คมดาบของดาบแคบพิฆาตถึงกับไม่ได้ฟันลงบนเชือกงูอัคคีเส้นนั้น หนึ่งดาบฟันลงบนความว่างเปล่า เชือกเปลวเพลิงม้วนพันบนมือของเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที ประหนึ่งมีงูตัวยาวเลื้อยขดอยู่ อัคคีสมาธิพลันหดรวบเข้ามาในรัศมีสิบกว่าจั้ง กักแขนทั้งแขนที่ถือดาบของเฉินผิงอันเอาไว้ นาทีถัดมาจิตของหันอวี้ซู่ขยับไหวเล็กน้อย ภาพบรรยากาศของมังกรเพลิงเดินลงน้ำก็พลันบังเกิด ใช้สะพานแห่งความเป็นอมตะของผู้ฝึกลมปราณเป็นเส้นทาง ปราณวิญญาณในช่องโพรงใหญ่แห่งต่างๆ คล้ายต้นไม้ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในผืนป่า ที่ใดที่พุ่งผ่านล้วนถูกมังกรเพลิงเผาไหม้จนสิ้นซาก
ดวงตาของหันเจี้ยงซู่ทอประกายวาววับ การกระทำนี้ของบิดา เห็นได้ชัดว่าใช้อัคคีสมาธิกลุ่มที่บริสุทธิ์ที่สุดในน้ำเต้าซึ่งเป็นของตกทอดจากยุคบรรพกาลลูกนั้น ในถ้ำสวรรค์เล็กของน้ำเต้ามีอีกหนึ่งจักรวาล ปรมาจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยของสำนักว่านเหยาจะต้องนำสมบัติหายากอย่างพวกน้ำลายมังกรมาช่วยเพิ่มพลานุภาพให้กับเปลวเพลิง เปลวเพลิงโหมซัดสาดทอดยาวมาหลายพันปี ระหว่างนั้นของล้ำค่าที่มีคุณสมบัติเป็นวัตถุวิเศษที่ถูกนำหล่อหลอมก็ยิ่งมีมากอย่างถึงที่สุด เปลวเพลิงที่แท้จริงในระดับขั้นนี้ ด้านในของน้ำเต้าโบราณที่มีฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งมีเปลวเพลิงแท้จริงที่บริสุทธ์ซึ่งถูกฟูมฟักออกมาให้มีขนาดเท่าไส้ตะเกียงอยู่แค่สามกลุ่มเท่านั้น สมบัติหนักในการโจมตีไม่อาจทำลายได้ ต่อให้เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งก็ไม่อาจใช้หนึ่งกระบี่ทำลายอาคมนี้ได้
นอกจากจะทำลายได้ยากและยากจะตอแยแล้ว ความลี้ลับมหัศจรรย์ที่ใหญ่ที่สุดของวิชาที่ไม่ใช่สายของยันต์วิชานี้ ก็คือสามารถพันธนการสามจิตเจ็ดวิญญาณของผู้ฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว ใช้ปราณวิญญาณฟ้าดินที่ผู้ฝึกตนสะสมมาอย่างยากลำบากมาเป็นท่อนฝืนที่ถูกไฟเผาไหม้ ยิ่งเป็นคนที่จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง ก็ยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง แค่ไม่ระวังเพียงน้อยก็จะเหมือนเขื่อนยาวพันปีที่ถล่มลงมาได้เพราะมดรังเดียว เปลวเพลิงเหมือนสะเก็ดดาวที่เผาลามทั่วท้องฟ้า ฟ้าดินเล็กของผู้ฝึกลมปราณจะตกอยู่ในสภาพการณ์น่าเวทนาที่ถูกมหาอัคคีเผาไหม้ สรรพสิ่งกลายเป็นเถ้าธุลี ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไรก็ยิ่งตายเร็วมากเท่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตห่างจากเซียนเหรินหันอวี้ซู่หนึ่งขั้น เกาเจินลัทธิเต๋าที่ไม่เคยฟูมฟักปณิธานเยียบเย็นออกมาได้ หรือภิกษุที่ไม่มีเวทคาถาของลัทธิพุทธติดกาย หันอวี้ซู่ร่ายใช้เวทคาถานี้แค่กระบวนท่าเดียวก็สังหารศัตรูให้ตายคาที่ได้แล้ว
เวลาเดียวกันนั้นหันอวี้ซู่ก็เรียกดาบอาคมสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งออกมา ดาบอาคมพุ่งแหวกอากาศลากเอาลำแสงเส้นหนึ่งตามหลัง พุ่งตรงไปยังศีรษะของคนหนุ่ม ประหนึ่งเพชฌฆาตที่ลงทัณฑ์สังหาร หมายจะตัดหัวนักโทษ
ดาบอาคม ‘ชิงเสีย’ เป็นอาวุธกึ่งเซียนของแท้แน่นอนที่ด้วยวาสนานำพาบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาของสำนักว่านเหยาจึงได้มาจากถ้ำสวรรค์ชิงเสียยุคบรรพกาลที่ปริแตกไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะรูปลักษณ์ได้รับความเสียหาย ไม่อาจหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าอาวุธเซียนอย่างสมชื่อชิ้นหนึ่งแล้ว ระดับความคมของมันก็ยิ่งสามารถมองเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของสำนักการทหารเป็นดั่งกระดาษแผ่นหนึ่งได้เลย ในฐานะวัตถุหลอมกลางของหันอวี้ซู่ แม้ว่าจะไม่ใช่วัตถุหลอมใหญ่แห่งชะตาชีวิต แต่ความคมนั้นก็สามารถเอามาใช้แทนกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ได้ พื้นที่มงคลสามภูเขามีแท่นสังหารมังกรขนาดเท่าหีบหนังสืออยู่ก้อนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของสำนักว่านเหยาหันอวี้ซู่ก็เคยอาศัยดาบอาคมเล่มนี้ฟันแท่นสังหารมังกรอยู่หลายครั้งจนมันแบ่งออกเป็นสองท่อน
หันเจี้ยงซู่นอกจากจะถูกใบหลิว ‘จับจ้อง’ อยู่ตรงหว่างคิ้วทำให้ไม่อาจใช้เสียงในใจพูดคุยกับบิดาได้แล้ว นอกจากนี้ล้วนทำทุกอย่างได้ไม่มีปัญหา เจียงซ่างเจินลงมือรู้จักหนักเบา ไม่ได้ปฏิบัติต่อนางเกินกว่าเหตุ ดังนั้นหันเจี้ยงซู่จึงมองเห็นสถานการณ์การต่อสู้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้คืออัคคีสมาธิในน้ำเต้าที่ปรากฎตัวบนโลกเป็นครั้งแรก มองดูเหมือนเพลิงโหมคล้ายน้ำทะลักออกจากเขื่อน แต่นั่นกลับเป็นแค่วิธีการที่บิดาหวังให้คู่ต่อสู้ชะล่าใจเท่านั้น การที่เรียกเปลวเพลงที่แท้จริงซึ่งเป็นหนึ่งในไส้ตะเกียงออกมา แล้วค่อยใช้ดาบอาคม ‘ชิงเสีย’ มาฟันหัว นี่ต่างหากถึงจะเป็นมาดของเซียนเหรินที่รีบรบรีบจบ สองกระบวนท่าสยบศัตรูที่แท้จริง
มือหนึ่งของหันอวี้ซู่ทำมุทราบ้างชี้บ้างแตะ รอบกายของคนหนุ่มพลันเกิดเป็นฟ้าดินเล็กยันต์พันธนาการ
เจียงซ่างเจินพยักหน้า เอ่ยชื่นชมว่า “รวดเร็วฉับไว ชักนำเจ็ดดาว เป่ยโต้วกำหนดความตาย มหัศจรรย์ตรงคำว่า ‘มีใจไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็คือค่ายกล ยันต์ไร้กระดาษก็ยังเป็นของจริง’ ไม่เสียแรงที่เป็นอันดับสองของสายยันต์ ข้าผู้แซ่เจียงโชคดีนักที่ได้เป็นผู้ฝึกตนของใบถงทวีปร่วมกับเจ้าสำนักหัน ช่างมีเกียรติเหลือเกิน”
ชีวิตมนุษย์ตรงกับดวงดาว ต่างคนต่างมีค่า ฟ้าให้กำเนิดข้า โชคชะตาจะเข้าข้างข้าเมื่อใด?
เวทการจัดวางค่ายกลยันต์นี้ของหันอวี้ซู่สามารถชักนำแสงดาวมาให้ตัวเองใช้ประโยชน์ และวิชาอภินิหารที่ไม่ค่อยมีคนใช้นี้ เมื่อเทียบกับพวกที่กินแสงอรุโณทัยดื่มน้ำค้าง กราบไหว้ดวงจันทร์เพื่อหลอมเรือนกายแล้ว การสืบทอดนับว่าน้อยกว่ามาก เมื่อการสืบทอดมีน้อย การเผยตัวบนโลกก็ยิ่งน้อย ยิ่งง่ายที่จะทำให้ผู้ฝึกลมปราณสามารถเอาไปใช้หากินได้ชั่วชีวิต
หันเจี้ยงซู่ที่ไม่ได้เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้สะอาดเพิ่งจะมีรอยยิ้ม สีหน้าก็พลันแข็งค้าง
เห็นเพียงว่าบนยอดเขาห่างไปไกลที่คนหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่ เขาเอามือหนึ่งทำท่าลากดาบ อีกมือหนึ่งยกแขนขึ้นสูง ถึงกับใช้ฝ่ามือรับคมดาบที่คมกริบของดาบสีเขียวเข้มเล่มนั้นโดยตรง มืออีกข้างหนึ่งมีสีทองไหลริน มังกรเพลิงตัวหนึ่งที่จำแลงมาจากอัคคีสมาธิไม่เพียงแต่อยู่ดีๆ ก็ถอยออกมาจากฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ของคนผู้นี้อย่างน่าประหลาด ยังราวกับว่าถูกเจียวหลงสีทองตัวหนึ่งแว้งกลับมาพันธนาการเอาไว้อีกด้วย คนหนุ่มผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นั่งลืมตนของลัทธิเต๋าล้ำค่าตรงใจที่ตายแล้ว คิดจะเข้าร่วมเรียนหลักพระธรรมลัทธิพุทธ ก็ต้องยอมตายก่อน คำว่าผู้ที่ยอมตายนั้นก็หนีไม่พ้นการตัดใจยอมตายได้เท่านั้น ข้าเป็นแค่เซียนดินตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็กล้างัดข้อกับเซียนเหรินแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่กล้าตาย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปยังประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิง แสร้งพูดเหมือนคนที่เพิ่งกระจ่างแจ้ง “เข้าใจแล้ว พ่อของเจ้าไม่เสียแรงที่เป็นผู้อาวุโสเซียนเหริน มีมาดของปรมาจารย์ ยามประลองฝีมือกับผู้เยาว์จึงชอบที่จะยอมให้ก่อนสองสามกระบวนท่าสินะ? ไม่อย่างนั้นมาเล่นลูกไม้ชั้นต่ำประเภทนี้ต่อหน้าข้า พี่หญิงเจี้ยงซู่ เจ้าว่าควรจะหัวเราะให้ดังๆ อีกครั้งหรือไม่?”
เฉินผิงอันกระทืบเท้าเบาๆ ปณิธานหมัดทั่วร่างแผ่ออกไปด้านนอก พุ่งกระแทกชนตราผนึกยันต์มืดฟ้ามัวดินจนเหมือนฟ้าดินเล็กแห่งนั้น แสงดาวเจ็ดกลุ่มที่เดิมทีราวกับฝังเลื่อมอยู่บนม่านฟ้าต่อให้ผ่านเวลายาวนานก็ไม่แปรเปลี่ยน เป็นราวกับตะเกียงไฟเจ็ดดวงที่เปลวไฟส่ายไหวจะดับมิดับแหล่ท่ามกลางกระแสพายุหมัด เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ไม่มีภาพบรรยากาศลี้ลับมหัศจรรย์ราวกับจะผลัดภูเขาเปลี่ยนแม่น้ำเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว
อันที่จริงหันอวี้ซู่ตกตะลึงไม่น้อย
ไม่เพียงแต่ตกตะลึงที่คนผู้นี้ทำลายค่ายกลได้อย่างผ่อนคลาย ยิ่งประหลาดใจที่ชุดคลุมอาคมไผ่เขียวบนร่างของคนหนุ่มไม่มีความเสียหายแม้สักเสี้ยว
ด้านล่างชุดคลุมอาคมไผ่เขียวของภูเขาชิงเสินบนร่างของอีกฝ่ายคล้ายจะยังมีชุดคลุมอาคมเทียนเซียนที่มีปณิธานเต๋าเปี่ยมล้นอีกตัวหนึ่งด้วย มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นชุดคลุมเต๋าที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียน
ชุดไผ่ที่อยู่ด้านนอกเป็นแค่เวทอำพรางตาอย่างหนึ่ง ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มาจากตระกูลเซียนขนาดใหญ่ของแผ่นดินกลางเหล่านี้ ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลอุบายจริงๆ
อัคคีสมาธิ ดาบอาคม ‘ชิงเสีย’ ตราผนึกยันต์ ทั้งสามกระบวนท่าถูกร่ายใช้พร้อมกัน ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบทั่วไปคิดจะรับมือก็ต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปอย่างมหาศาล
แน่นอนว่าหันอวี้ซู่สามารถปล่อยและเก็บได้ตามใจปรารถนา ไม่คิดจะสังหารคนหนุ่มผู้นั้นจริงๆ หันอวี้ซู่คิดอยากจะหยั่งเชิงรากฐานตระกูลและสายเต๋าอันเป็นสำนักของอีกฝ่ายอยู่ตลอด ยกตัวอย่างเช่นบีบให้อีกฝ่ายร่ายวิชาอภินิหารมรรคกถาเต๋าบางอย่างที่ฝังเลื่อมอยู่ในชุดคลุมอาคม หากชุดคลุมเต๋าด้านในชุดไผ่ที่คนหนุ่มใช้อำพรางตาเป็นอาวุธเซียนที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าอย่างที่คาดการณ์ไว้จริง ตนก็สามารถหาเหตุผลมาหยุดมือได้แล้ว เดินขึ้นเขาฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คิดจะหาบันไดลงจะไปยากอะไร หันอวี้ซู่ไม่ใช่คนประเภทบุ่มบ่ามชอบเอาชนะคะคาน
สำนักว่านเหยาตั้งอยู่ในพื้นที่มงคลสามภูเขา ตัดขาดกับโลกภายนอกมานานหลายพันปี สั่งสมรากฐานหนาแน่นมาได้อย่างยากลำบาก แผนการที่วางไว้ย่อมยาวไกล ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายป้ายวิญญาณศาลบรรพจารย์ออกมานอกพื้นที่มงคล มาอยู่ในใบถงทวีปของใต้หล้าไพศาลก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปหาเรื่องลัทธิเต๋าสำนักใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพราะหันอวี้ซู่ตั้งปณิธานไว้ว่าจะให้สำนักว่านเหยาที่อยู่บนมือตนค่อยๆ เติบโตจนกลายเป็นผู้นำของหนึ่งทวีปอย่างสำนักใบถงในอดีตและอย่างสำนักกุยหยก
ทุกวันนี้ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางสั่งห้ามไม่ให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาเข่นฆ่ากันเองอย่างจริงจัง หากค้นพบขึ้นมา ขอแค่เดือดร้อนไปถึงขุนเขาสายน้ำของโลกมนุษย์ ศาลบ๋นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะให้ห้าขอบเขตบนสองคนข้ามทวีปไปยังศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก่อน จากนั้นก็โบยทั้งสองฝ่ายคนละห้าสิบที แล้วค่อยตัดสินอีกที ดังนั้นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในเวลานี้ที่มองดูคล้ายเป็นแขกที่ได้รับการรับรอง แต่แท้จริงแล้วกลับถูกกักบริเวณอยู่ในสวนป่ากงเต๋อจึงมีมากถึงสองมือนับแล้ว หากกล้าไม่ไปรับโทษ แต่ละทวีปก็จะมีขอบเขตบินทะยานที่ไม่ใช่อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นรับผิดชอบหน้าที่ทำการ ‘เชิญ’ คนไปปิดประตูใคร่ครวญความผิดที่สวนเต้าเต๋อโดยเฉพาะ หากกล้าต่อต้านก็จะถูกสังหารทันที คุณูปการใดๆ ก็มิอาจไถ่ถอนได้
และสวนเต้าเต๋อที่มีอาจารย์ผู้เฒ่าต่งรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นคอยรับรองแขกด้วยตัวเองแห่งนั้นก็เล่าลือกันว่ายามที่สหายเก่าของแต่ละทวีปที่เป็นทวีปเพื่อนบ้านกันได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ก็จะมีบทสนทนาทำนองว่า ‘เจ้ามาแล้วหรือ ไม่เหงาแล้ว’ ‘บังเอิญนักๆ ดื่มเหล้าๆ’ ในบรรดาคนเหล่านี้ถึงขั้นยังมีอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่ง โจวมี่อดีตเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอวี๋ฝูรวมอยู่ด้วย
หันอวี้ซู่ตัดสินใจได้แล้ว ดูท่าการต่อสู้ครั้งนี้ ยิ่งตีกันก็ยิ่งรุนแรง การลงมือมีแต่จะยิ่งหนักมากกว่าเดิม
ไม่ต้องสนใจคำว่าหยุดแต่พอสมควรอะไรอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นตนกับบุตรสาวเจี้ยงซู่ คนหนึ่งเซียนเหริน คนหนึ่งหยกดิบก็จะต้องพากันมาขายหน้าอยู่ที่ภูเขาไท่ผิงแห่งนี้ ใบหน้าหล่นลงพื้นแล้วยากจะเก็บกลับคืนมาได้อีก
จิตของหันอวี้ซู่ขยับไหวเล็กน้อย เป็นฝ่ายถอนแสงตะเกียงเสี้ยวสุดท้ายของค่ายกลยันต์ออกด้วยตัวเอง ยิ้มบางๆ ถามว่า “ดูจากโชคชะตาบู๊นั้น ตอนนี้เจ้าคือขอบเขตเดินทางไกลหรือว่าขอบเขตยอดเขากันแน่? ในเมื่อได้รับคำว่าแข็งแกร่งที่สุดไป คิดดูแล้วก็คงต้องภาคภูมิใจในวิชาหมัดของตัวเองมากกระมัง?”
เจียงซ่างเจินหัวเราะร่า “พี่หญิงเจี้ยงซู่ เห็นแล้วหรือยัง วันหน้าเรียนรู้จากพ่อของเจ้าให้มาก หยิบขึ้นมาได้ก็วางลงได้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง”
สีหน้าหันเจี้ยงซู่มืดทะมึน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!