ตอนนั้นหลี่ไหวที่มองดูอยู่อดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ รู้สึกสงสารผู้อาวุโสหลงซานกงที่ขยันหมั่นเพียรผู้นี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ รวมไปถึงการที่อีกฝ่ายเป็น…คนไร้บ้าน หลี่ไหวจึงบอกว่ากระท่อมหลังใหม่ให้ทำสองห้อง พวกเราพักอยู่ด้วยกัน อีกทั้งเขาสามารถช่วยสร้างที่พักแห่งนั้นได้ด้วย ถึงอย่างไรแค่บังลมบังฝนได้ก็พอแล้ว
ผลคือพอผู้เฒ่าชุดเหลืองได้ยินว่าหลี่ไหวจะช่วยก็ราวกับเกิดการช่วงชิงบนมหามรรคาขึ้นมา ผู้เฒ่าพูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอม บอกว่านายน้อยมีเรือนกายล้ำค่าดุจทองพันชั่ง สองมือจะมาสัมผัสงานชั้นต่ำพวกนี้ได้อย่างไร แล้วยังบอกด้วยว่าเขาหรือจะกล้าพักอยู่กับนายน้อย มีแต่จะรบกวนการอ่านตำราของนายน้อยเท่านั้น อีกทั้งตรงรั้วไม้นั่น อันที่จริงก็เย็นสบายดี
ดังนั้นตอนที่ผู้เฒ่าทำงานง่วนอยู่นั้น หลี่ไหวจึงนั่งยองอยู่ด้านข้าง ชวนอีกฝ่ายคุยไปด้วย ถึงได้รู้ว่าผู้อาวุโสขอบเขตบินทะยานที่มีฉายาว่าหลงซานกง ชื่อชั่วคราวว่าโอ่วหลูผู้นี้ ถึงกับไปเตร็ดเตร่อยู่ในใต้หล้าไพศาลมาสิบกว่าปี เพียงแค่เพื่อได้พูดคุยกับเขาไม่กี่ประโยค หลี่ไหวจึงอดไม่ไหวถามว่าผู้อาวุโสต้องการอะไรกันแน่? ผู้เฒ่าเกือบจะหลั่งน้ำตาแห่งความทุกข์ยากสิบจินออกมาทันที ก้มหน้าผ่าฟืน สีหน้าเปลี่ยวเหงาจนราวกับกลายเป็นภูเขาที่โดดเดี่ยวลูกหนึ่ง
ที่แท้ผู้เฒ่าชุดเหลืองคนนี้ แม้ว่าทุกวันนี้จะมีฉายาว่าหลงซานกง แต่อันที่จริงในอดีตตอนที่อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้มีร่างจำแลงมากมายนับไม่ถ้วน นามแฝงก็มีมากมาย เถาถง เฮ้อจวิน เกิงอวิ๋น บวกกับโอ่วหลูอย่างในทุกวันนี้…ฟังแล้วล้วนไพเราะสง่างาม
เพียงแต่ว่าทุกครั้งหลี่ไหวก็ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสพูดผิดตรงไหน อยู่ดีๆ ถึงได้มีเสียงประทัดระเบิดดังต่อเนื่องเป็นระลอก จากนั้นก็ถูกบีบให้กลับคืนสู่ร่างเดิม กลิ้งไถลไปทั่วพื้น หรือไม่ก็ถูกเฒ่าตาบอดที่เป็นอาจารย์ครึ่งตัวของเขาเตะโด่งออกไปนอกยอดเขา ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่อย่างนี้ กว่าจะรอจนกระท่อมสร้างเสร็จได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีที่พักของหลี่ไหวแค่คนเดียวจริงๆ เพราะห้องฝั่งตรงข้ามกลายมาเป็นห้องหนังสือของหลี่ไหว หลี่ไหวชำเลืองตามองตำราที่ชวนให้คนปวดหัวพวกนั้น ผู้เฒ่ากลับยังถามเขาอีกว่าขาดหนังสืออะไร เขาสามารถช่วยหามาให้ได้ ต่อให้จะเป็นหนังสือฉบับสมบูรณ์หรือหนังสือที่มีเล่มเดียวซึ่งล้ำค่าหายากแค่ไหน ขอแค่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมี นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว ตอนนั้นหลี่ไหวก็รู้สึกแล้วว่าผู้อาวุโสท่านนี้อยู่ในยุทธภพแล้วยังไม่ได้ดิบได้ดี ก็นับว่ามีเหตุผลแล้ว ข้าหลี่ไหวเหมือนคนที่ชอบอ่านตำราอย่างนั้นหรือ?
วันนี้อยู่ในห้องหนังสือ ผู้เฒ่าชุดเหลืองที่ตั้งฉายาให้ตัวเองใหม่ว่า ‘อู๋เฝิงสือ’ ได้ย้ายเก้าอี้มานั่งที่หน้าประตู ไม่กล้ารบกวนนายน้อยของตัวเองที่กำลังศึกษาหาความรู้ดั่งอริยะปราชญ์ เงียบงันอยู่นานมาก เห็นว่าหลี่ไหววางตำราในมือลง นวดคลึงหว่างคิ้ว ผู้เฒ่าถึงได้เอ่ยอย่างเลื่อมใสด้วยใจจริงว่า “นายน้อยอายุไม่มาก จิตใจมั่นคงจริงๆ เกิดมามีความอัศจรรย์ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง ไม่เหมือนข้า อายุก็ตั้งหลายพันปีแล้ว เอาชีวิตไปใช้บนร่างหมาหมดจริงๆ เลย”
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงตั้งชื่อว่าอู่เฝิงสือ แน่นอนว่าก็เพื่อหวังให้เป็นนิมิตหมายอันดี หวังว่าเมื่อมีหลี่ไหวนายท่านใหญ่หลี่เพิ่มเข้ามา เขาจะได้พึ่งใบบุญ เมื่อโอกาสมาถึงโชคชะตาก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
หลี่ไหววางหนังสือลง พูดอย่างจริงใจว่า “เรื่องรับลูกศิษย์เรื่องกราบไหว้อาจารย์อะไรนั่น ข้าล้วนไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ไม่ว่าผู้อาวุโสผู้เฒ่าตาบอดจะยินดีรับลูกศิษย์อะไร ข้าก็ยังคงเป็นข้าคนนั้นอยู่ดีไม่ใช่หรือ หากข้าทำให้เขาผิดหวังก็ต้องขอโทษด้วย ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า ไม่ทำให้เขาผิดหวัง แน่นอนว่าข้าต้องดีใจ ผู้เฒ่าตาบอดที่เป็นอาจารย์ครึ่งตัวก็ไม่ต้องขอบคุณอะไรข้า ก็เป็นแค่อาจารย์และลูกศิษย์กันครึ่งตัวนี่นะ จะต้องเกรงใจกันไปไย”
คำก็ตาบอดสองคำก็ตาบอด ผู้เฒ่าชุดเหลืองฟังด้วยความอกสั่นขวัญผวา นายท่านใหญ่หลี่ไหวผู้นี้เกินครึ่งคงไม่เป็นไรหรอก แต่ตนนี่แหละที่รับรองว่าเป็นแน่
ผู้เฒ่ารู้สึกว่าควรต้องทำอะไรบางอย่างจึงรีบลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อ วัตถุกองใหญ่จึงถูกสะบัดออกมากองไว้บนโต๊ะหนังสือ
กลุ่มกิ่งกุ้ยแห่งภูเขากว่างหันโยว ตัดออกเป็นเส้น หยิบเอาแก่นไฟมาใส่ หลอมเป็นที่วางพู่กัน
เทียบอักษรเขียนด้วยตัวอักษรฉ่าวซูที่คลี่กางออก ด้านบนมีกลอนอยู่หนึ่งบท ตรงกลางวาดเป็นภาพที่วางพู่กันปะการัง สองนิ้วของผู้เฒ่าคีบที่วางพู่กันปะการังชิ้นนั้น แล้วก็ถึงกับหยิบออกมาจากภาพวาดแล้ววางลงบนโต๊ะเบาๆ
และยังมีแท่นฝนหมึกมังกรเฒ่านอนขวางสระน้ำ ตัวอักษรที่แกะสลักมีความองอาจไม่น้อย ‘หล่อเลี้ยงกระดูกหยก วัตถุพันปี ยามเจ้านายใช้แสงสีหลากหลายสาดส่อง’
และยังมีที่ล้างพู่กันลักษณะเป็นสระบัวทำจากหยกอีกชิ้นหนึ่ง ตัวอักษรตรงก้นด้านล่างคือคำว่า ‘เนิ่นเต้าเหริน’ ใช้พู่กันอย่างอ่อนโยนละมุนละไม บอบบางน่าเอ็นดู
หลี่ไหวถามอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสจะทำอะไร?”
ของบนโต๊ะดีหรือไม่ดี หลี่ไหวยังพอจะมองออกได้คร่าวๆ
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ในใจของหลี่ไหวก็ยิ่งโอดครวญไม่หยุด ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ ข้ามาที่นี่ก็แค่มาเที่ยวเล่นเท่านั้น ถูกท่านผู้อาวุโสทำให้เดือดร้อนจนต้องแสร้งมานั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ทุกวันก็แล้วไปเถอะ หรือนี่ยังจะให้ข้าต้องฝึกเขียนตัวอักษรฝึกวาดภาพให้ดูสง่างามมีความรู้อีกด้วย?
ผู้เฒ่าชุดเหลืองยังคงกล่าวด้วยสีหน้าประจบเอาใจ “นายน้อยคือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่พันปีก็ยากจะพานพบ ของขวัญพบหน้าน้อยนิดแค่นี้ไม่แสดงความจริงใจได้มากพอ ไม่แสดงความจริงใจได้มากพอเลยจริงๆ”
ยากจะจินตนาการได้ว่าคนผู้นี้ก็คือปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ในบรรดาปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ในอดีต สตรีอย่างเฟยเฟย และยังมีหวงหลวนที่เคยเป็นพี่น้องกันแต่แล้วก็ชักสีหน้าแตกหักกันผู้นั้น บวกกับเฒ่าหูหนวกอีกคน เขาล้วนสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
แม่นางน้อยที่นครจินชุ่ยผู้นั้นก็ยิ่งเคยมีเรื่องราวในอดีตร่วมกับเขา
แม้แต่ตาเฒ่าต่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนที่เพิ่งมาท่องเที่ยวใต้หล้าเปลี่ยวร้างช่วงแรกๆ ก็ยังเคยถูกเขาไล่กัดมาก่อน
ส่วนอาเหลียงก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขอแค่ทุกครั้งที่เจ้าชาติสุนัขผู้นี้ผ่านภูเขาแสนลี้ เฒ่าตาบอดก็จะต้องให้เขาปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่
ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาถึงได้มีนามแฝงว่าเถาถิง
เถาถิงแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กู้ชิงซงแห่งใต้หล้าไพศาล
ทั้งสองคนนี้ต่างคนก็ต่างพอจะมีชื่อเสียงในใต้หล้าของแต่ละคนอยู่บ้าง
เฒ่าตาบอดเอาสองมือไพล่หลังเดินเข้ามาในกระท่อม ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ชำเลืองตามองข้าวของบนโต๊ะแล้วขมวดคิ้วพูดกับหมาเฝ้าประตูตัวนั้น “ลวดลายเยอะนักนะ คาบกระดูกจากบนถนนกลับมาบ้าน เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?”
ทำเอาผู้เฒ่าชุดเหลืองที่ได้ยินหนังตากระตุกริกๆ อุตส่าห์ซื่อสัตย์จริงใจ สร้างคุณความชอบแล้วเอามาบอก จงรักภักดีอย่างสุดจิตสุดใจ แต่กลับถูกน้ำเย็นๆ ราดใส่หัวเช่นนี้
หลี่ไหวลุกขึ้นยืน ถือว่าช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้กับผู้อาวุโส ด้วยการยิ้มถามว่า “ไม่มีชื่อบ้างเลยหรือ จะให้เอาแต่เรียกท่านว่าเฒ่าตาบอดทุกวันก็คงไม่ได้กระมัง?”
เฒ่าตาบอดยิ้มเอ่ย “เฒ่าตาบอดก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เรียกแบบนี้แหละ”
หลี่ไหวยกนิ้วโป้งให้ “ยิ่งนานก็ยิ่งถูกใจ! เป็นอาจารย์เกินครึ่งตัวแล้ว!”
ผู้เฒ่าชุดเหลืองชำเลืองตามองเฒ่าตาบอดที่ยิ้มจนใบหน้าแก่ๆ เกือบจะมีบุปผาผลิบานออกมาอยู่แล้ว จากนั้นจึงมองหลี่ไหวที่รนหาที่ตายครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เคยตาย สุดท้ายก็นึกถึงสภาพอันน่าสังเวชของตน แล้วก็ให้รู้สึกว่าชีวิตช่างยากเย็นจริงๆ
วันนี้บนยอดเขาแห่งนี้มีควันไฟอย่างที่หาได้ยาก สุดท้ายบนโต๊ะก็วางเนื้อตุ๋นหม้อใหญ่เอาไว้ ไอร้อนลอยกรุ่น กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก
ตอนแรกหลี่ไหวยังรู้สึกเกรงใจจึงไม่กล้าขยับตะเกียบ แต่พอเขาเห็นผู้เฒ่าตาบอดขยับตะเกียบนำไปก่อน และผู้เฒ่าชุดเหลืองเองก็จ้วงตะเกียบอย่างว่องไวไม่มีเลอะเลือน หลี่ไหวจึงไม่เกรงใจอีก
เฒ่าตาบอดชำเลืองตามองมา ผู้เฒ่าชุดเหลืองก็รีบยกถ้วยออกไปจากโต๊ะทันใด หลี่ไหวยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวยาว คีบเนื้อหมาคำใหญ่ใส่ชามแล้วตบโต๊ะเอ่ยอย่างเดือดดาล “อะไรกัน เฒ่าตาบอดท่านจะไม่มีน้ำใจบ้างเลยหรือ?!”
จากนั้นหลี่ไหวก็หันหน้ามายิ้มให้ผู้อาวุโส ช่วยพูดหนุนหลังให้ “ไม่ต้องลุก พวกเรานั่งกินไปด้วยกันนี่แหละ อย่าไปสนใจเฒ่าตาบอดเลย ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ไม่รู้จะโอ้อวดบารมีให้ใครดูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
กินอาหารของคนอื่น ถึงอย่างไรก็ต้องปากอ่อน
แน่นอนว่าไม่ใช่เนื้อหมาที่เฉือนออกมาจากร่างของผู้เฒ่าชุดเหลืองจริงๆ แต่เป็นในภูเขาแสนลี้แห่งนี้ที่ยังมีของล้ำค่าหายากบนภูเขาอยู่มากมาย ไม่อย่างนั้นหลี่ไหวก็คงไม่กล้าแม้แต่จะจับตะเกียบแล้ว น่าขนลุกเกินไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!