คนทั้งกลุ่มอาศัยใบบุญของสวีหย่วนเสีย เมื่อไปถึงพรรคชิงหลิงจึงไม่เพียงแต่ผ่านด่านไปได้อย่างราบรื่น คนเฝ้าประตูยังแจ้งข่าวไปยังศาลบรรพจารย์ บอกว่าเจ้าศูนย์ผู้เฒ่าสวีมาเยี่ยมเยือนถึงที่
ญาติที่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคชิงหลิงกับสวีหย่วนเสียนับว่าไม่เลว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่งที่ตอนหนุ่มชอบออกเดินทางไกลไปท่องเที่ยว ถึงอย่างไรก็มิอาจดูแคลน เพียงแต่ว่าเมื่อสวีหย่วนเสียอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวลือเล็กๆ บางอย่างยิ่งนานวันน้ำหนักก็ยิ่งเบาบางลง ดังนั้นพอทางศาลบรรพจารย์ได้รับข่าวจึงไม่คิดจะรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของเจ้าประมุข มีแค่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งเท่านั้นที่เผยโฉม ขอบเขตถ้ำสถิต เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง อายุหกสิบปี เป็นทั้งผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่เป็นหนึ่งในตัวสำรองเจ้าประมุข ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าประมุขเอง มีนามว่าไช่เซียน วันนี้เขามีหน้าที่มารับรองกลุ่มคนที่มีสวีหย่วนเสียเป็นผู้นำนี้
หากระหว่างทางที่ขึ้นมาบนภูเขา สวีหย่วนเสียมีท่าทางนอบน้อมเดินรั้งอยู่ท้ายขบวน ถ้าเช่นนั้นเจ้าประมุขพรรคชิงหลิงย่อมต้องตัดใจ ‘ออกจากด่านหยุดการฝึกตน’ ได้ลง แต่ในเมื่อมีผู้ฝึกยุทธเฒ่าสวีเป็นผู้นำ คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็เดินขึ้นเขามาพร้อมกับเขา จึงไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว
ไช่เซียนยืนอยู่บนขั้นสูงสุดของขั้นบันได รอ ‘ต้อนรับ’ แขกผู้ทรงเกียรติ
สวีหย่วนเสียกุมหมัดคารวะมาแต่ไกล “คารวะไช่เซียนซือ”
ใบหน้าของไช่เซียนประดับรอยยิ้ม กุมมือคารวะกลับคืน “เจ้าศูนย์สวี”
อันที่จริงไช่เซียนคอยมองประเมินกลุ่มคนที่อยู่ข้างกายสวีหย่วนเสียอยู่ตลอดเวลา แต่กวอฉุนซีที่เปลี่ยนรูปโฉมใหม่นั้นเขาเหลือบมองผ่านๆ แค่ทีเดียวแล้วก็ไม่มองมากอีก คนธรรมดาสวมชุดผ้าแพรอย่าหวังว่าจะขึ้นเขามาได้เลย
ข้างกายกวอฉุนซีคือบุรุษหล่อเหลาที่มีดวงตาเรียวยาวคนหนึ่ง สวมชุดคลุมตัวยาวสีม่วง เนื้อแพรต่วน มองดูคล้ายลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงอยู่หลายส่วน
และยังมีบุรุษท่าทางสุภาพสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวที่มีรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ตอนที่สวีหย่วนเสียกุมหมัด บุรุษก็กุมหมัดตามไปด้วย เพียงแต่ไม่ได้เปิดปากเอ่ยคำใด
ยังมีเด็กชายชุดขาวตัวเท่าก้นที่หากดวงตาไม่งอกบนหัวก็คงงอกอยู่บนท้องฟ้า เอาสองมือไพล่หลัง ตอนที่สวีหย่วนเสียกุมหมัด เขาไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ รอกระทั่งบุรุษชุดเขียวกุมหมัด เด็กชายถึงได้กุมหมัดตามด้วยท่าทางไม่ยินยอมพร้อมใจ
ไปถึงบนยอดเขา จวนตระกูลเซียนเรียงรายเป็นแถบที่เลือกชัยภูมิได้อย่างแม่นยำมีไอเมฆล้อมวน กลิ่นอายเซียนบางเบาล่องลอย เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “ทำไม ซุกซ่อนความลี้ลับไว้งั้นหรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “ไม่มี ก็แค่ถูกงูกัดทีเดียวกลัวเชือกไปสิบปีเท่านั้น กังวลว่าจะมียอดฝีมือนอกโลกอย่างพวกเผยหมิ่นซ่อนตัวอยู่”
เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างหน่ายใจ “อะไรกับอะไรกันเนี่ย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อดีตเจ้าสำนักเจียงก็ยังมายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”
เจียงซ่างเจินนวดคลึงปลายคาง “มีเหตุผล”
นึกไม่ถึงว่าวันนี้บนภูเขาพรรคชิงหลิงจะมีการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เป็นเทพธิดาสองคนที่ประลองฝีมือกันอยู่ในศาลา แต่ห่างจากที่แห่งนี้ไปค่อนข้างไกล อยู่ติดกับหน้าผา ยังต้องเดินไปอีกหลายลี้
เดิมทีไช่เซียนคิดว่าแค่ต้มชาภูเขารับรองหนึ่งกาก็น่าจะส่งแขกลงจากภูเขาได้แล้ว เพียงแต่พอชำเลืองตาไปมองกวอฉุนซีก็เกิดเปลี่ยนความคิด เชื้อเชิญให้คนทั้งกลุ่มไปเป็นแขกที่หอชมทัศนียภาพริมหน้าผาด้วยกัน เพียงแค่บอกกฎของขุนเขาสายน้ำไปรอบหนึ่งว่า จำไว้ว่าอย่าบุกเข้าไปใน ‘ม่านจักษุ’ ของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเด็ดขาด บอกว่าทางที่ดีที่สุดคือควรอยู่ห่างจากศาลามาอย่างน้อยเก้าสิบก้าว คนทั้งกลุ่มจึงทำตามกฎ เดินเลียบเส้นทางสายเล็กที่มีเงาร่มไม้เขียวครึ้มบนสันภูเขา พอการมองเห็นเปิดกว้างก็พากันหยุดเดิน มองไกลๆ ไปยังศาลาหลังเล็กที่ชายคาตวัดงอน แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘เกาไจ’ (สูงมาก) แห่งนั้น
ศาลาคล้ายนกสยายปีกบิน สูงชันอันตราย ศาลาเกาไจ เฉินผิงอันคิดว่าชื่อนี้ไม่เลว
ในเรื่องของการตั้งชื่อนี้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อสำนักพรรคหรือชื่อของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต การแกะสลักตัวอักษรลงบนหน้าผา คนรุ่นหลังนับว่าเสียเปรียบ เหตุผลก็พอๆ กับการแต่งกลอนเขียนวลีนั่นแหละ
เฉินผิงอันอดไม่ไหวใช้เสียงในใจถามว่า “ในใต้หล้าไพศาล ศาลาที่ตั้งชื่อว่าศาลาเกาไจ ที่อื่นมีอีกหรือไม่?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ไม่มีหนึ่งร้อย ก็น่าจะมีหลายสิบกระมัง”
เฉินผิงอันพยักหน้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว
ถึงอย่างไรทางฝั่งของยอดเขาจี้เซ่อก็มีศาลาซานสุ่ย (ขุนเขาสายน้ำ) อยู่แล้ว จะขาดศาลาเกาไจไปได้อย่างไร
เฉินผิงอันมองไปทางกวอฉุนซี บุรุษวัยกลางคนมีสีหน้าเลื่อนลอย เบิกตากว้างเหม่อมองหญิงสาวคนหนึ่งที่เล่นหมากล้อมอยู่ในศาลา
เฉินผิงอันถอนสายตากลับ มองไปทางศาลาใหม่อีกครั้ง อันที่จริงเขาออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะเทพธิดาบนภูเขาที่ประชันวิชาหมากล้อมอยู่กับผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลของพรรคชิงหลิงในศาลาแต่งกายเหมือนนักพรตหญิงของลัทธิเต๋า บนศีรษะไม่สวมกวานเต๋า แต่ปักเครื่องประดับผมที่มีลักษณะเหมือนดอกเหมย บนตัวเครื่องประดับยังแกะสลักตัวอักษรแถวเล็กๆ คำว่าอารามชิงเหมย (เหมยเขียว) มองเหมยเขียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!