ทีแรกสตรีก็ยังรับฟังด้วยสีหน้าสดใส ดวงตาสองข้างฉายประกายเจิดจ้า เซียนกระบี่พูดทุกเรื่องได้ร้อยเรียงต่อเนื่องกัน ทางศาลเทพภูเขาก็จะทำตามนี้แล้วกัน แต่จู่ๆ นางก็หน้าม่อย ร้อนใจจนต้องกระทืบเท้า “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ กลัวก็แต่ว่าบัณฑิตที่มีความสามารถเช่นนี้คงไม่มีทางมาจุดธูปที่ศาลเทพของพวกเราน่ะสิ”
เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เจ้ากับเหนียงเนียงเทพภูเขาของพวกเจ้าเคยทำอะไรกันมาก่อน ในใจตัวเองจะไม่รู้เลยหรือ? ก็ไปปล้นสะดมเข้าสิ อำเภอจังหวัดในอาณาเขตล้วนหาเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่เหมาะสมไม่เจอ เทพหญิงของศาลท่องราตรีไปในอาณาเขตของตัวเองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลจะตายไป ไปเฝ้ารออยู่ที่จุดพักม้าน้อยใหญ่แล้วคอยเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับดักชิงตัวคนกลางทางเข้าสิ แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้พวกเจ้าก็ไม่ได้ทำร้ายชีวิตของผู้อื่นแล้ว เห็นชัดๆ กันอยู่ว่าเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้าที่เป็นการส่งมอบโชคชะตาบุ๋นให้กับผู้อื่น เมื่อก่อนยังลงมือได้ราบรื่นขนาดนั้น ชอบมาที่วัดเหมือนมาขานชื่อทำงานในวงการขุนนางอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งล้วนจะต้องได้พบเจอกับพวกเจ้า ทุกวันนี้กลับกลายเป็นว่าไม่คุ้นชินกับความสามารถประจำตัวของตัวเองแล้วหรือ? ศาลเทพภูเขามีควันธูปบางเบาเช่นนี้ก็โทษคนอื่นไม่ได้เลยจริงๆ
เฉินผิงอันได้แต่บอกเล่าเคล็ดลับบางอย่างกับนางโดยใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างจะละมุนละม่อม ในขณะเดียวกันก็เป็นถ้อยคำที่ไม่ได้ฟังเหมือนรหัสลับของพวกคนชั่วช้าในยุทธภพมากขนาดนั้น
สตรีผู้นั้นรับฟังพลางพยักหน้ารับถี่ๆ เข้าใจแล้วๆ เหมือนสมองที่อุดตันถูกเปิดออกกว้าง ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนี้มีความรู้ดุจเทพเทวดาจริงๆ นอกจากจะไม่ค่อยรักหยกถนอมบุปผาแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนดีไปหมด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “สองสามประโยคสุดท้ายนี้ รบกวนช่วยนำความไปบอกแก่เทพภูเขาเหวยแทนข้าด้วย ทางลัดในวงการขุนนางของขุนเขาสายน้ำประเภทนี้ มีหนึ่งมีสองได้ แต่ไม่ควรมีสาม เจ้าบอกให้เทพภูเขาเหวยไตร่ตรองดูให้มากก็แล้วกัน หากคิดอยากจะสร้างความผาสุกให้กับพื้นที่หนึ่งจริง อีกทั้งสร้างบุญกุศลทำให้ร่างทองสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ก็ต้องลงแรงตั้งใจกับคำว่า ‘แก่นแท้สะอาดบริสุทธิ์’ ให้มาก การค้าหลายอย่างที่มองดูคล้ายจะขาดทุน ทางฝั่งของศาลเทพภูเขาแห่งนี้ก็ต้องลงมือทำอย่างตั้งใจ ยกตัวอย่างเช่นตระกูลทั้งหลายในหมู่ชาวบ้านที่ทำความดีสะสมบุญซึ่งไม่มีเงินเหลือแม้แต่น้อย ต่อให้ตลอดชีวิตนี้ไม่มีทางมาจุดธูปที่ศาลแห่งนี้ พวกเจ้าก็ต้องปกป้องพวกเขาให้มากหน่อย ท้องฟ้าบางครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลง พื้นดินมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ คนมีการปกครอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ความจริงใจของมนุษย์ แล้วจะไม่รู้คำสั่งสอนของอริยะปราชญ์เลยได้อย่างไร”
นางยอบตัวคารวะ พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “คำสั่งสอนที่เข้มแข็งและมีชีวิตชีวาของผู้อาวุโสเซียนกระบี่ บ่าวจะต้องจดจำให้ขึ้นใจอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหว ช่วยแก้ไขให้นางว่า “คือคำสั่งสอนด้วยความจริงใจ (ภาษาจีนประโยคข้างต้นคือ 墩墩 ตุนตุน แปลว่าเข้มแข็งและมีชีวิตชีวา ภาษาจีนประโยคนี้คือ 谆谆 จุนจุน เขียนคล้ายกัน ออกเสียงใกล้กัน แต่คนละความหมาย) ใช้คำว่า จุนจุน มิใช่ ตุนตุน วันหน้าอ่านตำราให้มาก”
นางพลันหน้าแดงก่ำ อับอายจนแทบอยากจะขุดรูมุดหนีลงไปใต้ดิน โชคดีที่เซียนกระบี่หนุ่มหยิบงอบขึ้นมาสวมอีกครั้งแล้วพุ่งวาบหายตัวไปเรียบร้อยแล้ว
ในอาณาเขตทางทิศเหนือของแคว้นซูสุ่ย เฉินผิงอันได้ไปพบกับสองสามีภรรยาซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยน แต่ผู้อาวุโสซ่งกลับออกจากบ้านเดินทางไกลไปแล้ว ไปยังสถานที่แห่งใด เมื่อไหร่ถึงจะกลับมา ต่างก็ไม่มีใครรู้แน่ชัด
หลังจากเฉินผิงอันรู้ว่าผู้อาวุโสซ่งยังร่างกายแข็งแรงดีอยู่ แม้จะบอกว่าครั้งนี้ไม่อาจได้พบหน้ากัน ขาดหม้อไฟเคล้าสุราไปหนึ่งมื้อ ทำให้รู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรแล้วลึกๆ ในใจก็ยังรู้สึกโล่งอก เขาจึงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในศาลเทพภูเขาแล้วเตรียมจะจากไป คิดไม่ถึงว่าซ่งเฟิ่งซานกลับลากตัวเขาให้ดื่มเหล้าด้วยกันหนึ่งมื้อ ไม่ว่าเฉินผิงอันจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่นั่งลงดื่มเหล้า ผลคือยิ่งดื่มดวงตาของเฉินผิงอันยิ่งเป็นประกายสดใส ซ่งเฟิ่งซานที่จอนผมสองข้างเริ่มเป็นสีดอกเลากลับฟุบหลับบนโต๊ะสิ้นสติไปแล้ว เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย หลิ่วเชี่ยนที่เป็นอดีตสายลับต้าหลี เหนียงเนียงเทพวารีในทุกวันนี้ยิ้มให้คำตอบว่า ที่แท้ซ่งเฟิ่งซานก็เคยไปคุยอวดกับท่านปู่ว่า อย่างอื่นเทียบไม่ได้ แต่หากจะพูดถึงความคอแข็ง เฉินผิงอันสองคนก็สู้เขาไม่ได้
เฉินผิงอันลุกขึ้นขอตัวลา ยิ้มเอ่ยว่า “เหล้ามื้อนี้ก็อย่าไปเล่าให้ผู้อาวุโสซ่งฟังเลย หลีกเลี่ยงไม่ให้คราวหน้าที่ใหญ่ซ่งหลบเลี่ยงข้า”
หลิ่วเชี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คุณชายเฉิน ไม่อย่างนั้นข้าเล่าให้ท่านปู่ฟังว่าพวกท่านสองคนเสมอกันดีไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือเป็นวงกว้าง “ไม่ได้ พี่น้องแท้ๆ นั่งด้วยกันบนโต๊ะเหล้าก็ยังต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน”
หลิ่วเชี่ยนพลันเอ่ยว่า “คุณชายเฉิน ขอแค่ท่านปู่กลับมา พวกเราจะต้องส่งข่าวไปแจ้งที่ภูเขาลั่วพั่วทันที”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถึงเวลานั้นข้าจะรีบเดินทางมาทันที”
หลิ่วเชี่ยนเอ่ยเสียงเบา “หลายปีมานี้ท่านปู่ออกจากบ้านไปท่องยุทธภพอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งล้วนไม่ได้เอากระบี่ไปด้วย ราวกับว่าแค่ออกจากบ้านไปผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น”
เฉินผิงอันรู้สึกกังขาเล็กน้อย
หลิ่วเชี่ยนทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้หรอก”
หลิ่วเชี่ยนใช้เสียงในใจกล่าวว่า “ท่านปู่ไม่เคยเชื่อเลยว่า ในช่วงต้นและท้ายของสงครามครานั้น คุณชายเฉินจะหายเข้ากลีบเมฆไปทั้งอย่างนี้ ดังนั้นท่านปู่จึงเป็นกังวลมาตลอดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับท่าน”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยิ้มเอ่ยว่า “รู้แล้วๆ ผู้อาวุโสซ่งจะต้องทั้งเป็นห่วงข้า แล้วก็ต้องด่าข้าไปไม่น้อยแน่นอน”
เฉินผิงอันประคองงอบ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “รอให้ผู้อาวุโสซ่งกลับมาบ้านเมื่อไหร่ก็ให้บอกเขาไปว่า มือกระบี่เฉินผิงอันคืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
หลิ่วเชี่ยนอึ้งค้างไร้คำพูดตอบโต้
ต่อให้จะเป็นซ่งเฟิ่งซานสามีของนางก็ยังแค่เคยได้ยินชื่อของภูเขาลั่วพั่วและกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ไม่รู้เลยว่า ‘อิ่นกวาน’ หมายถึงอะไร
แต่นางนั้นเป็นเพราะมีชาติกำเนิดจากนักรบพลีชีพของต้าหลี ถึงได้รู้เรื่องนี้ อีกทั้งเพราะสถานะของนางจึงไม่อาจพูดเรื่องนี้ออกมาได้ง่ายๆ
หลิ่วเชี่ยนถาม “คุณชายเฉิน ถ้าอย่างนั้น…อิ่นกวาน เฉินสืออี?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ก็คือคนที่อยู่อันดับสุดท้ายนั่นแหละ”
หลิ่วเชี่ยนคิดแล้วก็ถามว่า “ข้าจะปลุกเฟิ่งซานให้ตื่น พวกท่านดื่มเหล้าด้วยกันอีกสักสองสามกาดีไหม?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “เหลือค้างไว้แหละดีแล้ว”
สุดท้ายหลิ่วเชี่ยนก็มองคนชุดเขียวที่สะพายกระบี่เดินก้าวยาวๆ จากไป นางถึงขั้นลืมเดินไปส่งเขาด้วยซ้ำ
นางเพียงแค่คิดว่า รอให้ท่านปู่กลับบ้านแล้วรู้เรื่องนี้ คงต้องคุยโวว่าตัวเองตามีแววอีกแล้วกระมัง
หลายปีที่ผ่านมานี้ อันที่จริงท่านปู่ทั้งเป็นกังวลและทั้งเสียใจ เพราะสำหรับท่านปู่แล้ว ดูเหมือนว่าต่อให้ตัวเองไม่อยู่ในยุทธภพแล้ว แต่ขอแค่คนหนุ่มคนนั้นยังอยู่ในยุทธภพ ยุทธภพก็จะยังคงเป็นยุทธภพแห่งนั้น ยามที่ออกไปท่องอยู่ในยุทธภพก็จะยังเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่ ยังคงยึดหลักกฎเกณฑ์เก่าๆ ยังพิถีพิถันในเรื่องเดิมๆ อยู่ในยุทธภพที่เก่าแก่เช่นนี้ก็ทำให้คนแก่ยังคงห่วงพะวงและฝากความหวังไว้ให้แก่คนรุ่นเยาว์ได้เสมอ มีครั้งหนึ่งท่านปู่ลากเฟิ่งซานและนางไปด้วยกัน ท่านปู่กินหม้อไฟไปได้แค่ไม่กี่คำก็ดื่มจนเมาแล้ว บอกว่าขอแค่เจ้าเด็กนั่นยังมีชีวิตอยู่ ตนก็จะไม่โกรธเคืองอะไรอีกแล้ว ดังนั้นอย่าได้ไม่กล้ามาดื่มเหล้า มากินหม้อไฟอีกเด็ดขาด ถูกตาแก่คนหนึ่งด่าแค่ไม่กี่คำจะนับเป็นอะไรได้
หน้าประตูใหญ่ของศูนย์ฝึกวรยุทธที่อยู่ในแคว้นเล็กห่างไกลแห่งหนึ่ง
คนชุดเขียวเคาะประตูแรงๆ กลางดึก
คนหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าศูนย์วิ่งตาปรืองัวเงียมาเปิดประตู พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มาหาใคร?”
ทุกวันนี้ภาษาทางการของต้าหลี แท้จริงแล้วได้กลายเป็นภาษาทางการของทวีปหนึ่งไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!