คนทั้งสองเดินเลียบลำคลองหลงซวีขึ้นไปทางตอนบนของสายน้ำ
ตอนที่ผ่านสะพานหินโค้ง หลิวเสี้ยนหยางก็ยิ้มเอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดปีนั้นข้าถึงได้ยืนกรานจะติดตามช่างหร่วน?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เมื่อก่อนที่นี่มีสะพานแบบคาน ยามสนธยาของทุกวัน คนที่มาเดินเล่นรับลมเย็น มาคุยเล่นกันที่นี่จะมีเยอะมาก เป็นรองแค่ใต้ต้นไหวโบราณเท่านั้น ฝ่ายหลังนี้มีคนแก่กับเด็กเยอะ แต่ที่นี่กลับมีคนหนุ่มเยอะ สตรีก็เยอะ”
หลิวเสี้ยนหยางนวดคลึงข้างแก้ม พูดอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่แม่นางน้อยในปีนั้น ทุกวันนี้ต่างก็อายุไม่น้อยกันแล้ว ทุกครั้งที่พบเจอข้าระหว่างทาง ข้างกายแม่นางแก่จะต้องพาแม่นางน้อยมาด้วย สายตาที่มองข้าไม่ค่อยปกติเท่าไร เหมือนจะกินคนอย่างไรอย่างนั้น”
เฉินผิงอันเอ่ย “อย่าคิดมาก พวกนางก็แค่สงสัยว่าเจ้าคือผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าหล่อเหลารูปงาม ดูไม่แก่ชราหรอก”
เรื่องที่หลิวเสี้ยนหยางเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียน มนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาของเมืองเล็กที่รู้เรื่องมีอยู่ไม่มาก บวกกับที่ศาลบรรพจารย์ของช่างหร่วนย้ายไปอยู่ทางทิศเหนือของเมืองหลวง หลิวเสี้ยนหยางอยู่เฝ้าร้านตีเหล็กเพียงลำพัง ต่อให้เป็นพวกในอาณาเขตขุนเขาเหนือที่ข่าวสารว่องไว อย่างมากสุดก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าหลิวเสี้ยนหยางคือลูกศิษย์นักการที่ช่วยงานจุกจิกของสำนักกระบี่หลงเฉวียนเท่านั้น
หลิวเสี้ยนหยางทอดถอนใจเอ่ย “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงเป็นเซอเชี่ยนเยว่ที่เหมาะสมกับข้าหน่อย เป็นคู่สร้างคู่สม เมื่อมีวาสนา ต่อให้อยู่ห่างพันลี้ก็ยังได้มาพบเจอกัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทุกวันนี้นางใช้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่รึ? ใช้ความคิดจิตใจไปไม่น้อย”
เซอเยว่ อวี๋เชี่ยนเยว่ ดวงจิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย เมื่อความคิดบังเกิดจิตใจก็ล่องลอยไปไกลอีกครั้ง เหมือนลมวสันต์พลิกเปิดหน้าหนังสือที่ทำการตรวจสอบความคิดอย่างไร้ความยำเกรง
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “เดิมทีพี่สะใภ้ของเจ้านางก็เป็นแม่นางที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นนางที่เห็นคนหนุ่มมากความสามารถมาทั่วทั้งสองทวีป ข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำ สุดท้ายก็คงไม่มีทางเลือกแค่หลิวเสี้ยนหยาง จากนั้นก็ไม่ยอมจากไปอีกเช่นนี้หรอก”
เฉินผิงอันไม่ได้ต่อคำ หยุดยืนอยู่บนสะพานหินโค้ง ไม่ขยับเท้าเดินต่อไปเบื้องหน้า
หลิวเสี้ยนหยางมองน้ำไหลใสกระจ่างของลำคลองหลงซวี พืชน้ำส่ายสะบัด ปลาน้อยแหวกว่ายในธารา อยู่ดีๆ หลิวเสี้ยนหยางก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย มอง ‘เฉินผิงอัน’ (ชื่อที่เขียนในบันทึก 陈凭案 ไม่ใช่ชื่อของเฉินผิงอัน 陈平安) ที่อยู่ข้างกายนี้ แล้วหันมามองตัวเอง คนเรายามเปรียบเทียบกับผู้อื่นก็ชวนให้โมโหจริงๆ ในบันทึกขุนเขาสายน้ำที่เดิมทีเกือบถูกหลิวเสี้ยนหยางเปิดอ่านจนหน้ากระดาษขาด ในลำธารกลางภูเขาลึก เห็นสตรีผู้หนึ่งนั่งหวีผมอยู่บนหินกลางน้ำ เร่งเดินทางยามค่ำคืน เจอกับสตรีโตเต็มวัยที่เดินโซซัดโซเซไปหลบฝนในวัดร้าง สตรีเคาะประตูขอพักค้างแรม ไม่ต้องคิด หลิวเสี้ยนหยางไม่ต้องเปิดหน้าหนังสือต่อก็รู้ว่าโชคด้านสาวงามของเฉินผิงอันมาถึงแล้ว บัณฑิตได้แต่เจ็บใจที่ตนไม่ใช่คนในตำรา
เพียงแต่หลิวเสี้ยนหยางมาลองคิดดูอีกที ตนก็มีแม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายแล้ว หลังจากกลับไปจะไปแขวนภาพอักษรตัวใหญ่บนผนังที่พัก เขียนเป็นสองคำว่า รู้จักพอ
เฉินผิงอันพลันนั่งลงบนสะพาน หลับตาทำสมาธิ
หลิวเสี้ยนหยางนั่งยองอยู่ด้านข้าง เงียบไปครู่หนึ่ง เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายจึงอดไม่ไหวถามว่า “เป็นอะไรไป?”
เฉินผิงอันใช้สองมือยันพื้นสะพาน แกว่งขาสองข้างที่ลอยห้อยอยู่กลางอากาศเบาๆ ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าเคยมีสัญญาหกสิบปีอยู่ครั้งหนึ่ง เดิมทีคิดว่าจะทำสำเร็จได้ล่วงหน้าก่อนหลายปี ตอนนี้มาลองคิดดูแล้วคงได้แต่รอคอยไปอย่างว่าง่ายแล้วล่ะ อันที่จริงสุดท้ายแล้วจะรอคอยจนถึงวันนั้นได้หรือไม่ ข้าก็ไม่กล้ารับรองเลยด้วยซ้ำ”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “ในอดีตตอนข้ากลับจากทักษินาตยทวีปมายังบ้านเกิด เห็นว่าเหล่าเจี้ยนเถียว (กระบี่โบราณ) ใต้สะพานไม่อยู่แล้ว ก็รู้ว่าเกินครึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้า”
เหล่าเจี้ยนเถียวที่แขวนไว้ใต้สะพานก็ดี เฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายก็ช่าง ในสายตาของคนนอกล้วนเคยชินที่จะเห็นเป็นสิ่งไม่สะดุดตา
เฉินผิงอันกล่าว “น่าจะเป็นซิ่วหู่ที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดสะบั้นการเชื่อมโยงระหว่างพวกเรา รอจนข้ากลับมาถึงบ้านเกิด เท้าเหยียบลงพื้นอย่างมั่นคง มั่นใจในเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริงกลับคล้ายว่าได้เริ่มฝันไปอีกครั้ง ในใจว่างโหวง เมื่อก่อนแม้จะเจอด่านยากๆ มามากมาย แต่อันที่จริงความรู้สึกที่สัมผัสได้โดยที่ไม่มองไม่เห็นนั้นคล้ายเป็นเส้นใยบางๆ ที่เชื่อมโยงอยู่ ต่อให้จะต้องเฝ้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนั้นเพียงลำพัง ก็ยังเคยอาศัยการคิดคำนวณอย่างหนึ่งมา ‘ส่งกระบี่บินแจ้งข่าว’ ให้กับทางฝั่งนี้ครั้งหนึ่ง ความรู้สึกเช่นนั้น…จะพูดว่าอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนอย่างครั้งแรกที่ข้าได้ไปเยือนภูเขาห้อยหัว ศึกที่เกิดขึ้นที่ร่องเจียวหลงก่อนหน้านี้ ต่อให้ข้าแพ้ข้าตายไป ก็ยังไม่ขาดทุนอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้เป็นลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง ขอแค่ข้ายอมสละเลือดเนื้อของตัวเองได้ ก็สามารถลากเจ้าลงมาได้อยู่ดี พอมาลองย้อนนึกดู ความคิดเช่นนี้ อันที่จริงก็คือ…ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของข้าแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่บนเส้นทางการฝึกตน นางช่วยอะไรข้าได้บ้าง แต่เป็นเพราะการดำรงอยู่ของนาง ทำให้จิตใจข้าสงบ ตอนนี้กลับ…ไม่มีแล้ว”
บนเส้นทางของชีวิตคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป อันที่จริงก็มักจะมีความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็น ‘ที่พึ่ง’ ของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นคนที่จิตใจดีงามก็มักจะเชื่อว่าคนทำดีย่อมได้ดีตอบแทน และอาศัยสิ่งนี้มาตั้งตัวเป็นศัตรูกับความทุกข์ยากทั้งหมดบนโลก
สะบั้นการรับสัมผัสทางจิตส่วนที่เฉินผิงอันกับนางมีต่อกันไปอย่างสิ้นเชิง
นี่ก็คือหนึ่งในกุญแจสำคัญของความฝันที่สี่ต่อจากฝันที่สามในถ้ำแห่งโชควาสนาของชุยฉาน
กว่าเฉินผิงอันจะอาศัยประโยคภูเขาไท่ผิงฝึกตัวตนข้าที่แท้จริงจากเจียงซ่างเจินตอนที่อยู่ภูเขาไท่ผิงมาพิสูจน์จริงเท็จของ ‘ความฝัน’ ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือพอกลับมาถึงแจกันสมบัติทวีปที่เป็นบ้านเกิด กลับกลายเป็นว่าเริ่มสับสนขึ้นมาอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะตลอดทางที่เดินทางมานี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ ถ้ำแห่งโชควาสนา ท่าเรือชวีซาน ภูเขาไท่ผิง พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา นครเซิ่นจิ่ง ยอดเขาเทียนแจว๋…ยิ่งขยับขึ้นทางเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนั่งเรือข้ามทวีปมาถึงอาณาเขตขุนเขาใต้ของแจกันสมบัติทวีป สัมผัสทางจิตนั้นกลับไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่เสี้ยวเดียว
กระทั่งเฉินผิงอันเดินทางไปถึงศาลลำน้ำใหญ่ของแจกันสมบัติทวีป ถึงได้หยุดความกังวลส่วนนี้ได้อย่างแท้จริง
ฝึกตนฝึกกระบี่ ถามกระบี่ต่อฟ้า เซียนกระบี่บินทะยาน เรียนวรยุทธปล่อยหมัด บนยอดเขามีข้า เบื้องหน้าไร้ผู้คน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!