กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 756

เจียงซ่างเจินเอาเรือข้ามฟากเรือเมฆาที่ตลอดทั้งลำเป็นสีขาวหิมะออกมาลำหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นของสะสมส่วนตัว เรือข้ามฟากลำนี้หลอมขึ้นจากแสงจันทร์และเมฆขาวของพื้นที่มงคล ยามเดินทางตอนค่ำคืนจะว่องไวอย่างมาก ระดับขั้นพอๆ กับเรือมังกร ‘ฟานโม่’ ของภูเขาลั่วพั่ว

เจียงซ่างเจินไม่ได้โดยสารเรือขึ้นเหนือไปด้วย บอกว่ายังจำเป็นต้องอยู่ที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาอีกประมาณหนึ่งเดือน รอให้การประเมินเทพีบุปผาสามสิบหกท่านของหอแยนจือเสร็จสิ้นเสียก่อน เขาค่อยออกเดินทางแล้วจะไปเจอกันที่ยอดเขาเทียนแจว๋

ป๋ายเสวียนค่อนข้างมีความสุข ในที่สุดก็สามารถมีห้องพักเพียงลำพังแล้ว สหายอย่างพี่ใหญ่โจวเฝยที่ทั้งมีเงินทั้งมีน้ำใจมีคุณธรรมเช่นนี้ ควรค่าแก่การผูกมิตรอย่างยิ่ง

ในบรรดาเด็กๆ เก้าคน ซุนชุนหวังไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น เพราะนางถูกกักตัวอยู่ในจักรวาลชายแขนเสื้อของชุยตงซานอยู่ตลอด ชุยตงซานสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าแม่นางน้อยดื้อด้านผู้นี้จะสามารถทนอยู่ข้างในได้สักกี่สิบปีกันแน่

จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด อาจเป็นหยกดิบก้อนหนึ่งที่จำเป็นต้องผ่านการขัดเกลาเจียระไนอย่างตั้งใจ อาจเป็นเหล็กก้อนหนึ่งที่จำเป็นต้องทุบตีอย่างรุนแรง อาจเป็นดวงจันทร์ในน้ำที่ต่อให้วัตถุภายนอกจะทุบตีมันให้แหลกสลาย มันก็จะกลับมาเต็มดวงได้ใหม่อีกครั้ง

ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าตัวอ่อนเซียนกระบี่ทุกคนจะเหมาะมาขัดเกลาจิตแห่งมรรคาอยู่ในชายแขนเสื้อของชุยตงซาน นอกจากซุนชุนหวังแล้ว อันที่จริงป๋ายเสวียนและอวี้ชิงจางต่างก็ค่อนข้างเหมาะสม

ชุยตงซานนั่งบนราวรั้ว หยิบพัดพับเล่มหนึ่งออกมาเคาะบนฝ่ามือเบาๆ ถามว่า “ได้ยินเจ้าอ้วนน้อยเล่าว่าตลอดหลายปีที่ฝึกกระบี่อยู่ในปิ่นหยก อันที่จริงเจ้าเหมือนคนใบ้อย่างมาก นอกจากกินข้าว ฝึกกระบี่ นอนหลับแล้ว อย่างมากสุดก็แค่ยืมหนังสือจากอวี้ชิงจางมาอ่าน ตีหน้าเย็นชา ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้ ทำไมพอเจอกับอาจารย์ข้าถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ล่ะ?”

ป๋ายเสวียนที่นั่งอยู่ด้านข้างใคร่ครวญหาคำพูดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ประหนึ่งเข้าห้องที่มีกลิ่นหอมของดอกจือหลัน (ดอกไอริสและดอกกล้วยไม้) นานวันเข้ากลิ่นหอมย่อมติดตัว”

ชุยตงซานกระตุกมุมปาก “ไม่มีความจริงใจมากพอ”

ป๋ายเสวียนไหล่ลู่คอตก เงียบไปนานก่อนจะเงยหน้ามองไปยังทะเลเมฆห่างไกล ทะเลเมฆกับดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ทัศนียภาพงามเลิศล้ำ เหมือนหัวกำแพงเมืองอันเป็นบ้านเกิดยิ่งนัก

ชุยตงซานกล่าว “ทำไมถึงต้องตั้งฉายาให้ตัวเองว่าอิ่นกวานน้อยน้อย?”

ป๋ายเสวียนตอบเสียงเบา “อาจารย์ของข้าคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร อาจารย์ของอาจารย์ก็เพิ่งจะเป็นแค่โอสถทอง อันที่จริงพวกเราสามคนต่างก็ยากจน เพื่อที่จะให้ข้าได้ฝึกกระบี่จึงยิ่งยากจนเข้าไปใหญ่”

ชุยตงซานถาม “อาจารย์ของเจ้าคือสตรีหรือ?”

ป๋ายเสวียนอืมรับหนึ่งที “หน้าตาไม่งดงาม แล้วยังชอบด่าคน ตอนเด็กๆ ข้าชอบเล่นสนุก ทุกครั้งที่โดนด่าแล้วรู้สึกเสียใจก็จะออกไปจากบ้าน ไปเดินเล่นแถวถนนไท่เซี่ยงและถนนอวี้ฮู่สักรอบหนึ่ง บ่นว่าอาจารย์คือคนยากจน คิดว่าหากตัวเองถูกเซียนกระบี่ที่มีเงินรับเป็นลูกศิษย์ ไหนเลยจะต้องเจอกับความลำบากมากมายขนาดนั้น เงินจะนับเป็นอะไรได้”

ตอนเด็ก…

อันที่จริงป๋ายเสวียนในเวลานี้ก็ยังเป็นเด็ก

เพียงแต่ว่าเด็กทุกคนในใต้หล้าล้วนรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กแล้ว และคนแก่ทุกคนก็มักกลัวว่าตัวเองจะแก่เกินไป

ชุยตงซานกล่าว “ตอนที่อาจารย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสบนสนามรบ ก่อนที่นางจะจากไป เจ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนนางตลอดใช่ไหม?”

ป๋ายเสวียนเงียบไปนาน สุดท้ายพยักหน้า เอ่ยเสียงแผ่ว “ก็ไม่ได้อยู่ตลอด แค่อยู่เป็นเพื่อนอาจารย์ได้คืนเดียว ตอนที่อาจารย์ถอยออกมาจากสนามรบ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตไม่เหลืออยู่แล้ว ใบหน้าก็ถูกปราณกระบี่ปั่นคว้านจนเละ หากไม่เป็นเพราะยาชนิดนั้นของใต้เท้าอิ่นกวาน อาจารย์ก็คงไม่อาจอดทนอยู่ได้นานขนาดนั้น ไม่ทันฟ้าสางก็ต้องตายแล้ว ทุกครั้งที่อาจารย์พยายามฝืนลืมตาคล้ายอยากจะมองข้าให้ชัดเจน ล้วนน่าตกใจมาก ทุกครั้งที่นางยิ้มให้ข้าก็น่ากลัวมากยิ่งกว่า ข้าไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ อันที่จริงข้าก็รู้ว่าท่าทางของตัวเองในเวลานั้นไม่ได้เรื่องเลย จะต้องทำให้อาจารย์เสียใจมากแน่ๆ แต่ช่วยไม่ได้ ข้ากลัวจริงๆ นี่นา”

ดังนั้นป๋ายเสวียนถึงได้กลัวผีสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดถึงเพียงนั้น

ป๋ายเสวียนเอ่ยเสียงเบา “สงครามครั้งนั้น ไม่ชนะ แต่พวกเราก็ไม่ได้แพ้นะ ดังนั้นข้าจึงซาบซึ้งใจในตัวเฉินผิงอันอย่างมาก เขาทำให้อาจารย์ของข้า อาจารย์ของอาจารย์ข้า ไม่ได้ตายไปอย่างเปล่าประโยชน์”

ชุยตงซานถาม “ผ่านมานานขนาดนี้แล้วเคยคิดที่จะพูดอะไรกับอาจารย์ของเจ้าบ้างไหม?”

“ไม่เคยคิด”

ป๋ายเสวียนส่ายหน้า คิดแล้วก็เอ่ยว่า “คาดว่าคงจะพูดแค่ประโยคเดียวว่า ข้าจะตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี อาจารย์โปรดวางใจ”

เด็กชายมีสีหน้าแน่วแน่จริงจัง กำลังคิดถึงอาจารย์ของเขาอยู่

ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที

พริบตานั้น

ฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาล ป๋ายเสวียนมองเห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีผีสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดตนหนึ่ง เขาจำได้ว่านางก็คืออาจารย์ของตัวเอง

อาจารย์กำลังมองเขา

ป๋ายเสวียนพลันค้นพบว่า ที่แท้ตัวเองมีคำพูดมากมายอยากพูดกับอาจารย์ อีกทั้งยังไม่กลัวสภาพของนางมากมายถึงเพียงนั้นอีกแล้ว

ป๋ายเสวียนเดินเข้าไปหา ยื่นมือออกไปกุมชายแขนเสื้อของนางเบาๆ

ชุยตงซานยืนห่างมาทางด้านหลังของอาจารย์และศิษย์สองคน มองภาพนี้อยู่ไกลๆ

บนเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันอยู่ในห้องของตัวเองแกะสลักตราประทับอักษรสีชาดชิ้นหนึ่ง ด้านล่างภูเขา เรื่องของการแกะสลักก้อนหินและทอง แต่ไหนแต่ไรมาการแกะสลักอักษรสีชาดก็ยากกว่าอักษรสีขาวมาโดยตลอด

เผยเฉียนนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง หลังจากอาจารย์พ่อแกะสลักตัวอักษรเบื้องล่างตราประทับเสร็จก็ถามว่า “อาจารย์พ่อจะมอบมันให้กับเทพเซียนผู้เฒ่าลู่ของตำหนักพยัคฆ์เขียวหรือ?”

ยอดเขาเทียนแจว๋ภูเขาชิงจิ้ง ลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียว

เผยเฉียนมีความทรงจำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่พูดเก่งมาก ความสามารถในการโอภาปราศรัยอย่างมีมารยาทและการมอบน้ำใจให้ผู้อื่นเรียกได้ว่าสุดยอด

อาจารย์พ่อบอกว่าครั้งนี้เดินทางขึ้นเหนือ สถานที่ที่จะแวะพักเท้ามีอยู่สองสามแห่ง นอกจากยอดเขาเทียนแจว๋แล้ว เรือข้ามฟากจะไปจอดอยู่ใกล้กับลำคลองม่ายเหอและนครเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน อาจารย์พ่อบอกว่าจะไปพบเหนียงเนียงเทพวารีท่านนั้น รวมไปถึงแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาที่ว่ากันว่าล้มหมอนนอนเสื่อลุกไม่ขึ้นแล้ว

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ของขวัญพบหน้าไงล่ะ”

ริมขอบของตราประทับสลักคำว่า จิตใจเมตตาคือลมและน้ำที่ดีที่สุด

อักษรด้านล่างของตราประทับ ชิงจิ้ง (ดินแดนที่สะอาดบริสุทธิ์)

เฉินผิงอันหยิบตำราปึกหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ เขาซื้อมาจากตลาดของท่าเรือชวีซาน “กลับห้องไปคัดตัวอักษร”

เผยเฉียนกลับไม่ได้ขยับเท้า นางหยิบกระดาษพู่กันออกมานั่งคัดตัวอักษรอยู่กับอาจารย์พ่อ

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ห้ามปราม ลุกขึ้นมาดูการคัดตำราของเผยเฉียน พยักหน้าเอ่ยว่า “ตัวอักษรเขียนได้ไม่เลว มีมาดครึ่งหนึ่งของอาจารย์พ่อแล้ว”

เผยเฉียนกำลังจะพูดประโยคจากใจจริงสักสองสามคำ เฉินผิงอันกลับงอนิ้วเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ พร้อมเอ่ยเตือนเสียก่อน “คัดตัวอักษรต้องมีสมาธิ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!