โอสถทองผู้เฒ่าจากยอดเขาป๋าอวิ๋นโมโหจนผุดลุกขึ้นยืน ทั้งยังตั้งท่าเตรียมจะออกไปจากศาลบรรพจารย์ก่อน
ขณะเดียวกันผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหลายคนที่เคยไปเยือนสนามรบของนครมังกรเฒ่าก็ล้วนมีท่าทีไม่ต่างกัน ขอแค่ทางฝั่งของยอดเขาป๋าอวิ๋นออกไปจากศาลบรรพจารย์ พวกเขาก็เลือกจะออกไปพร้อมกันด้วย
การประชุมในศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเสี้ยนมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ เห็นกันบ่อยจนชินชาแล้ว
จู๋หวงขมวดคิ้วน้อยๆ ครั้งนี้ไม่ได้ปล่อยให้เซียนกระบี่โอสถทองคนนั้นจากไป เอ่ยเสียงเบาว่า “การประชุมในศาลบรรพจารย์จะออกไปก่อนโดยพลการได้อย่างไร”
โอสถทองผู้เฒ่านั่งกลับลงไปอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ตั้งใจไว้แล้วว่าจะแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้
หยวนเจินเย่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขายกสองแขนกอดอก ข่มกลั้นเอาไว้ไม่หาวออกมา ยังคงน่าเบื่อเช่นนี้เสมอ
จู๋หวงขยับเส้นสายตา โน้มร่างไปข้างหน้าเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บรรพจารย์หยวนมีกลยุทธ์ดีใดหรือ?”
เผชิญหน้ากับผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนคอขวดขอบเขตก่อกำเนิดและยิ่งเป็นเจ้าสำนักอย่างจู๋หวง ก็ยังวางตัวนอบน้อมระมัดระวัง
วานรเฒ่าชุดขาวกระตุกมุมปาก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “ตีเหล็กยังต้องให้ตัวเองแข็ง (เปรียบเปรยว่าจะทำอะไรตัวเองต้องมีความสามารถในการทำเช่นนั้นก่อน) รอให้เจ้าสำนักเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปได้เอง ถึงเวลานั้นหลังจากที่ข้าเอ่ยแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักแล้วจะเดินทางไปเยือนทางเข้าที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรก็แล้วกัน”
จู๋หวงหัวเราะเสียงดังลั่นก้องกังวาน กุมหมัดเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนบรรพจารย์หยวนแล้ว”
ในศาลบรรพจารย์ แม้แต่เซี่ยหย่วนชุ่ยก็ยังกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในชั่วพริบตา พากันหันไปมองเจ้าสำนักที่คอขวดยากจะฝ่าทะลุจนเป็นเหตุให้เขามักจะพร่ำบ่นเสมอว่าตัวเองไม่มีหวังกับห้าขอบเขตบน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรพบุรุษตระกูลเถาและผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ที่รับหน้าที่เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่รีบหันมาสบตากันอย่างที่ยากจะสังเกตเห็นทันที
มีเพียงหยวนป๋ายที่ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลที่กลับกลายเป็นว่าหันหน้ามองไปนอกประตู
จู๋หวงไม่ยินดีจะพูดถึงเรื่องการปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตของตนมากนัก จึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย หันไปผงกศีรษะให้เถียนหว่านที่ได้เลื่อนขั้นเป็นคนสนิท สตรีรีบหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาทันใด ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “สำนักเจริญรุ่งเรือง ในสมุดได้บันทึกรายละเอียดของตัวอ่อนเซียนกระบี่ไว้สิบหกคน เก้าคนในนั้นอายุยังน้อย จึงยังไม่ได้กราบอาจารย์ วันนี้บรรพจารย์เจ้ายอดเขาแต่ละท่านสามารถมาลองเลือกดูได้”
คำว่าตัวอ่อนเซียนกระบี่ แน่นอนว่าต้องหมายถึงผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่มีหวังจะได้กลายเป็นโอสถทอง
หลักๆ แล้วมาจากราชวงศ์จูอิ๋ง หากพบตัวก็จะถูกส่งมาที่ภูเขาตะวันเที่ยงทันที นอกจากนี้ก็เป็นอาณาเขตทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่ขุนเขาสายน้ำพังทลาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เซียนกระบี่แทบทุกคนของภูเขาตะวันเที่ยงล้วนต้องลงจากภูเขาไปตามหาตัวอ่อนเซียนกระบี่มาให้ทางสำนักโดยเฉพาะ ถ้าถอยมาเลือกลำดับรอง หากเจอกับวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการฝึกตนบนภูเขาก็ไม่อาจพลาดได้เช่นเดียวกัน ส่วนทางฝั่งของใบถงทวีปก็มีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดี เพราะเจอตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสองคน
ขอแค่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ก็คือเรื่องน่ายินดีใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เพราะขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ฝึกตนอยู่ในสำนักก็ล้วนสามารถเพิ่มโชคชะตาบนวิถีกระบี่ให้กับภูเขาตะวันเที่ยงได้หนึ่งส่วน
ดังนั้นจู๋หวงเจ้าสำนักของทุกวันนี้ต้องไม่มีความรู้สึกปลงอนิจจังที่ว่า ‘ขอแค่เว่ยจิ้นมาเยือนภูเขาตะวันเที่ยงของข้าก็ยินดีถอยให้ปราชญ์ผู้ปรีชา’ อีกต่อไปแล้ว
หนึ่งเพราะคอขวดของตัวเขาเองเริ่มคลายออก คว้าจับโอกาสบนมหามรรคาได้เสี้ยวหนึ่ง มีหวังที่จะได้ฝ่าทะลุขอบเขต นอกจากนี้ภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ ในฐานะสำนักที่เลื่อนขั้นใหม่ของแจกันสมบัติทวีป มีครบถ้วนทั้งฟ้าดอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี บางทีไม่ถึงร้อยปีก็อาจมีหวังว่าจะงัดข้อกับสำนักโองการเทพ ช่วงชิงตำแหน่งราชาบนภูเขาของหนึ่งทวีปมาครอบครองดูได้
จะไม่ให้คนฮึกเหิมห้าวหาญได้อย่างไร ดังนั้นหลายปีมานี้จู๋หวงจึงดูเหมือนหนุ่มขึ้นอีกร้อยกว่าปีทันใด
จู๋หวงพลันถามว่า “ทางฝั่งของหลงโจวต้าหลี โดยเฉพาะที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวแห่งนั้น ดูเหมือนว่าจะมีความเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติเกิดขึ้น?”
สกุลสวี่นครลมเย็นซื้อเตาเผามังกรแห่งหนึ่งจากตระกูลหม่าตรอกซิ่งฮวา นอกจากนี้ในอำเภอไหวหวง ภูเขาตะวันเที่ยงก็มีความสัมพันธ์ควันธูปอย่างลับๆ อยู่กับถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่
เพียงแต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยได้รับรายงานข่าวที่มีประโยชน์ใดๆ เลย ภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อซานจวินขุนเขาเหนือ บวกกับที่ว่าการผู้ตรวจการที่สามารถยื่นฎีกาตอบคำถามฮ่องเต้ได้โดยตรง รวมไปถึงสำนักกระบี่หลงเฉวียนของหร่วนฉง ล้วนเป็นข้อห้ามในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำ ภูเขาตะวันเที่ยงไม่กล้ายื่นมือยาวเกินไปนัก แต่ระหว่างนี้ก็มีความน่ายินดีที่ไม่คาดฝันอย่างหนึ่ง นั่นคือตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เย่ชิงจู๋เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ได้ทยอยรายงานข่าวลับหลายฉบับมาให้กับทางภูเขาตะวันเที่ยง นี่ถึงทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงได้รู้ว่าภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตไม่ต่ำอยู่หลายคน แล้วก็ช่วยเรียบเรียงความสัมพันธ์ควันธูประหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาพีอวิ๋นให้พวกเขารู้คร่าวๆ ยกตัวอย่างเช่นท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวแบ่งส่วนแบ่งกันอย่างไร รวมไปถึงร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีแห่งนั้นซึ่งมีหลิวเสี้ยนหยางที่อำพรางสถานะผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตัวเองไว้อย่างลึกล้ำอาศัยอยู่
การประชุมในวันนี้ใช้เวลาไปถึงสองชั่วยามเต็มๆ ลำพังเพียงแค่การช่วงชิงตัวอ่อนเซียนกระบี่ระหว่างยอดเขาทั้งหลายก็เกือบจะต้องถามกระบี่กันแล้ว
กว่าจะไกล่เกลี่ยภูเขาทั้งหลายให้สงบอารมณ์กันได้ ต่อให้เป็นเจ้าสำนักจู๋หวงก็ยังอดเหนื่อยล้าไม่ได้ รอกระทั่งการประชุมสิ้นสุดลง แสงกระบี่แต่ละเส้นพากันย้อนกลับไปยังยอดเขาของตัวเอง จู๋หวงรั้งตัววานรเฒ่าชุดขาวไว้คนเดียว เดินออกมานอกศาลบรรพจารย์ด้วยกัน หลุบตาลงต่ำมองขุนเขาสายน้ำของหนึ่งสำนัก
จู๋หวงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บรรพจารย์หยวน ขอแสดงความยินดีด้วย”
เพราะผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่อยู่ข้างกายผู้นี้ อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตเหมือนกับเจ้าสำนักอย่างเขาแล้ว
หยวนเจินเย่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าปกติ สองมือไหล่หลัง หรี่ตามองไปไกล วานรเฒ่าชุดขาวที่เรือนกายกำยำรู้สึกทอดถอนใจกับความยิ่งใหญ่ของกาลเวลา
จู๋หวงเอ่ยสัพยอก “ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนคนหนึ่ง แล้วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองด้วย บรรพจารย์หยวนระวังตัวไว้สักหน่อยจะดีกว่า”
วานรเฒ่าชุดขาวหลุดหัวเราะพรืด “หลิวเสี้ยนหยาง บวกกับเฉินผิงอัน เศษสวะน้อยสองคนนี้ ให้ข้าระวัง? ระวังอะไร ระวังว่าอย่าต่อยพวกเขาหนึ่งคนหนึ่งหมัดจนพวกเขาตายน่ะหรือ?”
จู๋หวงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นสถานะของคนหนุ่มทั้งสองก็ค่อนข้างเป็นปัญหายุ่งยาก คนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉง คนหนึ่งคือถุงเงินครึ่งหนึ่งของเว่ยป้อ ยังดีที่ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ หร่วนฉงเองก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเท่านั้น”
วานรเฒ่าชุดขาวหัวเราะหยัน “ตายดีๆ ไม่ยอมตาย จะรอให้ข้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก่อนแล้วค่อยมา? คิดว่าอดทนข่มกลั้นมายี่สิบกว่าปีก็สามารถแก้แค้นได้แล้วหรือ? ขอแค่เจ้าเศษสวะทั้งสองกล้ามารนหาที่ตาย ข้าก็จะเป็นคนส่งพวกเขาออกเดินทางเอง”
โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือป๋ายลู่ ชุยตงซานกับเจียงซ่างเจินเงี่ยหูตั้งใจฟังพร้อมๆ กัน ถึงอย่างไรค่ายกลพิทักษ์ภูเขาของสำนักหนึ่งก็ไม่ใช่แค่เครื่องประดับ คนทั้งสองจึงได้แต่ต้องใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง
คนทั้งสองได้ยินถ้อยคำห้าวเหิมของบรรพจารย์ย้ายภูเขาแห่งภูเขาตะวันเที่ยงท่านนี้ก็หันมามองหน้ากันตาปริบๆ เจียงซ่างเจินเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าที่ยังหวาดผวาไม่คลาย “ฟังจนข้าอกสั่นขวัญผวาไปหมดแล้ว”
ชุยตงซานรีบยื่นเหล้ากาหนึ่งส่งให้ “ระงับความตกใจเสียหน่อย”
……
เหมาเสี่ยวตงพาหลี่เป่าผิงและหลี่ไหว และยังมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสถานศึกษาหลี่จี้อีกกลุ่มใหญ่เดินทางท่องเที่ยวลงใต้ไปตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้
กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีผู้ฝึกกระบี่อีกแล้ว
ไม่เพียงแค่กำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น แม้แต่ภูเขาห้อยหัว ร่องเจียวหลง สำนักอวี่หลง ล้วนเป็นดั่งหมอกควันที่ลอยผ่านตาไป
กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองท่อน บนผนังกำแพงสองช่วงที่หันหน้าเขาหาขุนเขาสายน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แกะสลักตัวอักษรใหญ่เอาไว้มากมาย
น่าเสียดายต่งซานเกิงที่ใช้กระบี่พิฆาตเจ้าอารามดอกบัว อาเหลียงกับเหยาชงเต้าร่วมมือกันสังหารปีศาจใหญ่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!