เฉินผิงอันพลันใช้สองนิ้วคีบตัวอักษรถิงตัวสุดท้ายบนตั๋วซื้อภูเขาเอาไว้ หยุดยั้งตัวอักษรถิงบนกระดาษที่กำลังสลายหายไปช้าๆ ยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางฉินพูดถึงแค่วิธีการเข้าออกนครเถียวมู่ การค้าครั้งนี้ไม่เป็นธรรมแล้ว ความเป็นมาของเอกสารผ่านด่านในอีกสิบเอ็ดนครที่เหลือเล่า?”
เฉินผิงอันแบฝ่ามือ สะบัดหนึ่งที แลวจึงยกตั๋วซื้อภูเขาที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมา “นครหงเหมา นครจีเฉวี่ยน นครป๋ายเหยี่ยน นครกุยจวี่ นครชุยก่ง นครหลิงซี…ช่างเถิด เปลี่ยนนครนี้ให้เป็นนครหรงเม่าแล้วกัน ลดให้ครึ่งหนึ่ง เหลือแค่หกนคร”
ฉินจื่อตูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกมา งอสองนิ้วลง “อย่างมากสุดสามนคร อีกทั้งต้องเป็นนครจีเฉวี่ยน นครป๋ายเหยี่ยนและนครเปิ่นโม่ ไม่เหลือพื้นที่ให้ปรึกษาแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเซียนกระบี่เฉินจะสามารถกำตั๋วขายภูเขาแผ่นนี้ไว้ได้แน่นตลอดเวลา”
นครจีเฉวี่ยนและนครป๋ายเหยี่ยนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับนครเถียวมู่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีเจ้านครหลิวของนครจีเฉวี่ยนก็ตั้งใจให้คนผู้นี้ไปเป็นแขกที่นั่นอยู่แล้ว
ส่วนนครเปิ่นโม่ที่มีแต่ความเหลวไหลอยู่ทั่วทุกหนแห่งแล้วยังหวงของของตัวเองไม่ยอมแบ่งให้ใครแห่งนั้น ความสัมพันธ์กับนครเถียวมู่กลับแย่ที่สุดมาโดยตลอด ตัวก่อเรื่องที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ผู้นี้จึงสามารถไปสร้างคลื่นลมมรสุมที่นั่นได้ตามใจชอบ
เฉินผิงอันเก็บมือทั้งสองข้างมา อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าการค้าครั้งนี้ไม่สำเร็จก็แล้วกัน ข้าจะเปลี่ยนมาเป็นถามคำถามเล็กๆ กับแม่นางฉินแทน เส้าเป่าเจวี้ยนผู้นั้นเป็นเจ้านครของนครแห่งใด?”
ฉินจื่อตูโล่งอก เอ่ยว่า “นครหรงเม่าหนึ่งในสี่นครล่าง”
เฉินผิงอันมองสีหน้าของอีกฝ่าย ยิ้มถามว่า “มีเอกสารผ่านด่านของนครเถียวมู่แล้ว ทว่าก็ไม่แน่เสมอไปว่าตอนนี้จะไปเยือนนครหรงเม่าได้ใช่ไหม?”
ฉินจื่อตูพยักหน้า
เส้าเป่าเจวี้ยนคือเจ้านครของนครแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมต้องปิดประตูไม่ต้อนรับแขก
เฉินผิงอันปล่อยตั๋วซื้อภูเขาที่ปลายนิ้วออก ตัวอักษรทั้งหน้าและหลังกระดาษจึงสลายหายไปท่ามกลางฟ้าดินทั้งอย่างนี้
ทว่ากระดาษยันต์สีเขียวที่เป็นของแท้แน่นอนแผ่นนั้นกลับยังคงอยู่ในมือของเฉินผิงอัน
ฉินจื่อตูเอ่ยอย่างแค้นเคือง “หากเซียนกระบี่เฉินเป็นคนคร่ำครึอย่างที่เจ้านครคิดจริงๆ กลับกลายเป็นเรื่องดี”
ความหมายในคำพูดของนางก็แน่นอนว่า อาจารย์เฉินที่วางแผนคิดคำนวณได้อย่างชาญฉลาดผู้นี้ ไม่เป็นพ่อค้าแต่ดันมาเป็นเซียนกระบี่ ช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
เฉินผิงอันหัวเราะ เอ่ยว่า “ก็เพราะว่าไม่ใช่ ข้าถึงได้เดินทีละก้าวจนมาถึงที่นี่ มานั่งอยู่ในศาลาเฉี่ยถิงถิงแห่งนี้ ได้พูดคุยกับแม่นางฉินอย่างเกรงใจมีมารยาท ทำการค้าที่ปรองดองต่อกัน”
ฉินจื่อตูสับสนกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่กลับไม่ได้คิดลึกอะไร คิดแค่ว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้พูดจาเหลวไหลส่งเดช
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินลงขั้นบันไดมา หันหน้าไปมองกรอบป้าย เอ่ยเสียงเบา “ตั้งชื่อได้ดีจริงๆ ชีวิตคนโปรดหยุดอยู่ในศาลาหลังหนึ่งก่อน เดินช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน”
ฉินจื่อตูหลุดหัวเราะพรืด ในเมื่อชอบขนาดนี้เหตุใดถึงยังต้องทำการค้าครั้งนั้น คืนศาลาหลังนี้มาให้แก่นครเถียวมู่? คนผ่านทางสามารถมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ได้ก็เท่ากับว่ามียันต์คุ้มครองชีวิตเพิ่มมาแผ่นหนึ่ง พวกคนอย่างตู้ซิ่วไฉ นักพรตวัวดำต้องค่อยๆ สร้างกิจการของตัวเองอย่างยากลำบากกว่าจะทำได้ อีกทั้งเมื่อเทียบกับอาณาเขตขุนเขาสายน้ำที่คล้ายคลึงกับของจริงอย่างศาลาเฉี่ยถิงถิงนี้แล้ว อะไรที่บอกว่าฟ้าดินแห่งใหม่ ก็แค่ฟังแล้วลี้ลับมหัศจรรย์ มองดูแล้วมีงดงามน่ามองเท่านั้น ยังคงอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบศาลาลมแห่งนี้ได้ติด
ตอนนี้ในมือของเขาเหลือแค่ใบอู๋ถงใบเดียวเท่านั้น คราวหน้าก็ยังคงมาที่นี่ได้ แต่ศาลาเฉี่ยถิงถิงแห่งนี้กลับกลับคืนไปสู่เจ้าของเดิมแล้ว
แต่ฉินจื่อตูยังพอจะจำได้อย่างเลือนรางว่า ตอนที่คนผู้นี้ได้ยินชื่อหลี่สือหลางเจ้านครบ้านตนบนถนนของนครเถียวมู่ก่อนหน้านั้น สายตาคล้ายจะมีประกายแสงสดใสเสี้ยวหนึ่งวูบผ่าน
แต่เพียงไม่นานคนหนุ่มก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย คงเพราะการฝึกตนตลอดชีวิตที่ผ่านมาราบรื่นไม่เคยถูกคนเมินเฉยต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้มาก่อนกระมัง? ในสายตายังมีความหม่นหมองเสี้ยวหนึ่งวาบผ่านไป ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น ราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน ตอนนั้นฉินจื่อตูรำคาญเจ้าก้อนหมึกของนครจีเฉวี่ยนผู้นั้น อีกทั้งยังใคร่รู้ในตัวของเซียนกระบี่ที่ผ่านทางมาเยือนนครเถียวมู่คนนี้ นางถึงสังเกตเห็นรายละเอียดที่ยากจะจับสังเกตเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
อยู่ดีๆ ฉินจื่อตูก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าสองครั้งที่เจ้านครไปพบเซียนกระบี่ชุดเขียว คนหนุ่มต่างถิ่นเดินเคียงบ่าไปกับหลี่สือหลาง มีหลายครั้งที่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ทว่าหางตากลับคอยเหลือบมองมาทางฝั่งนั้นอยู่ตลอดเวลา
รอกระทั่งเจ้านครหยิบตั๋วซื้อภูเขาออกมา สีหน้าของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้ถึงได้กลับคืนมาเป็นปกติ แล้วเริ่มทำการค้ากับเจ้านคร
ก่อนที่เจ้านครจะไปเยือนถนนใหญ่แห่งนั้น รองเจ้านครยังเอ่ยหยอกล้อประโยคหนึ่งว่า มองดูเหมือนคนหนุ่มนิสัยหนักแน่นสุขุม ตามหลักแล้วก็ไม่ควรจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่เช่นนี้ ดูท่าคำกล่าวที่ว่า ‘บทสันดานเลวทราม’ ที่พูดย้ำคำแล้วคำเล่า คำว่าไสหัวไปจากนครมู่เถียวที่พูดซ้ำไม่เลิกรา คงจะถูกเจ้าสือหลางทำให้โมโหไม่เบาเลยจริงๆ
เรือนที่พักแห่งหนึ่งขนาดไม่ถึงสามไร่ บนพื้นมีเนินแห่งหนึ่งชื่อเดิมคือเจี้ยจื่อ
หนิงเหยาพกกระบี่เดินก้าวออกมาหนึ่งก้าว มายังหน้าประตูสวนขนาดเล็กแห่งนั้น สายตาเฉียบคมจนผิดจากปกติไปเล็กน้อย และยังดูไร้เหตุผลเป็นพิเศษ
นางกับนครเถียวมู่ หลี่สือหลางอะไรนี่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแม้แต่น้อย
แต่เฉินผิงอันมี
บนหัวกำแพงเมืองบ้านเกิดของนางในอดีต ภายใต้ดวงจันทร์สามดวง หนิงเหยานั่งอยู่ข้างกายคนผู้นั้น ยามที่เขามีเวลาว่างก็มักจะหยิบตำราที่เก็บรักษาไว้อย่างดีออกมา ส่วนใหญ่เป็นบทประพันธ์ของปัญญาชนที่สะสมมาตั้งแต่อดีต หนึ่งในนั้นก็มี ‘ตำราภาพวาด’ เล่มหนึ่ง แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่เคยพูดถึงนักพรตวัวดำอะไรกับนาง แต่เขาที่ฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงมักจะหยิบเอาตำราภาพวาดเล่มนั้นออกมาตากแสงจันทร์เป็นประจำ เงยหน้าขึ้นเป็นระยะ พูดกับหนิงเหยาด้วยท่าทางจริงจังน่าเชื่อถือว่า หลี่สือหลางผู้นี้คือคนในกลุ่มเทพเซียนอย่างแท้จริง นอกจากมีเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจเรียนรู้เอาอย่างแล้ว ความรู้เรื่องอื่นๆ ก็ช่างทำให้คนเลื่อมใสยิ่งนัก ร้ายกาจมากจริงๆ ดังนั้นบนแผ่นไม้ไผ่ของตนจึงแกะสลัก ‘บทประพันธ์คบหาสหาย’ โดยไม่มีตกหล่นแม้แต่ตัวอักษรเดียว ประโยคที่ว่า ‘อย่าได้พูดถึงเรื่องแต่งตั้งโหว ร่วมดื่มสุราเมามายภายใต้แสงสนธยา’ ก็ช่างเขียนได้งดงามนัก หลี่สือหลางพูดถึงความต่างระหว่างการศึกษาหาความรู้เขียนบทความและการเล่าเรื่องอัศจรรย์เป็นบทละคร ก็ยิ่งพูดได้ยอดเยี่ยม ที่แท้ก็เป็นหลักการเหตุผลที่ไม่ต่างจากการใช้หลักการเหตุผลกับผู้อื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการค้าของหลี่สือหลางที่ยิ่งสุดยอด เพียงแต่ว่าพ่อค้าหนังสือที่จัดพิมพ์ตำราในพื้นที่แห่งอื่นกลับไม่ค่อยเปิดกว้างกับเรื่องนี้มากนัก น่าเสียดายที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจได้พบเจออาจารย์หลี่ท่านนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะต้องถามสือหลางท่านนี้สักหน่อยว่าเขายากจนตกยากขนาดนั้นเลยหรือ หากชีวิตไม่ลำบากยากแค้นก็จะเขียนบทความออกมาไม่ได้จริงๆ หรือไร? นอกจากนั้นช่วงเวลาที่อาจารย์หลี่ถือกำเนิดก็ได้เจอกับเซียนเหรินคนหนึ่งช่วยทำนายดวงชะตาให้จริงหรือ? เป็นกลุ่มดาวที่ลงมาจุติบนพื้นดินจริงๆ หรือไร? เป็นเพราะอาณาเขตบ้านบรรพบุรุษเบาเกินไป จะต้องย้ายไปอยู่ศาลบรรพชนของตระกูลถึงจะถือกำเนิดได้อย่างราบรื่นอย่างนั้นหรือ? หากหลี่สือหลางพูดคุยด้วยง่าย เขายังจะถามอีกว่า หลังจากที่ท่านอาจารย์ร่ำรวยมีชื่อเสียง สร้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูลได้แล้ว เคยไปซ่อมแซมศาลบรรพชนบ้างหรือไม่ ไม่แน่ว่าในกรอบป้ายศาลบรรพชนสองแห่งอาจมีคนจิ๋วควันธูปถือกำเนิดขึ้นมาก็ได้นะ
หนิงเหยาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ หลี่สือหลางที่เป็นเช่นนี้ เหตุใดปีนั้นตอนที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองถึงทำให้เขาพูดเป็นน้ำไหลไฟดับไม่จบไม่สิ้นได้ถึงขนาดนั้น ควรค่าถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
มาถึงนครเถียวมู่แห่งนี้ ได้เจอกับหลี่สือหลางเข้าจริงๆ แล้วอย่างไรเล่า? ยังจะอยากถามอาจารย์หลี่ถึงข้อสงสัยที่อยู่ในใจในอดีตเหล่านั้นอีกไหม?
นางรู้ดียิ่งกว่าใคร ชั่วชีวิตนี้ของเฉินผิงอัน นอกจากคนใกล้ชิดที่เขามักจะเป็นห่วงรำลึกถึงอยู่ในใจแล้ว อันที่จริงก็น้อยครั้งมากๆ ที่จะพูดถึงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนมากขนาดนี้
หลี่สือหลางกับบัณฑิตผู้เฒ่าที่รับหน้าที่เป็นรองเจ้านครพากันเดินออกมาจากสวนเจี้ยจื่อซึ่งอยู่ในภาพวาด
หลี่สือหลางขมวดคิ้วถาม “มีธุระรึ?”
หนิงเหยาพยักหน้า “มีธุระ”
หลี่สือหลางยิ้มถาม “เรื่องอะไร?”
หนิงเหยาหันหน้าไปมองผู้เฒ่าผมขาวแล้วเอ่ยว่า “ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ผู้เฒ่า ขอผู้อาวุโสโปรดขยับหลบไปที่อื่นก่อน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!