กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 775

อาเหลียงชี้ไปที่เหนือศีรษะ เอ่ยอย่างจนใจว่า “จะดีจะชั่วก็ขอให้ผมงอกขึ้นมาสักหน่อย ไม่อย่างนั้นข้าจะกล้าไปที่ไหนได้ มีแต่จะทำให้แม่นางทั้งหลายเห็นแล้วเจ็บปวดใจสงสาร พอไปถึงหลิวเสียทวีปก็เลยอยากจะไปพูดคุยรำลึกความหลังกับพี่หญิงชงเชี่ยนก่อนไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงว่านางจะไม่อยู่บ้าน ได้ยินมาว่าไปอยู่ที่ตั้งเก่าของสำนักอวี่หลง ไม่ได้กลับบ้านมานานหลายปีแล้ว ข้าก็เลยให้ลูกศิษย์ของพี่หญิงชงเชี่ยนช่วยส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปหนึ่งฉบับ ไม่นานก็ได้รับจดหมายตอบกลับมา ถ้อยคำกระชับสั้นเรียบง่าย แค่สองคำ รอก่อน! ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าฟังดูสิ นี่ไม่ใช่ว่าจริงใจกระตือรือร้นมากเลยหรอกหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า ช่วยอาเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายอย่างสุดซึ้ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รอไปก่อนเถอะ”

อาเหลียงหัวเราะหึหึ “รออะไรกันเล่า ข้ากลัวว่าพอพบหน้ากัน จากลาชั่วคราวหวานชื่นกว่าตอนเพิ่งแต่งงานใหม่ พี่หญิงชงเชี่ยนจะอดใจรอไม่ไหวเอาน่ะสิ”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะหึหึตามไปด้วย

อาเหลียงพลันเงียบงันไป มองผู้เฒ่าร่างผอมแห้งที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยตัวสูงผู้นี้

ทุกวันนี้ซิ่วไฉเฒ่าไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น

เมื่อเทียบกับปีนั้นที่ขังตัวเองอยู่ในสวนกงเต๋อแล้ว ไม่เหมือนกัน

คนทั้งสองเดินไปที่ขั้นบันไดด้านหน้าศาลบุ๋นด้วยกัน นั่งลงด้วยกัน

อาเหลียงเล่าเรื่องน่าสนใจที่พบเจอระหว่างเดินทางมาให้ฟัง บอกว่าสถานที่แห่งหนึ่งในหลิวเสียทวีป ในร้านอาหารเหลาสุราแห่งหนึ่ง เขาเลียนแบบซิ่วไฉเฒ่าในอดีตที่กินอาหารดื่มเหล้าแล้วไม่จ่ายเงิน จะเขียนสัญญาหนี้ก็ไม่ได้ เลยตวาดบอกให้เอาพู่กันมา คิดจะทิ้งผลงานน้ำหมึกเอาไว้ ช่วยเขียนกรอบป้ายให้ที่ร้าน หลังจากที่พู่กันและหมึกเตรียมมาพร้อมแล้ว เขาก็เขียนตัวอักษรลงไปสองสามคำ ตัวอักษรที่เขียนเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง เมื่อเทียบกับตัวอักษรที่แกะสลักลงบนหัวกำแพงแล้วยังตั้งใจมากกว่า เพียงแต่เถ้าแก่ร้านมองของไม่เป็น จึงคิดเงินค่าเหล้าค่าอาหารพร้อมกับค่ากระดาษไปพร้อมกันด้วย เขาเลยได้แต่ติดไว้ก่อน

ยังเล่าอีกว่าตรงท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่กระโปรงหลากสีสันพลิ้วไสว รองเท้าปักลายมีมากมาย ช่างบังเอิญยิ่งนัก เขาไปได้ยินคนกลุ่มหนึ่งพูดถึงตัวเองพอดี พูดจนเขารู้สึกเขินอาย โดยเฉพาะแม่นางน้อยสองคน ในดวงตาที่งดงามของพวกนางคล้ายจะเขียนสองคำว่าอาเหลียงและพี่ชายไว้เต็มไปหมด ทำให้คนเคลิบเคลิ้มเมามายดุจได้ดื่มสุราเลิศรสอย่างไรอย่างนั้น และเขาคนนี้ ซิ่วไฉเฒ่าเจ้าก็รู้จักดีไม่ใช่หรือ ยอมให้คนอื่นชมเชยตัวเองอย่างส่งเดชไม่ได้เป็นที่สุด จึงจัดระเบียบเสื้อผ้า ถือถ้วยเหล้าที่ว่างเปล่าเดินตรงเข้าไปหา เอ่ยถ้อยคำที่เป็นความจริงกับพวกเขาไปคำหนึ่ง บอกว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ผู้นั้นไม่มีอะไรร้ายกาจ ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไรเลยจริงๆ …

ผลคือถูกชมเชยมาคำหนึ่งว่าเจ้าโล้น ยังบอกอีกว่าทำไมเจ้าแม่งไม่พูดถึงผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงอย่างเต๋าเหล่าเอ้อไปด้วยเลยเล่า?

ในเมื่อพูดก็พูดให้อีกฝ่ายฟังไปแล้ว เขาจึงได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ฟังพวกนักดื่มเหล่านั้นคุยเล่นกันอีกสองสามประโยค ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันถูกคออย่างมาก เขามัวง่วนอยู่กับการเรียกพี่เรียกน้อง กินกับแกล้มของพวกเขาไปเล็กน้อย สุดท้ายทนรับสายตาชื่นชมเลื่อมใสของแม่นางพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ กังวลว่าจะก่อหนี้รักที่ไม่จำเป็นอะไรขึ้นมาอีก ถึงได้วางถ้วยเหล้าลงแล้วออกมาจากร้านเหล้า ก่อนจะหยุดเดินอย่างมีความพิถีพิถันยิ่ง เงยหน้ามองแสงอาทิตย์ แล้วถึงได้ก้าวยาวๆ ออกไปอย่างกะทันหันซึ่งเป็นท่วงท่ามีความรู้แฝงไว้มากยิ่งกว่า เดินอยู่บนถนนเพียงลำพัง ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังที่เปลี่ยวเหงาชวนให้สตรีใจสลายเอาไว้ รวมไปถึง…หนี้ค่าเหล้าที่ไม่ทันระวังลืมจ่ายไปก้อนหนึ่ง?

ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าชายฉกรรจ์ที่อยู่ข้างกายเบาๆ เอ่ยชมเชยว่า “ใช้ได้ๆ มาดยังคงอยู่ ขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ถูกคนหักลดไป”

อาเหลียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

ชายฉกรรจ์มอมแมมที่เส้นผมมีไม่มากเล่าเรื่องน่าสนใจระหว่างท่องเที่ยวให้ซิ่วไฉเฒ่าฟังอีกมากมาย

บอกว่าเขาไปบนฟ้ามารอบหนึ่ง ได้เจอกับตาเฒ่าอวี๋ที่ผสานมรรคากับธารดวงดาวอย่างยากลำบากอยู่ที่นั่น ไม่ได้พูดถึงขอบเขตสิบสี่อะไรนั่น หลีกเลี่ยงไม่ให้ตาเฒ่าอวี๋ที่อายุมากปูนนั้นแล้วแต่คุณสมบัติในการฝึกตนกลับยังธรรมดารู้สึกเสียใจหม่นหมอง

พูดแค่ว่าเขาอิจฉาสหายทุกคนที่อยู่ข้างกายตัวเองมาโดยตลอด เหตุใดพวกเขาถึงได้มีสหายที่หล่อเหลาสง่างาม มีเสน่ห์น่าหลงใหลแบบนี้ได้ แต่เขาอาเหลียงกลับไม่มีนะ? พอตาเฒ่าอวี๋ฟังแล้วก็เงียบไปครึ่งวัน คงจะรู้สึกละอายใจและอับอายที่สู้ไม่ได้กระมัง

เพียงแต่ว่าสุดท้ายตาเฒ่าอวี๋ก็พูดมาประโยคหนึ่ง เป็นประโยคที่เหมือนบัณฑิตอย่างมาก

บอกว่าสิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าคนหนึ่งคิดถึงคำนึงหาอยู่ตลอดเวลาได้ คือมาตุภูมิคือบ้านเกิด และยิ่งคือวัยเด็ก วัยเยาว์ในอดีต

มีเพียงสถานที่สุดท้ายในหลิวเสียทวีปที่ตัวเองไปเยือนซึ่งอาเหลียงไม่ได้เล่าให้ฟัง

นั่นคือสุสานไร้ญาติของป่ารกร้างชานเมืองแห่งหนึ่ง อย่าว่าแต่ปราณวิญญาณฟ้าดินเลย แม้แต่กลิ่นอายชั่วร้ายอัปมงคลก็ไม่มีแม้แต่น้อย ชายฉกรรจ์นั่งขัดสมาธิ สองมือกำเป็นหมัดค้ำไว้บนหัวเข่าเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงแค่นั่งงีบหลับอยู่คนเดียวเงียบๆ จนฟ้าสาง ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ฟ้าดินสว่างไสว เขาถึงได้ลืมตาขึ้น ราวกับว่าเป็นวันใหม่อีกวันหนึ่งแล้ว

ไม่ว่าอาเหลียงจะพูดอะไร

ซิ่วไฉเฒ่าที่นั่งอยู่ด้านข้างล้วนฟังอย่างตั้งใจ ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ขอแค่คนอื่นกำลังพูด ไม่ว่าจะพูดมีเหตุผลหรือไม่ เรื่องใหญ่เรื่องเล็ก น่าสนใจไม่น่าสนใจ ผู้เฒ่าก็ล้วนเป็นเช่นนี้ สีหน้าจริงจัง ความอดทนดีเยี่ยม รอคอยให้คนข้างกายพูดจบแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าถึงจะเอ่ยคำพูดของตัวเอง

บางทีคงมีเพียงผู้เฒ่าที่เป็นอย่างนี้เท่านั้นถึงจะสอนลูกศิษย์ที่เป็นอย่างนั้นออกมาได้กระมัง ลูกศิษย์คนแรกชุยฉาน จั่วโย่ว ฉีจิ้งชุน จวินเชี่ยน ลูกศิษย์คนสุดท้ายเฉินผิงอัน

อาเหลียงถามเสียงเบา “เจ้าทึ่มจั่วโย่วยังไม่กลับมาจากนอกฟ้าอีกหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าอืมรับหนึ่งที

อาเหลียงเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า ปีนั้นตอนอยู่เมืองหลวงต้าหลี จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้าเจ้าหมอนั่น”

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ซิ่วไฉเฒ่าที่ท้องหิวโหยสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน มีวันหนึ่งเหลือบไปเห็นว่านอกโรงเรียนมีคนต่างถิ่นคนหนึ่งมายืนแอบฟังความรู้ที่เขาสอนอยู่ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นลูกหลานคนมีเงินที่มาจากตระกูลปัญญาชน ซิ่วไฉเฒ่าจึงพรรณนาความรู้อันเป็นแก่นสำคัญอีกหลายประโยคอย่างสุดชีวิต รอกระทั่งพวกเด็กนักเรียนที่ส่งเสียงเอะอะจอแจพากันเลิกเรียนกลับบ้านไปแล้ว เด็กหนุ่มก็ถูกความรู้ความสามารถของอาจารย์ในโรงเรียนที่ตอนนั้นยังไม่แก่เลยสักนิดโน้มน้าวได้สำเร็จจริงดังคาด เขาจึงยืนคอยอยู่นอกประตูเช่นนั้น สุดท้ายยังประสานมือคารวะขอเล่าเรียนวิชาอยู่ที่หน้าประตู บอกว่าอยากจะกราบอาจารย์ เด็กหนุ่มเข้าใจมารยาทดีเยี่ยม รู้กฎระเบียบดีมาก ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าเบิกบานใจยิ่งนัก รู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีลูกศิษย์สักคน ตรงหน้านี้ก็มีลูกศิษย์สำเร็จรูปอยู่คนหนึ่งไม่ใช่หรือ? สอนความรู้ให้ใครก็คือสอนเหมือนกันไม่ใช่หรือ

ท่ามกลางแสงสนธยาในวันนั้น บัณฑิตสองคนหนึ่งโตหนึ่งเด็กเดินไปด้วยกันตลอดทางพร้อมเสียงไก่ขันหมาเห่าและควันไฟจากการปรุงอาหาร เดินเคียงบ่ากันเข้าไปในตรอกพร้อมดมกลิ่นอาหารไปด้วย พอไปถึงบ้านก็คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะก่อไฟทำกับข้าวเป็นด้วย

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้า “สอนใครไม่ถือว่าสอน? คิดไม่ถึงว่าไม่ทันระวังกลับได้สอนลูกศิษย์ที่ฉลาดที่สุดทั้งยินดีจะลงมือปฏิบัติจริงคนหนึ่งออกมาได้”

อาเหลียงยิ้มเอ่ย “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องขอบคุณเขา หากไม่ใช่เขา ข้าก็คงรู้จักแค่เหวินเซิ่ง ไม่ได้รู้จักซิ่วไฉเฒ่าแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือ

ดังนั้นอาเหลียงจึงได้แต่ยื่นเหล้ากาหนึ่งไปให้

ซิ่วไฉเฒ่ารับกาเหล้ามา อาเหลียงร่วมดื่มไปพร้อมกับเขา

อาเหลียงพลันโพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “ซิ่วไฉเฒ่า ตอนที่เจ้ายังไม่แก่ อันที่จริงรูปโฉมไม่ได้ดูดีเท่าไรเลยจริงๆ”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า “ผายลมน่ะสิ มีแต่จะหล่อเหลากว่าเจ้า เจ้าลองมองดูลูกศิษย์แต่ละคนของข้าสิ มีใครบ้างที่รูปโฉมและบุคลิกไม่ดีเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง?”

อาเหลียงหลุดหัวเราะพรืด “ไม่พูดถึงเรื่องการถ่ายทอดวิชาความรู้ อาจารย์จะสามารถสอนออกมาเป็นรูปโฉมของลูกศิษย์ได้ด้วยหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่านวดคลึงปลายคาง “สายบุ๋นสายอื่นจะเลียนแบบก็ทำไม่ได้นะ แล้วเจ้าลองดูในบรรดาลูกศิษย์ของลูกศิษย์ข้า เป่าผิงน้อย เฉาฉิงหล่าง เผยเฉียนน้อย…แล้วเจ้าลองมองตัวเจ้าเองสิ?”

อาเหลียงลุกขึ้นยืน ซิ่วไฉเฒ่าถาม “จะไปไหน?”

อาเหลียงยิ้มเอ่ย “วางใจเถอะ ข้าจะไปหาคน คาดว่าอีกเดี๋ยวก็คงต้องให้เจ้าช่วยพูดอยู่ที่นี่แล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่ารีบลุกขึ้นยืน กดเสียงต่ำเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาหลายๆ คนเลย จะได้ได้กำไร ที่ข้ามีรายชื่ออยู่ เอาไปๆ”

อาเหลียงรับกระดาษแผ่นนั้นมาเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงแค่เหลือบตามองก็รู้แล้วว่าตัวเองมีงานให้ต้องทำแล้ว เรือนกายจึงกลายร่างเป็นสายรุ้งจากไปอย่างรีบร้อน

นอกฟ้าที่ทั้งหมัดเท้าและกระบี่ล้วนสามารถปล่อยได้ตามใจชอบ

บริเวณโดยรอบคนทั้งสองที่ลอยตัวคุมเชิงกันอยู่กลางอากาศ แสงสว่างเป็นจุดๆ ล้วนเป็นดวงดาวที่อยู่ห่างไกล

แม่นางน้อยมัดผมแกละคนหนึ่งที่ในมือหิ้วแขนครึ่งท่อนของตัวเอง กำลังประกบบาดแผลให้ตรงกันพลางถลึงตาใส่คนผู้นั้นไปด้วย “พอหรือยัง?! จะต้องขัดขวางไม่ให้ข้าไปใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้ได้เลยรึ?! เชื่อหรือไม่ว่าหากทำให้ข้าเดือดดาล ข้าจะโหม่งหัวพุ่งเข้าไปในทักษินาตยทวีปหรือไม่ก็ใบถงทวีป ให้อาจารย์ที่น่าสงสารของเจ้าคนนั้นจบเห่อย่างสิ้นเชิงไปเลย?!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!