กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 763

สรุปบท บทที่ 763.2 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 763.2 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 763.2 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

คนทั้งกลุ่มอาศัยใบบุญของสวีหย่วนเสีย เมื่อไปถึงพรรคชิงหลิงจึงไม่เพียงแต่ผ่านด่านไปได้อย่างราบรื่น คนเฝ้าประตูยังแจ้งข่าวไปยังศาลบรรพจารย์ บอกว่าเจ้าศูนย์ผู้เฒ่าสวีมาเยี่ยมเยือนถึงที่

ญาติที่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคชิงหลิงกับสวีหย่วนเสียนับว่าไม่เลว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่งที่ตอนหนุ่มชอบออกเดินทางไกลไปท่องเที่ยว ถึงอย่างไรก็มิอาจดูแคลน เพียงแต่ว่าเมื่อสวีหย่วนเสียอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวลือเล็กๆ บางอย่างยิ่งนานวันน้ำหนักก็ยิ่งเบาบางลง ดังนั้นพอทางศาลบรรพจารย์ได้รับข่าวจึงไม่คิดจะรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของเจ้าประมุข มีแค่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งเท่านั้นที่เผยโฉม ขอบเขตถ้ำสถิต เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง อายุหกสิบปี เป็นทั้งผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่เป็นหนึ่งในตัวสำรองเจ้าประมุข ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าประมุขเอง มีนามว่าไช่เซียน วันนี้เขามีหน้าที่มารับรองกลุ่มคนที่มีสวีหย่วนเสียเป็นผู้นำนี้

หากระหว่างทางที่ขึ้นมาบนภูเขา สวีหย่วนเสียมีท่าทางนอบน้อมเดินรั้งอยู่ท้ายขบวน ถ้าเช่นนั้นเจ้าประมุขพรรคชิงหลิงย่อมต้องตัดใจ ‘ออกจากด่านหยุดการฝึกตน’ ได้ลง แต่ในเมื่อมีผู้ฝึกยุทธเฒ่าสวีเป็นผู้นำ คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็เดินขึ้นเขามาพร้อมกับเขา จึงไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว

ไช่เซียนยืนอยู่บนขั้นสูงสุดของขั้นบันได รอ ‘ต้อนรับ’ แขกผู้ทรงเกียรติ

สวีหย่วนเสียกุมหมัดคารวะมาแต่ไกล “คารวะไช่เซียนซือ”

ใบหน้าของไช่เซียนประดับรอยยิ้ม กุมมือคารวะกลับคืน “เจ้าศูนย์สวี”

อันที่จริงไช่เซียนคอยมองประเมินกลุ่มคนที่อยู่ข้างกายสวีหย่วนเสียอยู่ตลอดเวลา แต่กวอฉุนซีที่เปลี่ยนรูปโฉมใหม่นั้นเขาเหลือบมองผ่านๆ แค่ทีเดียวแล้วก็ไม่มองมากอีก คนธรรมดาสวมชุดผ้าแพรอย่าหวังว่าจะขึ้นเขามาได้เลย

ข้างกายกวอฉุนซีคือบุรุษหล่อเหลาที่มีดวงตาเรียวยาวคนหนึ่ง สวมชุดคลุมตัวยาวสีม่วง เนื้อแพรต่วน มองดูคล้ายลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงอยู่หลายส่วน

และยังมีบุรุษท่าทางสุภาพสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวที่มีรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ตอนที่สวีหย่วนเสียกุมหมัด บุรุษก็กุมหมัดตามไปด้วย เพียงแต่ไม่ได้เปิดปากเอ่ยคำใด

ยังมีเด็กชายชุดขาวตัวเท่าก้นที่หากดวงตาไม่งอกบนหัวก็คงงอกอยู่บนท้องฟ้า เอาสองมือไพล่หลัง ตอนที่สวีหย่วนเสียกุมหมัด เขาไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ รอกระทั่งบุรุษชุดเขียวกุมหมัด เด็กชายถึงได้กุมหมัดตามด้วยท่าทางไม่ยินยอมพร้อมใจ

ไปถึงบนยอดเขา จวนตระกูลเซียนเรียงรายเป็นแถบที่เลือกชัยภูมิได้อย่างแม่นยำมีไอเมฆล้อมวน กลิ่นอายเซียนบางเบาล่องลอย เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “ทำไม ซุกซ่อนความลี้ลับไว้งั้นหรือ?”

เฉินผิงอันตอบ “ไม่มี ก็แค่ถูกงูกัดทีเดียวกลัวเชือกไปสิบปีเท่านั้น กังวลว่าจะมียอดฝีมือนอกโลกอย่างพวกเผยหมิ่นซ่อนตัวอยู่”

เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างหน่ายใจ “อะไรกับอะไรกันเนี่ย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อดีตเจ้าสำนักเจียงก็ยังมายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”

เจียงซ่างเจินนวดคลึงปลายคาง “มีเหตุผล”

นึกไม่ถึงว่าวันนี้บนภูเขาพรรคชิงหลิงจะมีการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เป็นเทพธิดาสองคนที่ประลองฝีมือกันอยู่ในศาลา แต่ห่างจากที่แห่งนี้ไปค่อนข้างไกล อยู่ติดกับหน้าผา ยังต้องเดินไปอีกหลายลี้

เดิมทีไช่เซียนคิดว่าแค่ต้มชาภูเขารับรองหนึ่งกาก็น่าจะส่งแขกลงจากภูเขาได้แล้ว เพียงแต่พอชำเลืองตาไปมองกวอฉุนซีก็เกิดเปลี่ยนความคิด เชื้อเชิญให้คนทั้งกลุ่มไปเป็นแขกที่หอชมทัศนียภาพริมหน้าผาด้วยกัน เพียงแค่บอกกฎของขุนเขาสายน้ำไปรอบหนึ่งว่า จำไว้ว่าอย่าบุกเข้าไปใน ‘ม่านจักษุ’ ของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเด็ดขาด บอกว่าทางที่ดีที่สุดคือควรอยู่ห่างจากศาลามาอย่างน้อยเก้าสิบก้าว คนทั้งกลุ่มจึงทำตามกฎ เดินเลียบเส้นทางสายเล็กที่มีเงาร่มไม้เขียวครึ้มบนสันภูเขา พอการมองเห็นเปิดกว้างก็พากันหยุดเดิน มองไกลๆ ไปยังศาลาหลังเล็กที่ชายคาตวัดงอน แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘เกาไจ’ (สูงมาก) แห่งนั้น

ศาลาคล้ายนกสยายปีกบิน สูงชันอันตราย ศาลาเกาไจ เฉินผิงอันคิดว่าชื่อนี้ไม่เลว

ในเรื่องของการตั้งชื่อนี้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อสำนักพรรคหรือชื่อของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต การแกะสลักตัวอักษรลงบนหน้าผา คนรุ่นหลังนับว่าเสียเปรียบ เหตุผลก็พอๆ กับการแต่งกลอนเขียนวลีนั่นแหละ

เฉินผิงอันอดไม่ไหวใช้เสียงในใจถามว่า “ในใต้หล้าไพศาล ศาลาที่ตั้งชื่อว่าศาลาเกาไจ ที่อื่นมีอีกหรือไม่?”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ไม่มีหนึ่งร้อย ก็น่าจะมีหลายสิบกระมัง”

เฉินผิงอันพยักหน้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว

ถึงอย่างไรทางฝั่งของยอดเขาจี้เซ่อก็มีศาลาซานสุ่ย (ขุนเขาสายน้ำ) อยู่แล้ว จะขาดศาลาเกาไจไปได้อย่างไร

เฉินผิงอันมองไปทางกวอฉุนซี บุรุษวัยกลางคนมีสีหน้าเลื่อนลอย เบิกตากว้างเหม่อมองหญิงสาวคนหนึ่งที่เล่นหมากล้อมอยู่ในศาลา

เฉินผิงอันถอนสายตากลับ มองไปทางศาลาใหม่อีกครั้ง อันที่จริงเขาออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะเทพธิดาบนภูเขาที่ประชันวิชาหมากล้อมอยู่กับผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลของพรรคชิงหลิงในศาลาแต่งกายเหมือนนักพรตหญิงของลัทธิเต๋า บนศีรษะไม่สวมกวานเต๋า แต่ปักเครื่องประดับผมที่มีลักษณะเหมือนดอกเหมย บนตัวเครื่องประดับยังแกะสลักตัวอักษรแถวเล็กๆ คำว่าอารามชิงเหมย (เหมยเขียว) มองเหมยเขียว

มิน่าเล่ากวอฉุนซีถึงได้พ่ายแพ้ให้กับไช่ถ้ำสถิต ไม่ใช่แค่ความต่างราวดินโคลนกับก้อนเมฆระหว่างบนภูเขากับล่างภูเขาเท่านั้น

ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลของพรรคชิงหลิงที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตเช่นเดียวกันผู้นั้น ระหว่างที่วางหมากก็ได้เหลือบมองมาทางนี้ นางผงกศีรษะให้กวอฉุนซีอย่างมีมารยาท จากนั้นส่งยิ้มทางดวงตาให้แก่ไช่เซียน ไม่ใช่คู่รักเทพเซียนที่จับมือกันทะยานลม ไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมใสกระจ่างดุจน้ำฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในดวงตา ตระกูลเซียนขนาดเล็กอย่างพรรคชิงหลิงนี้ ถ้ำสถิตอายุน้อยสองคน ในอนาคตใครจะได้เป็นเจ้าประมุขล้วนเป็นของในกระเป๋าของบ้านตัวเอง คาดว่าเจ้าประมุขคนปัจจุบันก็คงยินดีจะให้เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สองคนอื่น แก่งแย่งกันไปช่วงชิงกันมา จะทำลายความสามัคคีปรองดองเอาได้ หากใครคนใดคนหนึ่งจากไปพร้อมกับความขุ่นเคืองก็จะยิ่งเป็นการทำร้ายไปถึงกระดูกและเส้นเอ็น แต่ดูจากท่าทางตอนนี้ เทพธิดาผู้นั้นกับไช่เซียนยังไม่ใช่ข้าวสารที่กลายเป็นข้าวสุก อันที่จริงเรื่องไม่คาดฝันก็อาจจะยังเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่นฝ่ายแรกฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนแรกในประวัติศาสตร์ของพรรคชิงหลิง ถึงเวลานั้นเจ้าประมุขเช่นนางก็จะเป็นคนบนยอดเขาที่ดูแคลนคนกึ่งกลางภูเขาแล้ว ไม่ต่างจากปีนั้นที่พอนางขึ้นเขามาก็ดูแคลนกวอฉุนซีที่อยู่นอกภูเขา

น่าเสียดายที่เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรท่านนั้นวางมาดใหญ่โต ไม่ยอมเผยตัว ไม่อย่างนั้นก็จะได้เห็นความไม่ธรรมดาของชุดคลุมอาคมบนร่างกวอฉุนซี เรื่องราวหลังจากนี้จะเปลี่ยนมาเป็นน่าสนใจอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนหญิงลงจากภูเขาหวนกลับบ้านเกิดไปเยี่ยมญาติ ระหว่างที่เดินทางผ่านศูนย์ฝึกยุทธของอำเภอเซียนโหยว นึกไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกผู้สิ้นหวังตกอับซึ่งในอดีตเคยเติบโตมาด้วยกันจะเกิดแรงใจฮึกเหิม ออกจากบ้านเดินทางไกล แล้วหายตัวไปไม่ทราบร่องรอย…หลังกลับมาถึงภูเขา พอเจ้าประมุขถาม สตรียิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกลึกลับ ยิ่งคิดก็ยิ่งคะนึงหา นับแต่นั้นมาต้องคอยพะวงถึงผลได้ผลเสีย ชื่อหนึ่งที่เกือบจะลืมจากใจไปหมดสิ้นกลับมาวนเวียนอยู่ในใจไม่หยุดอีกครั้ง…ช่างเถิด ถือเสียว่าพี่น้องกวอชายตาให้คนตาบอดมองก็แล้วกัน เวลาบนภูเขายาวนาน ไม่เห็นต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรก็ต้องมีโอกาสได้พบเจอกันอีก

เจียงซ่างเจินมองภาพบรรยากาศในช่องโพรงลมปราณของสตรีผู้นั้น เลื่อนเป็นโอสถทองค่อนข้างยากแล้ว แต่หากคิดจะกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรกลับยังพอจะมีความหวังอยู่มาก สำหรับตระกูลเซียนห่างไกลอย่างพรรคชิงหลิงนี้ สามารถหาตัวอ่อนผู้ฝึกตนเช่นนี้ได้ก็ถือว่าศาลบรรพจารย์มีควันเขียวผุดลอยขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่าเจียงซ่างเจินยังคงรู้สึกเสียใจมากกว่า คนอีกคนหนึ่งที่ประลองวิชาหมากล้อมอยู่ในศาลา แม่นางน้อยของอารามชิงเหมยที่เขาไม่รู้จักคนนั้นหาเงินได้ยากเกินไปแล้ว ถึงกับต้องมาปรากฎตัวในบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาเล็กๆ อย่างพรรคชิงหลิงนี้ ในเมื่อเคยมีความสัมพันธ์กับเจ้าขุนเขาบ้านตน เจียงซ่างเจินจึงโยนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งไปให้เงียบๆ จากนั้นจึงใช้เสียงในใจเอ่ยอย่างลับๆ อยู่ท่ามกลางตราผนึกขุนเขาสายน้ำของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนั้น “รู้จักพี่ใหญ่โจวหรือไม่?”

สตรีจากพรรคชิงหลิงผู้นั้นมึนงง เพียงแต่อดยินดีอย่างเลี่ยงไม่ได้ ริ้วคลื่นกระเพื่อมของปราณวิญญาณจากเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเต็มๆ เมื่อมาอยู่ในพื้นที่คับแคบอย่างศาลาเล็กหลังนี้ ปราณวิญญาณที่อยู่ดีๆ ก็เอ่อล้นออกมาทำให้คนเคลิบเคลิ้มเหมือนเมาสุราได้เลย

ส่วนนักพรตหญิงของอารามชิงเหมยผู้นั้นก็ยิ่งลิงโลด วางเม็ดหมากในมือลง ลุกพรวดขึ้นยืน หันหน้าออกไปนอกหน้าผา ยอบตัวคารวะ จากนั้นจึงเปิดปากเอ่ยว่า “โจวเซินฉิง? โจวเซียนซือ?!”

เจียงซ่างเจินกำลังจะตอบกลับนางไปว่า ‘เรียกโจวเซียนซืออะไรกัน เรียกพี่ใหญ่โจวสิ’ ผลคือถูกเฉินผิงอันถองเข้าให้ จึงได้แต่โยนเงินร้อนน้อยไปอีกหนึ่งเหรียญแล้วเปลี่ยนประโยคเสียใหม่ว่า “วันนี้พี่ใหญ่โจวมีธุระต้องไปทำ ไว้ค่อยคุยกันคราวหน้า”

เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยอย่างประหลาดใจ “บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำบนภูเขานี้ หากขยับขยายกว้างออกไปอีกสักหน่อยก็ไม่ถือว่าเป็นรายงานขุนเขาฉบับหนึ่งได้เลยหรอกหรือ?”

เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “นี่ยังเป็นเพราะราชวงศ์ต้าหลีนำร่องบุกเบิก เพราะอันที่จริงช่วงแรกเริ่มสุดนั้น รายงานขุนเขาสายน้ำและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของใต้หล้าไพศาลล้วนถูกสั่งห้ามหมดแล้ว ทว่าแจกันสมบัติทวีปไม่สนใจใยดีกฎของทางศาลบุ๋นเลยแม้แต่น้อย เปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนำขึ้นมาก่อน แต่ก็ใช้วิธีการที่พบกันครึ่งทาง ไม่สามารถพูดถึงสงครามในครานั้น ไม่อย่างนั้นก็จะถูกราชวงศ์ของแต่ละแคว้นจดบันทึกเอาไว้ จากนั้นผู้ฝึกตนต้าหลีก็จะมาหาถึงที่ ใครทำคนนั้นก็ต้องรับผลของการกระทำเอาเอง ในเมื่อสงครามใหญ่ปิดฉากลงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องมารับเคราะห์เช่นนี้ แน่นอนว่าก็มีตระกูลเซียนบนภูเขาบางส่วนที่หัวแข็ง ไม่ค่อยเห็นเป็นสำคัญ รู้สึกว่าราชวงศ์ต้าหลีที่ขุนเขาสายน้ำลดน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง และอาณาเขตก็จะยังคงลดน้อยลงต่อไปเรื่อยๆ แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ส่วนจุดจบสุดท้ายน่ะหรือ ไม่ผิดไปจากที่คาดเลยสักนิด สกุลซ่งต้าหลีเองก็อำมหิตจริงๆ จัดการกองกำลังตระกูลเซียนที่ไม่รักษากฎกลุ่มใหญ่ไปอย่างลับๆ แต่กลับไม่รีบร้อนจะป่าวประกาศให้ทั้งใต้หล้ารับรู้ รอกระทั่งรวบรวมจนครบห้าสิบตระกูลแล้วถึงปล่อยข่าวออกมา ทางฝั่งของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่เพียงแต่ไม่ซักไซ้เอาผิดต้าหลี ยังเลียนแบบทำตามด้วย”

ในสมองของเฉินผิงอันมีคำสองคำผุดขึ้นมา จานกาน ตกปลา

เจียงซ่างเจินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็พูดกันว่านี่เป็นฝีมือของหลิ่วชิงเฟิงเจ้ากรมผู้เฒ่าแห่งกรมพิธีการที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี ไอ้หมอนี่เองก็ไม่เหลือทางถอยไว้ให้ตัวเองแม้แต่น้อย ทว่าดูจากข่าวเบื้องหลังที่ส่งมาจากสำนักเจินจิ้ง อันที่จริงนี่เป็นความคิดของจ้าวเหยารองเจ้ากรมอาญาของเมืองหลวงต้าหลี คนหนุ่มที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู โดยเฉพาะพวกบัณฑิต ช่างจิตใจอำมหิตกันจริงๆ แต่นี่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงใจที่แข็งเป็นหินของหลิ่วชิงเฟิง”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!