ที่แท้นางก็มาหาเจ้าเด็กที่ทำการค้าอย่างเฉลียวฉลาดผู้นั้น ไม่ได้ไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักการค้าก็ช่างสิ้นเปลืองพรสวรรค์จริงๆ
นักพรตวัวดำถอนหายใจโล่งอก ก็บอกแล้วไงล่ะ แค่ขโมยแตงโมเท่านั้น ไม่ถึงขั้นต้องถูกฟ้าผ่าหรอก
นักพรตเฒ่าโยนแตงโมในมือที่เหมือนโดนหมาแทะทิ้งไปด้านข้าง เปลี่ยนจากสีหน้าเยือกเย็นมาเป็นสีหน้ากระจ่างแจ้งในฉับพลัน จากนั้นจึงกลายมาเป็นความยินดีที่ไม่คาดฝันเต็มใบหน้า คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล เป็นธรรมชาติไม่ดูดัดจริตเสแสร้งแม้แต่น้อย “แม่นางหมายถึงสหายเฉินหรือ เขาคือสหายรักที่เพียงแค่พบเจอกันก็เหมือนรู้จักกันมานาน คือสหายต่างวัยของผินเต้าเอง มีความผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะเป็นเพียงการพบเจอกันโดยบังเอิญ แต่กลับจริงใจต่อกันอย่างมาก ไม่อย่างนั้นสหายเฉินก็ไม่มีทางมอบกระบี่เล่มนี้ให้ผินเต้าช่วยดูแล ให้มันมาท่องอยู่ในนครอู๋ย่งร่วมกับข้า เพื่อจะได้เปิดทางให้เขาเช่นนี้หรอก”
บนถนนเส้นเล็กในชนบทของนครป๋ายเหยี่ยน ผู้ฝึกกระบี่ที่ใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าพันธนาการของเรือราตรี สะพายกล่องกระบี่ ในกล่องกระบี่คือกระบี่สองเล่ม ในมือของสตรียังถือกระบี่ยาวเย่โหยวเอาไว้ด้วย
ก็คือหนิงเหยาที่บินทะยานจากใต้หล้าแห่งที่ห้ามายังใต้หล้าไพศาล
อันดับแรกคือต้องฝ่าทะลุขอบเขต ใช้กระบี่สังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลตนหนึ่ง สะสมคุณความชอบที่ไม่เล็กให้ได้ก่อน จากนั้นนางจึงใช้กระบี่เปิดม่านฟ้า บินทะยานเดินทางไกลมายังไพศาล ไล่ตามเบาะแสของปลายกระบี่ไท่ป๋ายซึ่งเป็นหนึ่งในสี่กระบี่เซียนนี้มา สุดท้ายจึงมาเจอกับเรือข้ามฟากประหลาดลำนี้
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่ายังคงไม่ได้พบเจ้าหมอนั่น กลับกลายเป็นว่ามาเจอกับนักพรตเฒ่าขี่วัวที่แขวนกระบี่ไว้บนเขาวัวแทน
จิตใต้สำนึกทำให้หนิงเหยาคิดว่าเขาถูกกักอยู่บนเรือลำนี้ เพียงแต่พอนางคิดอีกที ขนาดกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ยังกักขังเขาไว้ไม่ได้ แล้วจะถูกเรือที่แสร้งทำเป็นเล่นผีหลอกเจ้าลำนี้พันธนาการไว้ได้อย่างไร? มีที่ไหนบ้างที่เจ้าหมอนั่นอยู่แล้วจะไม่เป็นเหมือนปลาได้น้ำ? เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เห็นเขากับตา นางก็ยังรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง
หากเจ้าหมอนั่นมาท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนเซียนอยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้ ได้พบเจอกับใคร หรือเจอกับสถานการณ์ยุ่งยากแบบใด ถึงจำเป็นต้องเอากระบี่พกประจำกายไปมอบให้คนอื่น? หรือจะบอกว่าเขาหันกลับมาทำอาชีพเดิม เป็นผ้าห่อบุญพลางวางแผนเล่นงานใครไปด้วย? ทางฝั่งของจวนเฉวียนฝู่ของนครบินทะยานนั่น หลายปีมานี้ขาดก็แค่ไม่ได้แขวนภาพเหมือนของบรรพจารย์เท่านั้น
นักพรตเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปอีกรอบ เขาเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลอย่างไม่มีชะงักแม้แต่น้อย “เจ้าเป็นสตรีคนหนึ่ง ผินเต้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นเทพเซียนจากแห่งหนใด มีชาติตระกูลมีที่พึ่งเช่นใด ทำไม คิดจะแก้แค้นสหายเฉินด้วยการถามกระบี่กับเขางั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษที่ผินเต้าอาศัยความมีอายุ…มาช่วยสหายเฉินรับข้อพิพาทนี้เอาไว้!”
เจ้าหมอนั่น ทั้งที่กลับมายังใต้หล้าไพศาลแล้ว หากอยู่ที่บ้านเกิดอย่างแจกันสมบัติทวีปก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้ดูจากท่าทางแล้วคงจะมาเตร็ดเตร่ที่อุตรกุรุทวีปสินะ ทำไม ว่างนักหรือ?
นักพรตเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง ไม่ต้องคอยดูสถานการณ์เพื่อหาโอกาสที่เหมาะสมก็เปลี่ยนเรื่องพูดทันที เอ่ยอย่างปลงอนิจจังจากใจจริงว่า “บุญคุณความแค้นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้า ถึงอย่างไรผินเต้าก็เป็นคนนอก ไม่สะดวกจะไปยุ่งวุ่นวายด้วย ขอให้ผินเต้าได้เอ่ยถ้อยคำที่อาศัยความเป็นผู้อาวุโสเอ่ยเตือนแม่นางด้วยความหวังดีสักคำ หากเจ้ามีความเข้าใจผิดบางอย่างกับสหายน้อยเฉินของผินเต้าจริงๆ ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันให้รู้เรื่องก็พอแล้ว วาสนาชีวิตคู่อันยิ่งใหญ่ที่ดีเยี่ยมในใต้หล้าแห่งนี้อย่าปล่อยให้ถูกคำว่า ‘ไม่ได้เปิดอกพูดคุยกัน’ มาถ่วงรั้งเอาไว้”
หนิงเหยาหัวเราะ สมกับเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับเจ้าหมอนั่นจริงๆ เสียด้วย
ดวงตาของนักพรตเฒ่าเฉียบคมถึงปานใด พอเห็นอย่างนี้ก็โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เป็นคู่รักบนภูเขากันจริงๆ เสียด้วย สหายเฉินช่างโชคดียิ่งนัก!
บนเรือข้ามฟาก ผู้ฝึกตนที่ต้องบุกเบิกฟ้าดินแห่งใหม่อย่างพวกเขานี้ การบินทะยานสามารถทำได้ตามใจ จะจริงหรือเท็จก็ได้ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นคำว่ายืม อีกทั้งเมื่อมียืมก็ต้องมีคืน เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ กฎเกณฑ์เข้มงวด การค้าเป็นธรรม แต่ก็กลัวผู้ฝึกกระบี่ที่หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนึ่งกระบี่สามารถฟันผ่าพันธนาการฟ้าดินได้มากที่สุด เซียนหญิงชงเชี่ยนก่อนหน้านี้ก็เกือบจะหลงกล หากไม่เป็นเพราะข้างกายนางมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคอยให้การปกป้อง ใช้กระบี่เปิดทางให้ จึงฝืนฝ่าพันธนาการจากไปได้ ไม่อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าชงเชี่ยนจะต้องมาเรือคว่ำอยู่ในร่องน้ำแห่งนี้ (เปรียบเปรยว่าแผนทุกอย่างที่วางมาพังลงไม่เป็นท่า)
โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินจะสามารถไปมาบนเรือราตรีได้ตามใจชอบ แต่หากคิดจะขึ้นเรือมาวางอำนาจบาตรใหญ่ กลับยังคงทำไม่ได้ เพราะทุกวันนี้เรือข้ามฟากยังกักตัวเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งเอาไว้ จุดจบไม่นับว่าดี ตอนนี้ยังทำหน้าที่เป็นเสี่ยวเอ้อในร้าน เป็นคนที่คอยวิ่งช่วยงานคนอื่นในนครเปิ่นโม่อยู่เลย แล้วก็โชคดีที่จิตใจของเซียนกระบี่ผู้นั้นกว้างขวางไม่ธรรมดา พึ่งพาอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นมาพันกว่าปีแล้ว แต่กลับยังไม่คลุ้มคลั่งเสียสติ
อีกทั้งเรือข้ามฟากลำนี้ก็ไม่ยินดีต้อนรับผู้ฝึกกระบี่ที่ดื้อแพ่งที่สุดในใต้หล้าจริงๆ นอกจากเพราะปราณกระบี่ท่วมร่างและเวทกระบี่ที่เฉียบคมทำให้คนกริ่งเกรงแล้ว ความรู้ของพวกเขาก็มักจะตื้นเขิน สำหรับเรือข้ามฟากแล้วจึงมีประโยชน์น้อยมาก ถึงขั้นที่ว่าอาจจะยังสู้ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งของเมธีร้อยสำนักไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ทุกวันนี้สหายน้อยเฉินอยู่ในนครเถียวมู่”
นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “เพียงแต่ว่าแม่นางน้อยท่านนี้ ไม่ใช่ว่าผินเต้าข่มขู่เจ้านะ ด้วยเวทกระบี่ของเจ้า ขึ้นมาบนเรือและลงจากเรือล้วนไม่ยาก มีเพียงเดินอยู่ท่ามกลางนครที่มีมากมายของเรือข้ามฟากเท่านั้นที่ไม่ค่อยง่ายเท่าไรเลยจริงๆ ยากมากๆ เลยล่ะ ก็เหมือนกับว่าเจ้ากำลังเผชิญหน้ากับอาจารย์ค่ายกลขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง จึงได้แต่ตกอยู่ในสภาพการณ์ที่พลาดฟ้าอำนวยดินอวยพรไปหมดสิ้น แทนที่จะพกกระบี่เปิดเส้นทาง พุ่งชนทั่วสารทิศอย่างสะเปะสะปะก็ไม่สู้ให้สหายน้อยเฉินเป็นฝ่ายมาหาเจ้าด้วยตัวเอง”
ขอแค่เจ้าเด็กนั่นมาที่นครป๋ายเหยี่ยน ก็เท่ากับว่าเขามาเอากระบี่ยาวกลับไปด้วยตัวเอง การค้าครั้งนี้ก็ถือว่าหายกันแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตบินทะยานตรงหน้าผู้นี้ มองดูแล้วก่อนหน้านี้ที่เร่งเดินทางมาคงไม่ได้ผ่อนคลายเท่าใดนัก ท่าทางดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ยากที่จะปกปิดสีหน้าเหนื่อยล้าอ่อนเพลียเอาไว้ได้
ก็มีแต่ดวงตาคู่นั้นของนางที่ทำให้คนไม่ค่อยกล้ามองสบตรงๆ
ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งตอแยได้ยากที่สุดบนภูเขา พลังอำนาจของทั้งกายฉายประกายคมกริบทุกรัศมี
กลับเป็นสหายน้อยเฉินผู้นั้นที่ยามพูดคุยกับคนอื่นสีหน้าเป็นมิตร ยามที่สบตากับผู้อื่นสายตาก็อ่อนโยน ดูเหมือนว่าจะตรงกันข้ามกับเซียนกระบี่หญิงผู้นี้พอดี
คงเป็นเพราะได้รับการขับดันจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนนี้ นักพรตเฒ่าจึงยิ่งรู้สึกว่ายามที่อยู่ร่วมกับสหายน้อยเฉินผู้นั้นประหนึ่งอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมวสันต์ เพิ่งจะแยกจากกันก็ทำให้คนคิดถึงอาลัยขึ้นมาแล้ว
หนิงเหยามองไปรอบด้าน “ข้าจะรอเขาอยู่ที่นี่”
ภายในครึ่งชั่วยาม หากยังไม่มา นางก็จะไปหาเขาเอง
ไม่ใช่ว่าไม่มั่นใจว่าจะหาเขาพบ ขนาดต้องข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำนับไม่ถ้วนของสองใต้หล้า นางยังไม่รู้สึกว่าเหนื่อยสักเท่าไรด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าพออยู่ใกล้เขามากแล้วจริงๆ หนิงเหยากลับอยากหยุดเดินเสียอย่างนั้น
แล้วประโยคแรกหลังจากที่ได้พบหน้ากัน นางควรจะเอ่ยว่าอะไร?
หนิงเหยาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
นักพรตเฒ่าที่จะจากไปก็ไม่ใช่ ไม่จากไปก็ไม่เหมาะขี่อยู่บนหลังวัว ท่าทางคล้ายสุขุมเยือกเย็น แต่ในใจกลับตื่นตระหนกยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสตรีผู้นี้ขมวดคิ้ว เขาก็ยิ่งกระวนกระวายมากกว่าเดิม นักพรตเฒ่าชำเลืองตามองแตงโมที่เป็นดั่งบุปผาเบ่งบานอยู่บนพื้นดินแล้วก็ให้รู้สึกเสียดายเล็กน้อย รู้อย่างนี้แต่แรกก็คงไม่โยนทิ้งไปแล้ว เวลานี้ยังจะเอามาแทะแก้กลุ้มได้
ไม่ใช่ว่านักพรตวัวดำขี้ขลาด หวนย้อนนึกอดีตอันห่างไกล ในใต้หล้าไพศาลแห่งนั้น เฟิงจวินที่ชอบท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า เล่นสนุกอยู่ในโลกมนุษย์ไปทั่วผู้นี้ ก็คือยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาที่สร้างวีรกรรมไว้มากมาย ทิ้งร่องรอยเซียนไว้ทั่วทุกหนแห่ง แต่เป็นเพราะว่าการอยู่ร่วมกับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งทำให้คนรู้สึกชาไปทั้งหนังหัวจริงๆ ใต้หล้านี้จะมีเซียนกระบี่สักกี่คนที่นิสัยดีจริงๆ? แต่ละคนพอได้เรียนเวทกระบี่เข้าหน่อย หากไม่ออกกระบี่ฟันคนก็เดินออกกระบี่ฟันคนบนถนน
พูดถึงแค่เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ผู้นั้น ปีนั้นก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรือไร? ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องหนีภัยมายังเรือราตรีลำนี้ทำไม เพียงแค่หลบเลี่ยงประกายคมกริบของตัวเองเท่านั้นหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!