สรุปตอน บทที่ 763.1 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 763.1 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็กในอำเภอเซียนโหยวจังหวัดชิงหยวน มีแขกกลุ่มใหญ่ที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่เพิ่มมากลุ่มหนึ่ง ฝ่ายตรวจตราห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาลของอำเภอกลับไม่ได้ข่าวแม้แต่น้อย ไม่มีอยู่ในบันทึก พอทางฝั่งของที่ว่าการอำเภอรู้ข่าวก็รีบร้อนรุดไปเยือนถึงที่ตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อขอดูเอกสารผ่านด่านจากทางศูนย์ฝึกยุทธ เรื่องแบบนี้ต่อให้ท่านนายอำเภอจะสนิทสนมกับพี่ใหญ่สวีมากแค่ไหน ที่ว่าการก็ไม่กล้าหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งจริงๆ หากเกิดความผิดพลาดใดๆ ย่อมต้องถูกตัดหัว แล้วยังเป็นคนกลุ่มใหญ่เสียด้วย นับตั้งแต่นายอำเภอไปจนถึงท่านเจ้าเมือง แล้วไล่ไปเบื้องบนเรื่อยๆ ล้วนจะต้องถูกซักไซ้เอาความกับเรื่องนี้ บางคนอาจสูญเสียหมวกขุนนางไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ดีไปกว่าหัวหลุดจากบ่าสักเท่าไร โชคดีที่ทางฝั่งของศูนย์ฝึกยุทธแห่งนี้ไม่มีใครทำให้พวกเขาลำบากใจ เสี้ยนเหว่ยหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนนำกลุ่มด้วยตัวเอง พอเห็นเอกสารผ่านด่านที่มีสามรูปแบบแตกต่างไปจากปกติแล้วก็รีบใช้ศอกกระทุ้งหัวของเสมียนที่ว่าการที่ยืนอยู่ข้างกายทันที ผินตัวเบี่ยงข้าง อ่านเอกสารผ่านด่านเหล่านั้นอย่างละเอียดแล้วส่งคืนให้กับหญิงสาวอย่างนอบน้อม หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ยังดีหน่อย เป็นคนในยุทธภพ ส่วนเอกสารที่เหลืออีกสองฉบับกลับเป็นเอกสารผ่านด่านแห่งขุนเขาสายน้ำที่กรมครัวเรือนของต้าหลีเป็นผู้กำหนดรูปแบบและกรมพิธีการเป็นผู้แจกจ่าย ถ้าอย่างนั้นในใจเสี้ยนเหว่ยหนุ่มก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว อย่าว่าแต่ข้างกายมีเด็กตามมาด้วยเก้าคนเลย ต่อให้เก้าสิบคน อยู่ในอำเภอเซียนโหยวจังหวัดชิงหยวนแห่งนี้ก็ยังสามารถเป็น ‘เซียนผู้ท่องเที่ยว’ (เซียนโหยว) ได้ตามสบาย
เฉินผิงอันตื่นสายอย่างที่หาได้ยาก ตะวันลอยโด่งแล้วเพิ่งจะเดินออกมาจากห้อง เขาเพิ่งจะออกจากห้องมายืนบิดขี้เกียจก็มองเห็นว่าเผยเฉียนกำลังเดินนิ่งหกก้าว สีหน้าของนางสงบนิ่ง เจ้าอ้วนน้อยเฉิงเฉาลู่และแม่นางน้อยสองคนก็เดินนิ่งอยู่ด้านข้าง เฉิงเฉาลู่เดินอย่างจริงจังตั้งใจ น่าหลันอวี้เตี๋ยกับเหยาเสี่ยวเหยียนกลับแค่เล่นสนุกเฉยๆ ฝ่ายเจียงซ่างเจินนั้นเอาสองมือสอดเข้าไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งยองอยู่บนขั้นบันได มองบุรุษของศูนย์ฝึกยุทธที่ไม่รู้ว่ากำลังมองดูหมัดหรือมองหญิงสาวกันแน่
เมื่อคืนวานเขาได้คุยเล่นกับคนหนุ่มที่บอกว่าตัวเองเคยเล่าเรียนเขียนอ่านมาก่อนไปรอบหนึ่ง ไม่ได้จ่ายเงินแม้แต่แดงเดียวก็ได้รู้ถึงบุญคุณความแค้นระหว่างอาจารย์ของผู้ฝึกยุทธหนุ่มกับเทพธิดาบนภูเขาบางท่าน ทำเอาเจียงซ่างเจินที่ได้ฟังทอดถอนใจไม่หยุด พูดติดๆ กันว่าไม่ควรเลย ไม่ควรเลย
เฉินผิงอันเพิ่งจะออกมาจากห้องก็ถูกสวีหยวนเสียที่หิ้วเหล้ามาด้วยสองกาพากลับเข้าไปอีกครั้ง บอกว่าใช้เหล้าถอนเหล้าสามารถดึงวิญญาณกลับมาได้มากที่สุด วัตถุที่สามารถถอนเหล้าได้ดีที่สุดในใต้หล้านี้ ต้องเป็นเหล้าจอกถัดไปอยู่แล้ว
เฉินผิงอันจนใจยิ่งนัก ได้แต่กลับเข้าห้องไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนสวีหย่วนเสียแต่เช้า ในห้องมีจอกเหล้าอยู่ บนโต๊ะยังมีหนังสือหลายเล่มที่ถูกเปิดอ่านไม่มาก มองดูแล้วยังใหม่อยู่มาก หนังสือของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ตำราลัทธิเต๋า บันทึกของปัญญาชน ล้วนมีครบหมด
ตลอดหลายปีมานี้ ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เดินทางท่องยุทธภพมาจนถ้วนทั่วคอยเก็บกวาดห้องแห่งหนึ่งที่เก็บไว้ให้สหายอย่างสะอาดเอี่ยม เป็นระเบียบเรียบร้อย
สวีหย่วนเสียฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปจากเฉินผิงอันแล้วก็ถามว่า “ทางฝั่งของศาลเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเขตแยนจือแคว้นไฉ่อี หลังจากผ่านทางไปแล้วได้เข้าไปจุดธูปกราบไหว้บ้างหรือไม่?”
ผู้เฒ่าทั้งหวังว่าคนหนุ่มจะยังไม่ลืมมารยาทในยุทธภพเหล่านี้ เพราะเขาจะปลาบปลื้มอย่างมาก ขณะเดียวกันก็คิดด้วยว่าถ้าหากคนหนุ่มไม่ทันระวังหลงลืมไป ตนก็จะได้มีโอกาสได้พร่ำพูดมากอีกสักสองสามประโยค
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอึก วางจอกเหล้าลงแล้วพูดว่า “ย่อมไม่ลืมอยู่แล้ว”
สวีหย่วนเสียพยักหน้า คล้ายกับว่าไม่มีอะไรจะให้พูดแล้วจริงๆ จึงเริ่มดื่มเหล้าไปเงียบๆ
เฉินผิงอันถาม “จะไม่ไปดูภูเขาลั่วพั่วพร้อมกับข้าจริงๆ หรือ?”
สวีหย่วนเสียส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ไป วันหน้าเจ้ากับซานเฟิงต้องมาหาข้าพร้อมกัน ท่องอยู่ในยุทธภพ เป็นพี่ใหญ่แล้วต้องรักษาหน้าตาเอาไว้บ้าง”
แม้จะพูดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้เฒ่าต้องใช้กำลังใจมหาศาลทีเดียวในการรอคอยให้สหายที่ยังหนุ่มสองคนมาดื่มเหล้าร่วมกับตน
เฉินผิงอันจึงไม่โน้มน้าวให้มากความอีก
สวีหย่วนเสียเอ่ยเตือนว่า “ครั้งนี้เจ้ากลับบ้านเกิดต้องยุ่งมากแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องรีบร้อนพาซานเฟิงมาดื่มเหล้าด้วยกัน พวกเจ้าทำธุระของพวกเจ้าไปก่อน สิบยี่สิบปีนี้พยายามให้พวกเราสามคนได้ดื่มเหล้าด้วยกันสักสองมื้อ ไม่อย่างนั้นทุกครั้งที่นึกถึงว่าล้วนมีแต่พวกเจ้าสองคนที่ดื่มเหล้าด้วยกัน ตาใหญ่มองตาเล็ก ย่อมต้องขาดรสชาติบางอย่างไป ถึงอย่างไรก็ไม่สู้รวมกันให้ครบสามคน ตกลงกันไว้แล้วนะว่าคราวหน้าที่ดื่มเหล้ากัน ข้าคนเดียวจะเล่นงานพวกเจ้าสองคน”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “คนเดียวเล่นงานสองคน? ขอแค่มีกับแกล้มจานเล็กสักจานก็คงพูดจาเมามายเช่นนี้ไม่ออกแล้ว”
สวีหย่วนเสียชำเลืองตามองกระบี่ยาวเล่มที่เฉินผิงอันแขวนไว้บนผนัง อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยคที่บอกว่า ‘สิบปีไม่ได้พบเจอเซียนผู้เฒ่า เจียวหลงบนผนังยังคงขยับไหว’ เพียงแต่ว่าประโยคนี้แม้จะดี แต่กลับไม่เหมาะกับสถานการณ์ สวีหย่วนเสียถอนสายตากลับคืนมา เอ่ยหยอกล้อว่า “เจ้าเองก็รู้ ชีวิตนี้ข้าเลื่อมใสวลีของซูจื่อมากที่สุดแล้ว วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสได้พบเจอกับเทพเซียนผู้เฒ่าซูจื่อ จำไว้ว่าต้องเอ่ยประโยคหนึ่งแทนข้าด้วย บอกไปว่ารวมวลีของซูจื่อเล่มหนึ่งที่พกติดตัวมานานหลายปี ช่วยประหยัดเงินค่ากับแกล้มให้กับจอมยุทธพเนจรคนหนึ่งนามว่าสวีหย่วนเสียไปได้ไม่น้อย”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา วันหน้าหากได้พบกับซูจื่อผู้นั้นจริง ข้ายังจะเอาบทกลอนที่พี่ใหญ่สวีแต่งไปขอให้ท่านผู้เฒ่าช่วยวิจารณ์ให้ด้วย หากผู้อาวุโสท่านนั้นพูดคุยด้วยง่าย ข้าก็จะทำหน้าหนาขอให้เขาช่วยเขียนคำนำของบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นขึ้นมา แต่ว่าคำพูดที่พูดคุยกันบนโต๊ะเหล้า คนมักจะเคยชินกับการคุยโวโอ้อวดไปก่อน จะคิดจริงจังหรือไม่ ก็ต้องดูว่าสุราในจอกของพี่ใหญ่สวีมากหรือน้อยแล้ว”
สวีหย่วนเสียแกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ เหลือสุราอีกไม่มากแล้ว จึงยื่นมือไปปิดจอกเหล้าบนโต๊ะเอาไว้ ยิ้มถามว่า “กฎเดิม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหลือค้างไว้ก่อน”
สวีหย่วนเสียยิ่งสงสัยใคร่รู้มากกว่าเดิม “สหายเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ฟังดูแล้วหากผู้ฝึกลมปราณสวมชุดคลุมอาคมตัวนี้บนร่าง เดิมทีก็เป็นสมบัติหนักในการโจมตีชิ้นหนึ่ง?
เฉินผิงอันยิ้มพลางบอกความจริง “โจวเฝยมักทำอะไรตามแต่ใจตัวเองเสมอ มักจะหาเรื่องทำส่งเดชบ่อยๆ อยู่แล้ว พวกเราแค่ชินไปก็ดีเอง”
สวีหย่วนเสียกล่าว “เจ้าฉุนซีผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตไม่สูง อยู่ในสายตาของพวกเจ้าแล้วไม่ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธใดๆ เขาคงรับโชควาสนาบนภูเขาครั้งนี้ไม่ไหวหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ย “พี่ใหญ่สวีท่านวางใจเถอะ โจวเฝยทำอะไรรู้จักหนักเบาอย่างยิ่ง”
ก็เหมือนอย่างเด็กที่ช่วยไว้ในอุตรกุรุทวีปปีนั้นที่หลังจากถูกเจียงซ่างเจินพาไปยังสำนักเจิ้นจิงทะเลสาบซูเจี่ยน บนทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยก ได้ตั้งชื่อให้ว่าโจวไฉ่เจิน คาดว่าคงเอาโจวมาจากโจวเฝย ไฉ่จากลี่ไฉ่ และเจินจากเจียงซ่างเจินนั่นเอง
ภายหลังเหวยอิ๋งเซียนกระบี่ที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักสองแห่ง เซียนเหรินหลิวเหล่าเฉิง ไปจนถึงหลิวจื้อเม่าหยกดิบ หลี่ฝูฉวีก่อกำเนิด รวมถึงสุยโย่วเปียนผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ต่างก็ดูแลเด็กคนนี้เป็นอย่างดี เกาะกงหลิ่วของทะเลสาบซูเจี่ยนที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวด ผู้มากพรสวรรค์มีมากมาย หลายปีมานี้โจวไฉ่เจินที่คุณสมบัติด้านการฝึกตนไม่มีค่าพอให้พูดถึงกลับเป็นลูกรักของทุกคนอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยกลับมีนิสัยเป็นเด็กดีว่าง่าย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน แต่กลับมักจะไปคุยเล่นกับเถียนไห่จวินและสตรีเฝ้าประตูคนหนึ่งของเกาะชิงเสียเป็นประจำ
นี่เป็นเหตุให้เด็กหญิงที่เดิมทีไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตนแม้แต่น้อยได้รับคาถาตระกูลเซียนถ่ายทอดจากศาลบรรพบุรุษสกุลเจียง เวทคาถาที่ถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักเจิ้นจิ้ง เงินเทพเซียนกองโต และโชควาสนาบนภูเขา จนดันให้นางเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้ หลังจากเฉินผิงอันได้รู้เรื่องก็เอ่ยขอบคุณเจียงซ่างเจินจากใจจริง เจียงซ่างเจินตอบกลับมาว่าอย่ามาด่าคนอื่น ทำเอาเฉินผิงอันรู้สึกละอายใจยิ่งนัก บอกว่าไปถึงศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อเมื่อไหร่ การประชุมในคราวหน้าหากคุยเรื่องของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแล้วมีคลื่นมรสุม ตนที่เป็นเจ้าสำนักจะต้องคัดค้านทุกคนอย่างสุดกำลังแน่นอน ตอนนั้นเจียงซ่างเจินมองเจ้าขุนเขาที่มีสีหน้าจริงใจเป็นพิเศษ แล้วพอหวนนึกไปถึงก่อนหน้านี้ที่เผยเฉียนพูดถึงผู้ถวายงานลำดับรอง รวมไปถึงใต้เท้าเจ้าขุนเขาที่กลับไปเยือนภูเขาลั่วพั่วอย่างรีบร้อนมารอบหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็ไพล่นึกไปถึงประโยคที่ว่า ‘เรื่องดีไม่กลัวการขัดเกลา’ เพียงแต่ว่าพอคิดถึงอีกประโยคที่ว่าเงินน้อยสามารถจ้างผีให้โม่แป้ง เงินมากสามารถให้แป้งโม่ผี จิตใจเจียงซ่างเจินก็สงบลงได้หลายส่วนทันที
เหตุใดถึงแซ่โจว เป็นเพราะบนภูเขามีข้อพิถีพิถัน ‘โจวเฝย’ นามแฝงของเจียงซ่างเจิน อีกทั้งยังจะใช้ชื่อนี้ในการรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่ว เข้าไปอยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลขุนเขาสายน้ำของยอดเขาจี้เซ่อด้วย ถ้าอย่างนั้นนี่ก็หมายความว่าโจวเฝยไม่ใช่นามแฝงที่ว่างเปล่าอีกต่อไป เด็กคนนั้นใช้แซ่ ‘โจว’ ตามเจียงซ่างเจิน ไม่ได้แซ่เฉิน ก็เท่ากับว่าเจียงซ่างเจินรับผลกรรมทั้งหมดไว้ให้แทนเฉินผิงอัน
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!