไม่เปิดกว้าง ก็คงต้องเรียกว่าโง่เง่าจนไร้ทางเยียวยาแล้วจริงๆ

เพียงแต่เหตุใดถึงพลาดไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว

เฉินผิงอันกึ่งหลับกึ่งตื่น จิตใจจมจ่อมอยู่ภายใน ปราณโชติช่วงของขอบเขตสิบ ผู้คนและทัศนียภาพในจิตใจเปลี่ยนจากภาพลายเส้นขาวดำกลายมาเป็นภาพสีสันสดใส

เมืองเล็กบ้านเกิด แจกันสมบัติทวีป กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใบถงทวีป อุตรกุรุทวีป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!