เฉินผิงอันพาชุยตงซาน เว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงเดินไปยังจวนที่บรรยากาศลุ่มลึกอย่างถึงที่สุดหลังนั้น
ทางฝั่งนี้มีลำธารเอื่อยๆ ไหลรินผ่าน คนสองกลุ่มยืนพิงราวรั้ว
หลี่เอ้อ หลี่หลิ่ว หันเฉิงเจียง
หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย ต่งสุ่ยจิ่ง
อวี๋ลู่กำลังมองปลาในลำธาร คิดว่าจะทำเบ็ดตกปลาด้วยตัวเองสักคัน
เซี่ยเซี่ยพอเห็นชุยตงซาน นางก็ไม่มีท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์อีก
แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยเรียกหลี่เอ้อว่าท่านอาหลี่ หลี่เอ้อพยักหน้ายิ้มรับแล้ว ชุยตงซานก็รีบวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเซี่ยเซี่ยทันใด เขย่งปลายเท้า ยืดคอยาว ตะโกนเสียงดังอยู่ข้างหูนาง “โอสถทองใหญ่เซี่ย เทพธิดาใหญ่เซี่ย!”
เซี่ยเซี่ยตัวแข็งทื่อ หัวใจบีบรัดตัวแน่น ยืนนิ่งไม่ขยับ
อวี๋ลู่โบกมือให้เฉินผิงอัน “ข้าไปหาไม้ไผ่ก่อนนะ”
อวี๋ลู่ดีดปลายเท้าเล็กน้อยก็ข้ามรั้วไม้ไผ่และธารน้ำไป วิ่งไปยังป่าไผ่ฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มง่วนอยู่คนเดียว
เฉินผิงอันเอ่ยกับหลินโส่วอี “ก่อนหน้านี้ไปที่ศาลลำน้ำใหญ่มารอบหนึ่ง ตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะออกไปได้ไม่นานเท่าไร”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นสักเท่าไร ยังคงเป็นแบบที่เคยเป็นมา คาดว่าต่อให้ผ่านไปอีกหลายร้อยหรือถึงพันปี หลินโส่วอีก็ยังคงมีนิสัยเช่นนี้อยู่เหมือนเดิม
เฉินผิงอันพูดกับต่งสุ่ยจิ่ง “กลับไปถึงเรือนพักในจังหวัดแล้วจะไปดื่มเหล้ากับเจ้า ขอความรู้เรื่องการทำการค้า”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มตอบ “มีเรื่องให้คุยเยอะนักเลยล่ะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดให้หลี่หลิ่วและหันเฉิงเจียงผู้นั้น เพียงยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไร
ไม่อย่างนั้นคาดว่าวันนี้หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิ่งก็คงต้องมาดื่มเหล้ากับตนแล้ว
หลี่หลิ่วยิ้มบางๆ พร้อมพยักหน้ารับ หันเฉิงเจียงประสานมือคารวะตามกฎระเบียบ “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันจึงได้แต่คารวะแบบเดียวกันกลับคืนไป “คารวะอาจารย์หัน”
หลินโส่วอีกระตุกมุมปาก ต่งสุ่ยจิ่งคิดว่าตาไม่เห็นใจย่อมไม่หงุดหงิด จึงหันตัวไปมองป่าไผ่ฝั่งตรงข้าม คารวะ คารวะ ทำไมคนแซ่หันอย่างเจ้าไม่ค้อมเอวจนหน้าผากจรดพื้นไปเลยเล่า แบบนั้นจะไม่ยิ่งดูจริงใจมากกว่าหรอกหรือ?
จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินเล่นห่างไปไกลพร้อมกับหลี่เอ้อ
หลี่เอ้อถาม “ความเคลื่อนไหวที่ใบถงทวีป?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางที่ภูเขาไท่ผิง”
หลี่เอ้อเอ่ยอย่างปลาบปลื้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะอยู่บนภูเขาหลายวันหน่อย ป้อนหมัดไม่ต้องระวังมือเท้าอีกแล้ว”
เฉินผิงอันสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
หลี่เอ้อตบไหล่เฉินผิงอัน รวมเสียงให้เป็นเส้นกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นความต้องการของหลี่หลิ่ว ข้าที่เป็นพ่อก็ไม่มีอะไรให้พูดมาก ถึงอย่างไรนิสัยใจคอของเฉิงเจียงก็ไม่เลว แต่มีประโยคหนึ่งที่อันที่จริงข้าไม่ควรพูด เจ้ากลับบ้านมาช้าเกินไป อาหญิงของเจ้ารู้สึกเสียดายอย่างมาก มักจะพร่ำพูดว่าหากเจ้ากลับมาเร็วหน่อย ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่มีทางตอบตกลงกับงานแต่งครั้งนี้เป็นแน่”
เฉินผิงอันแข็งใจเอ่ยว่า “ท่านอาหลี่ก็เป็นพ่อตาคนแล้ว ไม่ควรพูดประโยคนี้จริงๆ”
หลี่เอ้อหัวเราะ ต่อยลงบนไหล่ของเฉินผิงอันหนึ่งหมัด “ไม่ควรเป็นการป้อนหมัดอะไรแล้ว น่าจะเป็นการถามหมัดของขอบเขตเดียวกันถึงจะถูก”
ไหล่เฉินผิงอันเอียงไปข้างหนึ่ง “แน่นอนว่ายังคงต้องป้อนหมัด”
สามชั้นของขอบเขตปลายทาง ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน
เฉินผิงอันเป็นแค่ปราณโชติช่วง แต่หลี่เอ้อกลับเป็นเทพมาเยือนแล้ว
หลี่เอ้อกล่าว “ขอแค่เจ้าชนะข้า จะเป็นการป้อนหมัดหรือถามหมัด แน่นอนว่าเจ้าเป็นคนตัดสินใจ”
เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มเจื่อนจนคำพูด
การป้อนหมัดของท่านอาหลี่ ไม่เบาเลยจริงๆ
ชุยตงซานอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องในวันวานกับเซี่ยเซี่ย
หลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยนเดินไปหาหลี่เอ้อ ขอความรู้วิชาหมัดบางอย่างจากเขา
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พาเหวยเหวินหลงไปเยี่ยมเยือนเหวยอวี่ซงเทพเจ้าแห่งโชคลาภสำนักพีหมา ฟ่านเอ้อ ซุนเจียซู่ จินซู่
ฟ่านเอ้อมาคอยยืนรอเฉินผิงอันที่หน้าประตูอยู่ตลอดเวลา
เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ตรงไปหา ยิ้มพลางยกมือขึ้นตีมือกับฟ่านเอ้อแรงๆ
ฟ่านเอ้อเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ทุกวันนี้ข้าเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตห้าของวิถีวรยุทธแล้วนะ คราวหน้าพวกเรามาประลองฝีมือกันสักหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันลังเลอยู่นาน สุดท้ายเอ่ยแค่ว่า “ทะลุขอบเขตเร็วยิ่งนัก”
อยู่ที่นี่ล้วนพูดคุยกันเรื่องของการค้า ไม่ใช่ว่าไม่มีความสัมพันธ์ควันธูป แต่ว่ามิตรภาพ แท้จริงแล้วก็อยู่ในการค้านี่เอง
สหายที่แท้จริง แท้จริงแล้วพูดหนึ่งพันกล่าวหนึ่งหมื่นก็หนีไม่พ้นความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายใหญ่กว่าคำว่าเงินเท่านั้น
ยามอยู่กับเซี่ยซงฮวา หยวนหลิงเตี้ยน เว่ยซานจวินที่เป็นแขกของภูเขาลั่วพั่วก็ถือว่าได้แสดงน้ำใจของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่แล้ว
เฉินผิงอันพาจูเหลี่ยนและจ้งชิวมาเยี่ยมเยือนมอบของขวัญกลับคืน
อวี้เจวี้ยนฟูกุมหมัด
หลินจวินปี้กุมหมัดก่อน จากนั้นค่อยประสานมือคารวะ เอ่ยเรียกสองครั้งด้วยคำเรียกขานสองอย่าง “คารวะใต้เท้าอิ่นกวาน คารวะอาจารย์เฉิน”
เฉินผิงอันผงกศีรษะตอบรับก่อน จากนั้นจึงประสานมือคารวะกลับคืน ยิ้มถามว่า “พวกเฉากุ่น เสวียนเซินสบายดีหรือไม่?”
หลินจวินปี้ลุกขึ้นยืนก่อนถึงตอบ “ล้วนได้เจอกันคนละครั้ง คิดถึงใต้เท้าอิ่นกวานยิ่งกว่าจวินปี้เสียอีก”
หลินจวินปี้แห่งราชวงศ์เส้าหยวน ทุกวันนี้อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ได้เป็นแค่เด็กหนุ่มที่มีชื่อเสียงอีกต่อไป แต่เป็นบุคคลผู้โดดเด่นในบรรดากลุ่มคนรุ่นเยาว์ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อหลินจวินปีนี้ ก็มักจะมอบความรู้ตื่นตะลึงให้แก่ผู้คนได้เสมอ ขอบเขตของผู้ฝึกกระบี่ ประสบการณ์และคุณความชอบทางการสู้รบที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ความสามารถส่วนบุคคล การสืบทอดสายบุ๋นของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ฉู่เซียง (ตำแหน่งขุนนางผู้ช่วยในสภาขุนนาง) แห่งราชวงศ์เส้าหยวน รูปโฉมที่หล่อเหลาโดดเด่น กลิ่นอายแห่งตระกูลเซียนบนภูเขา ฝีมือการเล่นหมากล้อมที่สูงส่ง บุคลิกสุภาพสง่างาม เก่งในการลงมือปฏิบัติจริง…ล้วนมีแต่ข้อดี ราวกับว่าเป็นคนที่ไร้ตำหนิอย่างไรอย่างนั้น
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “จวินปี้ เจ้ายังต้องผ่านสามด่านไปให้ได้ จิตมารของคอขวดก่อกำเนิด เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน รับหน้าที่เป็นราชครูของราชวงศ์เส้าหยวน รอคอยคำด่าอย่างสงบ”
หลินจวินปี้สีหน้าเคร่งขรึม รอคอยประโยคต่อไปเงียบๆ คิดดูแล้วด่านสุดท้ายมีแต่จะข้ามผ่านไปได้ยากยิ่งกว่า
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ยังต้องให้ข้าพูดมากอีกหรือ? แน่นอนว่าต้องรีบหาภรรยา อย่าอยู่เป็นชายโสดขึ้นคานน่ะสิ”
หางตาเฉินผิงอันเหลือบมองไปยังสตรีที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง
อวี้เจวี้ยนฟูถามอย่างขำๆ ปนฉุน “จะถามหมัดรึ?”
หลินจวินปี้พยักหน้า “ข้าลงเดิมพันว่าแม่นางอวี้จะชนะ”
ขอแค่ใต้เท้าอิ่นกวานตอบตกลงว่าจะถามหมัดกับคนอื่น หลินจวินปี้รู้สึกว่าตัวเองต้องจ่ายเงินดูเรื่องสนุกก็ถือว่าได้กำไรแล้ว
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พูดกับหลินจวินปี้ด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทุกวันนี้ฝีมือการเล่นหมากล้อมของข้าพัฒนาไปมาก วันหน้าข้าจะให้ชุยตงซานเล่นกับเจ้าหลายๆ ตา”
หลินจวินปีมีสีหน้าเหนื่อยใจ นี่มันหลักการอะไรของใต้เท้าอิ่นกวานกัน?
เฉินผิงอันกล่าว “แม่นางอวี้ เมื่อหลายปีก่อนต้องขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลเผยเฉียน”
อวี้เจวี้ยนฟูส่ายหน้า “บนสนามรบของเกราะทองทวีป เผยเฉียนเคยช่วยข้าไม่ใช่แค่ครั้งเดียว”
เฉินผิงอันส่ายหน้าเช่นเดียวกัน “บัญชีจะคิดกันเช่นนี้ไม่ได้ หากไม่มีเจ้า การออกจากบ้านไปหาประสบการณ์ของเผยเฉียนมีแต่จะยากลำบากยิ่งกว่านี้”
อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยสัพยอก “จะคิดบัญชีกันให้ชัดเจนรึ?”
เซี่ยซงฮวาเอ่ย “ที่บ้านควบคุมอย่างเข้มงวด มีวิธีอะไร แม่นางอวี้เจ้าก็ช่วยอภัยให้มากหน่อย”
เฉินผิงอันกลัวเซียนกระบี่หญิงจากธวัลทวีปผู้นี้มาก จึงรีบเอ่ยลาไปอย่างเร่งร้อน
ต่อจากนั้นในที่สุดก็ไม่ต้องมอบของขวัญตอบแทนกลับคืนอะไรอีกแล้ว จึงพาเพ่ยเซียงและหงเซี่ยไปพบกับสายของตรอกฉีหลง
เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรอย่างเจี่ยเฉิงนี้ เวลานี้เหมือนกำลังเปิดเนตรสวรรค์ ‘มอง’ เจ้าขุนเขาหนุ่ม ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่หยุด ลูบหนวดเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ดูจากภาพบรรยากาศรอบกายเจ้าขุนเขา อำนาจหนักแต่พลังเบา พลังเบาย่อมโปร่งสว่างทั้งยังล้ำค่า ยังไม่ต้องพูดถึงขอบเขตที่สูงเสียดชั้นเมฆ พูดถึงแค่การวางตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เจ้าขุนเขาก็ราวกับคนที่ผสานรวมกับฟ้าดิน เรียกได้ว่าบรรลุถึงแก่นสุดยอดแล้ว”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
โชคดีที่ที่นี่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย
ล้วนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดไม่ก็ลูกศิษย์ของลูกศิษย์บนทำเนียบบ้านตัวเองทั้งนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!