สรุปเนื้อหา บทที่ 751.3 สิบเอ็ดคนบนยอดเขาหมื่นปี – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 751.3 สิบเอ็ดคนบนยอดเขาหมื่นปี ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
จิตหยินของหันอวี้ซู่เหยียบอยู่บนเมฆขาว ใช้กระบองเล็กตีฆ้องร่วมกับท่องมันตรา ทั้งสองอย่างนี้มีท่วงทำนองจังหวะจะโคน เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโบราณอันกว้างใหญ่ไพศาล “อ๋าวแห่งป่าเมฆ เซียนที่แท้จริงลงมาสยบกำราบ แสงเทียนสาดท้องนภา วาโยมีวิญญาณหอมรวยริน องค์เทพผู้สูงศักดิ์สำแดงพลานุภาพ…”
ระหว่างที่พูดก็มีสตรีคนหนึ่งผลุบโผล่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ ดวงตาทั้งคู่ที่เป็นสีทองเปิดออก ก้าวเท้าเหยียบย่างลงบนความว่างเปล่ามาหยุดอยู่ข้างอวิ๋นตุน นางยื่นนิ้วออกมาแตะพื้นผิวของอวิ๋นอ๋าวเบาๆ ตามจังหวะเคาะตีของกระบองเล็กด้ามนั้น ราวกับว่าร้องรับไปตามหันอวี้ซู่
ในรัศมีหลายร้อยลี้รอบอาณาเขตของภูเขาไท่ผิง บนพื้นดินทุกหนทุกแห่งมีไอเมฆหมอกผุดลอย ประหนึ่งดินแดนเซียนท่ามกลางเมฆขาวบนโลกมนุษย์ ทะเลเมฆซัดตลบเกิดเป็นลูกคลื่นสีขาวหิมะถาโถม
ส่วนร่างจริงของหันอวี้ซู่ก็อ้าปากเป่าลมเบาๆ เซียนเหรินเป่าลมเมฆขาวบังเกิด ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตช่องหนึ่งมียันต์สีเขียวมรกตแผ่นหนึ่งที่แฝงโชคชะตาน้ำบริสุทธิ์ถึงขีดสุดพุ่งวาบออกมา
หันเจี้ยงซู่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง
ท่านพ่อตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะสังหารคนผู้นี้แล้วหรือ?
ไม่อย่างนั้นไยต้องเรียกยันต์นี้ออกมา
นี่คือหนึ่งในหกยันต์ลับใหญ่ของพื้นที่มงคลสามภูเขา แม้ว่ายันต์นี้จะมีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบอยู่ในสำนักว่านเหยา แต่ผู้ฝึกตนทุกรุ่นมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ครอบครอง คนนอกต่อให้แอบเปิดตำราลับเล่มนั้นจนเปื่อย เรียนคาถาการฝึกตนสำเร็จ แต่ก็ยังไม่อาจหลอมยันต์นี้ออกมาได้
จุดที่สูงส่งและลี้ลับอย่างแท้จริงในสายของยันต์นั้นอยู่ที่ว่าใช้ยันต์ลับของตำราสีขาดมาหล่อหลอมฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ได้ นั่นถึงจะถือว่าเดินขึ้นสู่บนยอดเขาสูงอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นมียันต์อยู่ในมือ ต่อให้เวทคาถาสูงแค่ไหน พลานุภาพยิ่งใหญ่เท่าไร แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเพียงวัตถุนอกกายของผู้ฝึกตนเท่านั้น จำเป็นต้องทำให้เหมือนการแกะสลักตัวอักษรใหญ่ลงบนหน้าผา การหลอมยันต์ในความหมายที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าโอสถทองเม็ดหนึ่งหรือจิตหยินก่อกำเนิดผสานรวมกัน ดั่งคำกล่าวในคำปู้ซวี (บทขับร้องสรรเสริญในลัทธิเต๋า) ของตระกูลเซียนที่กล่าวไว้ว่า ห้าขุนเขาล้วนเป็นกองกระดูกที่ทับถม สามขุนเขาเล็กเป็นก้อน ก้าวเดินทะยานสู่ชั้นเมฆ ถอดกลอนประตูสวรรค์ ก้มมองจากเบื้องสูงพลันบรรลุความลี้ลับที่แท้จริง
และหันอวี้ซู่เจ้าสำนักว่านเหยาที่คิดจะหลอมน้ำลายคำนี้ให้เป็นยันต์แม่น้ำ นอกจากจำเป็นต้องมียันต์วิเศษอันเป็นรากฐานแล้ว นอกจากนี้ยังต้องคอยปลุกเสกอย่างต่อเนื่อง นี่ไม่ใช่เรื่องดีที่เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปตลอดชีวิตอะไร ทุกๆ หกสิบปีจะต้องไปเอาน้ำหนึ่งโต่วจากแม่น้ำ ทะเลสาบ ลำคลอง มหาสมุทรในช่วงต้นฤดูหนาวที่คืนสู่ปลายฤดูหนาวมา โดยห้ามขาดแม้แต่นิดเดียว เอามาวางไว้ในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตที่เก็บยันต์เอาไว้ จากนั้นจึงแกะสลักสี่คำว่า ‘เทพพิรุณรับคำสั่ง’ พอถึงต้นฤดูร้อนก็เอาออกมา อาศัยแสงตะวันแผดเผามาเผาน้ำรอบหนึ่ง มือซ้ายสร้างสายฟ้า ฝ่ามือเขียนคำว่ามังกรน้ำอักษรสายฟ้า มือขวาทำมุทราห้ามังกรสร้างพายุลมกรด จากนั้นเผายันต์วิชาน้ำหลายสิบแผ่นซึ่งมียันต์มหานทีไหลสะพัดเป็นหนึ่งในนั้น ดื่มน้ำหนึ่งโต่วให้หมด ราดรดลงบนจวนน้ำ สุดท้ายคอยขุดบ่อลึกบ่อหนึ่งในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกก็จะเชื่อมโยงเข้ากับสายน้ำของห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร เก้าแม่น้ำแปดลำคลองได้แล้ว ยามที่ถือยันต์นี้รับมือกับศัตรู แค่ต้องท่องมันตราพร้อมทำมุทรา ปรากกฎการณ์ฟ้าดินก็จะซัดโหมเหมือนน้ำของมหานทีไหลสะพัดทะลักพรั่งพรูไกลร้อยพันลี้ ประหนึ่งแม่น้ำไหลเชี่ยวกราก ใช้น้ำกลบทับภูเขา
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “วิชาน้ำของยันต์ประเภทนี้สามารถย้ายมหาสมุทรเคลื่อนทะเลสาบขนส่งแม่น้ำลำคลอง น้ำลายหนึ่งคำก็ทำให้คนจมน้ำตาย คนโบราณไม่เคยหลอกลวงข้าจริงๆ”
สีหน้าของหันเจี้ยงซู่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
เห็นเพียงว่าบิดาเกิดจิตคิดสังหารคนขึ้นมาจริงๆ ถึงได้เรียกยันต์บรรพบุรุษที่มีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่สามารถหลอมได้ออกมาอีกแผ่นหนึ่ง
หันอวี้ซู่ใช้มุทรากระบี่เขียนอักษรสองคำว่า ‘ไท่ซาน’ แบ่งสมาธิส่วนหนึ่งขยุ้มดินกำมือหนึ่งในช่องโพรงลมปราณ จากนั้นก็ท่องคาถาแล้วสาดดินออกไป ขุนเขาใหญ่พลันบังเกิดทันที
บนโลกมียันต์ขยุ้มดินกลายเป็นขุนเขามากมายหลายรูปแบบ ผู้ฝึกตนสายยันต์เกินครึ่งล้วนรู้จักยันต์ประเภทนี้ เพียงแต่ว่าไหนเลยจะมียันต์ที่ทัดเทียมกับยันต์ ‘ไท่ซาน’ นี้ได้ คาดว่ามีเพียงในปฏิทินเหลืองเก่าแก่ของสำนักใหญ่บางแห่งเท่านั้นที่ถึงจะมีการบันทึกถึง ‘ไท่ซาน’ เอาไว้ อีกทั้งนอกจากตระกูลเก่าแก่อย่างสกุลเจียงอวิ๋นหลินของแจกันสมบัติทวีปแล้ว ในบันทึกลับส่วนใหญ่ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเขียนไว้อย่างละเอียด ไม่มีการอธิบายประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของภูเขานี้อย่างชัดเจน
ภูเขาห้อยกลับหัว ปลายยอดเขาชี้ลงด้านล่าง
รวมกับมหานทีไหลสะพัดก่อนหน้านั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศไม่ได้หล่นลงสู่พื้นดิน จึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบพอดี
ทะเลเมฆที่อยู่เหนือพื้นดินถูกขุนเขาและสายน้ำที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าขับดันให้คล้ายว่าอยู่สูงบนม่านฟ้าพอดี
หันอวี้ซู่หลุบตาลงต่ำมองไป หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “เป็นขอบเขตหยกดิบหรือเซียนเหริน ฟ้าดินประกบรวมกลายเป็นมหาทัณฑ์สวรรค์ แค่ลองก็รู้ได้แล้ว”
เขาไม่เชื่อจริงๆ ว่าคนหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาผู้นี้ อายุไม่ถึงครึ่งร้อยก็จะมีขอบเขตเท่ากับตนแล้ว
หากตัดสินใจที่จะลงมืออย่างเต็มกำลัง หันอวี้ซู่ก็ไม่เหลือความคิดวุ่นวายอะไรอีก นอกจากสร้างตราผนึกอันยิ่งใหญ่ที่พลานุภาพเท่าเทียมกับทัณฑ์สวรรค์ของขอบเขตหยกดิบแล้ว
ร่างจริงของหันอวี้ซู่ก็ยังหยิบยันต์กระดาษสีทองที่วาดภาพห้าขุนเขาอีกแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้คาถากระบี่เขียนสองคำว่า ‘ห้าขุนเขา’ ลงไป อันที่จริงตัวกระดาษยันต์เองขาดแค่สองคำว่าแก่นยันต์เท่านั้น เขาใช้ดินห้าสีของขุนเขามาหลอมเป็นยันต์หมึกและชาดไว้แต่เนิ่นๆ อยู่ก่อนแล้ว หันอวี้ซู่โยนยันต์ออกไปยังม่านฟ้า ห้าขุนเขากลับหัวประหนึ่งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตห้าเล่มที่ ‘ปลายกระบี่’ ชี้ตรงมายังกรงขังค่ายกลที่ล้อมกักคนหนุ่มผู้นั้นไว้บนพื้นดิน
หันเจี้ยงซู่เห็นว่าคนหนุ่มถูกกักอยู่ในฟ้าดินก่อน จากนั้นก็เห็นบิดาร่ายยันต์นี้ออกมา นางจึงคิดอยากจะลุกขึ้นยืน นึกไม่ถึงว่าเจียงซ่างเจินผู้นั้นจะไร้เหตุผลสิ้นดี ไม่รู้จักหนักเบาหรือผลได้ผลเสียเลยแม้แต่น้อย ใบหลิวปักตรึงเข้ามาในหว่างคิ้วของนางอีกครั้ง ลึกกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เจ็บปวดจนหันเจี้ยงซู่ล้มแปะลงไปนั่งบนพื้นอีกครา จิตวิญญาณสั่นสะเทือนไม่หยุด กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ไร้เหตุผลป่าเถื่อนเช่นนี้เอง ต่อให้จะมีปณิธานมีปราณกระบี่หลงเหลืออยู่ไม่มากก็ยังทำร้ายฟ้าดินร่างกายมนุษย์ของผู้ฝึกตนได้ดีที่สุด!
หันเจี้ยงซู่เอ่ยอย่างเดือดดาล “เจียงซ่างเจิน ข้าแนะนำเจ้าว่าควรหยุดแต่พอสมควร อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก!”
เจียงซ่างเจินกะพริบตาปริบๆ สีหน้าลำบากใจ สองนิ้วคีบกาเหล้าแกว่งเบาๆ เอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ได้คืบแล้วเอาศอก? พี่หญิงเจี้ยงซู่ดูแคลนน้องชายอย่างข้าผู้แซ่เจียงใช่ไหม?”
หันเจี้ยงซู่ไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย
หยางผู่ก็ยิ่งมึนงงสับสน
คำพูดของเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงแต่ละคำล้วนเต็มไปด้วยปริศนาธรรมทั้งสิ้นเลยนะ
หันอวี้ซู่หันหน้ามามองมาทางประตูภูเขา ยิ้มถามว่า “เจ้าสำนักเจียง สามารถปล่อยตัวบุตรสาวของข้าได้แล้วหรือไม่?”
เจียงซ่างเจินสะบัดชายแขนเสื้อ หยิบเอายันต์ปึกหนึ่งออกมา ใช้นิ้วแตะน้ำลายเล็กน้อย แล้วดึงยันต์สีทองแผ่นหนึ่งในนั้นออกมาชูขึ้นสูง ยิ้มเอ่ยกับหันอวี้ซู่ว่า “มอบให้เจ้า?”
ถึงกับเป็นยันต์ ‘ห้าขุนเขา’ ที่ขาดการแต้มนัยน์ตาให้แก่นยันต์เหมือนกัน
หันอวี้ซู่ส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ช่างเถิด สำนักว่านเหยาไม่ขาดยันต์ชนิดนี้”
เจียงซ่างเจินกล่าว “ข้าคือผู้ฝึกกระบี่ ตัวอักษรคำว่า ‘ห้าขุนเขา’ ที่ข้าเขียนย่อมมีค่ามากกว่ายันต์ที่เจ้าวาด ไม่ต้องการจริงๆ หรือ? ข้าไม่ขาดเงิน สำนักว่านเหยาและเจ้าสำนักหันขาดนี่นา แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าสำนักหันเจ้าเองก็อายุปูนนี้แล้ว แก่จนสายตาฟ้าฝางแล้ว ก่อนหน้านี้ก็อุตส่าห์พูดไปอย่างชัดเจนแล้วว่าเจ้าเกือบจะได้เป็นพ่อตาของข้า ด้วยความรักเดียวใจเดียวที่เป็นคติประจำใจบนภูเขาของข้าผู้แซ่เจียงแล้ว เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่าเหตุใดข้าถึงรีบรุดเดินทางมาโดยไม่สนความเหนื่อยยากเพียงเพื่อมาพบกับพี่หญิงเจี้ยงซู่?”
เจียงซ่างเจินพลันพึมพำขึ้นมา “ประหลาดนัก”
ถูกกักตัวอยู่ท่ามกลางตราผนึกยันต์ของเซียนเหรินคนหนึ่ง สองมือของเฉินผิงอันค้ำอยู่บนด้ามดาบ คิดหาเจ็ดแปดวิธีในการรับมือ สุดท้ายกลับเลือกวิธีที่ไม่ค่อยระมัดระวังและไม่สอดคล้องกับนิสัยของเขามากที่สุด
ฝึกตนมานานหลายปี สะสมเงินอย่างยากลำบาก
ไม่มีสุราอะไรที่ข้าซื้อไม่ได้ ไม่มีกระบี่อะไรที่ข้าปล่อยออกไปไม่ได้
เฉินผิงอันปล่อยมือที่คลายด้ามดาบออก พลันสะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง ยันต์กระดาษสีเหลืองเหมือนแม่น้ำสายใหญ่สองสายที่ไหลพรั่งพรูออกมา ทั้งไม่ได้พยายามจะสลายตราผนึกของค่ายกลใหญ่ แล้วก็ไม่ได้ต้านทานขุนเขาบนม่านฟ้าที่กดทับอยู่เหนือหัว
ยันต์จำนวนนับพันพุ่งแนบติดพื้นดิน สุดท้ายหยุดลอยตัวนิ่ง มีเฉินผิงอันเป็นจุดศูนย์กลาง ก่อตัวกลายมาเป็นวงกลมขนาดใหญ่ที่ครอบรวมรัศมีหลายลี้ ขณะเดียวกันก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งออกมาอย่างเงียบเชียบ ดวงจันทร์ในบ่อ กระบี่แบ่งออกเป็นหลายพันเล่ม ช่วยแต้มนัยน์ตาให้กับยันต์
เฉินผิงอันหันหลังให้ภูเขาไท่ผิง เอ่ยเสียงเบาว่า “ยกกระบี่”
แสงกระบี่พร่างพราวเส้นหนึ่งผุดขึ้นจากพื้นดิน กระแทกชนทะเลเมฆและยันต์ไท่ซานให้แตกกระจุยกระจาย แสงกระบี่ทะยานทะลุผืนเมฆพุ่งตรงไปยังม่านฟ้า
หันเจี้ยงซู่หน้าซีดเผือด พูดเสียงสั่น “เป็นเซียนกระบี่…จริงๆ ด้วย”
เจียงซ่างเจินเงยหน้ามองภาพนั้น อันที่จริงนี่ไม่ใช่ภาพที่แปลกตาสำหรับเขา เพราะตอนที่อยู่อุตรกุรุทวีปเขาก็เคยโชคดีได้เห็นไปแล้วครั้งหนึ่ง รู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง ดังนั้นตอนนั้นเขาเองก็เรียกใบหลิวสมบูรณ์แบบออกมาด้วย
เพียงแต่วันนี้มองใบหลิวที่เหลืออยู่ครึ่งใบ เจียงซ่างเจินที่จอนผมสองข้างเป็นสีขาวได้แต่วางกาเหล้าลง เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเลียนแบบเฉินผิงอัน จากนั้นหันหน้าไปมองภูเขาไท่ผิงที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน
บนยอดเขาที่แปลกประหลาดซึ่งอยู่จุดอื่นนั้น เฉินผิงอันเอาสองมือไพล่หลัง สาวเท้าเดินเนิบช้า สุดท้ายให้คำตอบอีกครั้ง “หมัดสูงกว่าเจ้าหนึ่งขอบเขต”
ฟ้าดินเงียบสงัด
ครู่หนึ่งต่อมา
ดวงจิตก็ถอยออกมาจากยอดเขา เฉินผิงอันยกดาบแคบพิฆาตที่อยู่บนพื้นขึ้นมา สอดดาบกลับเข้าฝัก จากนั้นก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มาอยู่บนฟ้า ยิ้มเอ่ยกับหันอวี้ซู่ว่า “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่ว ขอถามกระบี่กับสำนักว่านเหยา”
หันอวี้ซู่ประสานมือคารวะด้วยสีหน้าจริงใจ “สหายเฉินเวทกระบี่สูงส่งเทียมฟ้า ผู้เยาว์ล่วงเกินแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!