กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 776

มองหมี่ลี่น้อยที่หัวเราะอย่างโง่งม เผยเฉียนรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย โชคดีที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วอย่างเจ้า ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่เปลี่ยนเป็นเฉินหลิงจวินเลย ต่อให้เป็นลูกศิษย์ที่เป็นผู้ภาคภูมิใจอย่างเฉาฉิงหล่าง พรุ่งนี้ก็ต้องซวยแน่

โจวหมี่ลี่เอ่ยลาหนึ่งคำ ก่อนจะวิ่งฉิวไปที่ห้องตัวเองรอบหนึ่ง ตอนที่นางกลับมาได้เอาเมล็ดแตงถุงใหญ่และปลาลำธารตากแห้งถุงเล็กกลับมาด้วย

เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองสีท้องฟ้า จากนั้นคีบยันต์ส่องไฟออกมาหนึ่งแผ่น ยันต์เผาไหม้ช้าๆ ไม่ต่างจากยันต์สองแผ่นก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ครั้นจึงใช้สองนิ้วทำมุทรากระบี่ ท่องคำว่าขึ้นอยู่ในใจเงียบๆ ปราณกระบี่สีทองเส้นหนึ่งเหมือนเจียวหลงว่ายวนก็ผุดขึ้นมา สุดท้ายหัวและหางเชื่อมต่อกัน วาดวงกลมสีทองวงใหญ่ไว้ในห้องหนึ่งวง สร้างตราผนึกเวทอาคมที่เป็นบ่อสายฟ้าสีทองหนึ่งบ่อ ภาพบรรยากาศของค่ายกลยันต์แทบจะใกล้เคียงกับฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่ง

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เผยเฉียนใช้กระบองเหล็กวาดเลียนแบบวิธีของเขาบนถนนใหญ่ การร่ายค่ายกลของเฉินผิงอัน เห็นได้ชัดว่ากลมกลืนสมดั่งใจ สอดคล้องกับปณิธานแห่งมรรคามากกว่า

ในหัวของเผยเฉียนมีคำพูดหนึ่งผุดออกมา วิถีแห่งสวรรค์ลี้ลับมหัศจรรย์

ตอนที่ฝึกหมัดอยู่บนเรือนไม้ไผ่ ผู้เฒ่าที่สอนวิชาหมัดมักจะมีคำพูดหนึ่งติดปากอยู่เป็นประจำ นั่นก็คือเผยเฉียนคุณสมบัติของเจ้าแย่เกินไป แม้แต่อาจารย์พ่อของเจ้าก็ยังสู้ไม่ได้ ไม่มีความหมายแม้แต่นิดเดียว

ต่อให้เผยเฉียนได้กลายเป็นเจิ้งเฉียนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าแล้ว พอกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางประลองวิชาหมัดกับพ่อครัวเฒ่า พอจูเหลี่ยนเก็บหมัดลงไป ก็ได้พูดประโยคหนึ่งที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกันว่า เมื่อเทียบกับเจ้าขุนเขาแล้ว เจ้ายังคงขาดความหมายอีกเล็กน้อย

หนิงเหยาแทะเมล็ดแตง ถามว่า “นี่คือค่ายกลกระบี่หรือ?”

เห็นได้ชัดว่าหนิงเหยาเองก็รู้สึกว่าเวทกระบี่ที่เกิดจากการผสมผสานวิชาค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรียนมาจากคนอื่น เพียงแต่ว่าเพิ่มวิชากระบี่และปณิธานหมัดของตัวเองเข้าไปเล็กน้อย”

ค่ายกลที่ไม่เคยมีชื่อเรียกนี้ แรกเริ่มสุดนั้นเรียนมาจากชุยตงซาน ฝ่ายหลังชอบใช้กระบี่บินจินสุ้ยที่เป็นของตกทอดของเซียนกระบี่มาวาดวงกลมตัดขาดฟ้าดิน ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ภายหลังอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันก็ดึงตัวหลิวจิ่งหลงมา บวกกับชุยตงซานอีกคน แล้วหยิบเอาบันทึกลับฉบับหนึ่งที่คัดลอกมาจากคฤหาสน์หลบร้อนออกมา มันมีความเกี่ยวข้องกับบ่อสายฟ้าของภูเขาห้อยหัวอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าตัวอักษรที่บันทึกไว้มีความเป็น ‘บรรพบุรุษ’ มากกว่าหน่อย เกี่ยวพันถึงบ่อชำระกระบี่ของเรือนโต้วซูหนึ่งในหนึ่งจวนสองเรือนสามกองของกรมสายฟ้า เฉินผิงอันจึงให้สองคนนี้เปิดเอกสารอ่าน สุดท้ายหลิวจิ่งหลงก็ร่วมมือกับชุยตงซาน ทำการแก้ไขค่ายกลนี้ให้สมบูรณ์แบบ แต่ทุกวันนี้เมื่อเฉินผิงอันร่ายมันก็ยังคงเคยชินที่จะเพิ่มปณิธานหมัดบนร่างตัวเองเข้าไปสองสามส่วน รวมไปถึงปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ด้วย

อยู่บนเรือข้ามฟาก ถึงอย่างไรก็เป็นการพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ไม่สะดวกจะพูดถึงเรื่องของนครบินทะยานและภูเขาลั่วพั่วมากนัก

ก่อนหน้านี้การชมภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือของหลี่สือหลางถูกเฉินผิงอันพูดเปิดโปงความลับในประโยคดียว ทั้งสองฝ่ายจึงพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ทั้งเป็นการลอบมองโรงเตี๊ยมของเจ้านครเถียวมู่ผู้นี้ แต่อันที่จริงไยจะไม่ใช่การบอกเตือนอย่างหนึ่งเล่า

นี่หมายความว่าในนครเถียวมู่แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเรือราตรีลำนี้ ขอแค่เทพเทวดาของฟ้าดินแห่งนี้มีใจ ก็ไม่มีความรู้อะไรที่ไม่อาจรู้ได้

ตอนนี้คนทั้งกลุ่มอยู่ในค่ายกลแล้ว เฉินผิงอันจึงมองไปทางเผยเฉียน เผยเฉียนเข้าใจได้ทันทีจึงบอกตัวเลขนั้นออกมา

ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะ ‘บินทะยาน’ ออกไปจากนครเถียวมู่ เฉินผิงอันได้ใช้เสียงในใจเอ่ยสองคำว่าหน้าหนังสือ คล้ายทายคำปริศนากับเผยเฉียน

นับตั้งแต่นาทีที่เฉินผิงอันออกจากโรงเตี๊ยมไปหาหนิงเหยา เผยเฉียนก็แบ่งสมาธิมานับเวลา รอแค่ให้อาจารย์พ่อเอ่ยถาม นางถึงได้บอกตัวเลขนั้นออกมา

หนิงเหยารู้สึกสงสัยเล็กน้อย

เฉินผิงอันอธิบายให้ฟังด้วยรอยยิ้ม “กลัวว่าจะถูกวางแผนเล่นงาน ถูกปิดหูปิดตาแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ไม่ทันระวังก็จะต้องถ่วงรั้งการเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปนานเกินไป”

เฉินผิงอันประกบสองนิ้ว สะบัดข้อมือเบาๆ หนึ่งที ถึงกับหยิบเอายันต์ส่องไฟที่เผาไหม้ไปแล้วเกินครึ่งแผ่นหนึ่งออกมาจากกระบี่บินนกในกรงที่อยู่ท่ามกลางฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ นี่ก็เหมือนกับนักพรตวัวดำและชายเคราดกที่ถือว่ามีฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งอยู่บนเรือข้ามฟากแล้ว จุดตะเกียงหนึ่งดวง ในฟ้าดินเล็กกับยันต์ส่องไฟที่ลอยอยู่ตรงหน้าต่างมีความต่างกันไม่น้อย ในที่สุดก็ถูกเฉินผิงอันตรวจสอบจนพบเจอกับความจริงข้อหนึ่งที่ซ่อนอยู่อย่างลึกล้ำ เขาหลุดหัวเราะพรืด “ทางฝั่งของเรือข้ามฟากนี้ มีคนควบคุมความเร็วในการไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างลับๆ อยู่จริงดังคาด หากจะทำให้เทพไม่รู้ผีไม่เห็นก็ต้องอยู่ในภูเขาหกสิบปี บนโลกก็ผ่านไปพันปีแล้ว ต้องไม่ใช่หลี่สือหลางแห่งนครเถียวมู่แน่นอน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเจ้าของเรือผู้นั้นแล้ว”

ในจักรวาลชายแขนเสื้อของชุยตงซานสามารถทำให้ผู้ฝึกตนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในกรงขังได้ ผ่านแต่ละวันไปอย่างยาวนานเหมือนเป็นปี ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมทำให้คนในสถานการณ์ได้สัมผัสกับอะไรที่เรียกว่าม้าขาวผ่านช่องแคบได้อย่างแท้จริง

เผยเฉียนฟังด้วยความรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ

ลองจินตนาการดูว่าเวลาสิบวันครึ่งเดือนบนเรือราตรี เตร็ดเตร่ไปตามสิบสองนครอย่างสบายอุรา หากรอกระทั่งออกจากเรือข้ามฟากแล้วกลับเพิ่งจะตระหนักรู้ว่าใต้หล้าไพศาลได้ผ่านไปหลายเดือน หรืออาจถึงขั้นยาวนานหลายปีแล้วเล่า?

เฉินผิงอันเดินไปที่หน้าต่าง พูดเสียงดังกังวานว่า “รบกวนหลี่สือหลางบอกกับเจ้านครสักคำ วันนี้เรือราตรีจะขยับเข้าใกล้ทางเข้ากุยซวีแห่งหนึ่ง หรือคิดจะตรงดิ่งไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเลยก็ล้วนไม่มีปัญหา มีเพียงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงแม่น้ำแห่งกาลเวลาเท่านั้นที่ในเมื่อถูกข้าจับได้แล้ว ก็ควรจะยกเลิกแล้วหรือไม่?”

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนถนนใหญ่และในโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันได้เผายันต์ส่องไฟสองแผ่น ก็เพื่อช่วยให้เรือลำนี้เข้าใจผิดคิดว่าเขาเฉินผิงอันมีความเข้าใจบางอย่างของตัวเอง

คิดไปเองว่ามรรคกถาของตนสูงมากพอ เวทคาถาก็มากพอจะไร้เทียมทานในหนึ่งทวีป กลายเป็นบรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ของสำนักแห่งอื่น คิดไปว่าแผนการของตัวเองลึกล้ำยาวไกล โชควาสนาล้วนเป็นของในกระเป๋าของตัวเองหมดแล้ว อาศัยตะเกียงอายุยืนในศาลบรรพจารย์ดวงหนึ่ง ถึงได้โชคดีกลับขึ้นภูเขาเดินบนเส้นทางการฝึกตนได้อีกครั้ง

เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าต่างครู่หนึ่งก็หันหน้ามามองหนิงเหยา

หนิงเหยาส่ายหน้า “หากไม่เป็นเพราะเจ้าของเรือผู้นั้นไม่ได้สังเกตทางนี้ ก็คงเป็นเพราะมรรคกถาของอีกฝ่ายสูงมากพอ ข้าจึงสัมผัสถึงเบาะแสอะไรไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!