กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 778

อู๋ซวงเจี้ยงถูกกักอยู่ในฟ้าดินเล็กหนาชั้น มองไม่เห็นเงาร่างของคนทั้งสี่แล้ว กลับกลายเป็นว่าเก็บกายธรรมใหญ่โตโอฬารที่ค้ำฟ้ายันดินนั้นไป จะได้ชื่นชมฟ้าดินเมล็ดงาชั้นแรกที่มีภาพกลุ่มดวงดาวเป็นรากฐานนี้อย่างเต็มที่

ขยับออกไปข้างนอกอีกหน่อยมีกลิ่นอายของภาพค้นภูเขา อู๋ซวงเจี้ยงเองก็ไม่รีบร้อน เดินไปท่ามกลางความว่างเปล่าตามแต่ใจตัวเอง เพียงก้าวง่ายๆ ออกไปหนึ่งก้าวก็สามารถข้ามผ่านดวงดาวดวงหนึ่งในฟ้าดินเล็กไปได้ รอบเรือนกายของเขา เนื่องจากเขาเป็นเพียงเป้าหมายหนึ่งเดียวที่ถูกสยบกำราบ ทุกลมหายใจ ทุกการขยับเท้าล้วนจะต้องชนกำแพงของฟ้าดินเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่อู๋ซวงเจี้ยงก้าวเดิน ก็ราวกับน้ำในมหานทีที่ซัดเชี่ยวกรากพุ่งชนเสาหินกลางกระแสน้ำ กระแทกให้เกิดเป็นแสงแก้วใสเจ็ดสีที่พร่างตาระลอกแล้วระลอกเล่า ลำแสงไหลเอ่อท้นเจิดจ้าพร่าพรายอย่างถึงที่สุด ด้านหลังของเขาคล้ายลากเอาเส้นยาวเส้นหนึ่งที่เล็กบางมากแต่กลับรวมตัวกันแน่นหนาไม่สลายหายไปไหนมาด้วย เป็นเหตุให้อู๋ซวงเจี้ยงคล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งที่เดินทางท่องไปท่ามกลางทางธารดวงดาว

ก้าวเดินอย่างผ่อนคลายคล้ายผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่เพิ่งเคยเข้ามาในกองโหราศาสตร์ของโลกมนุษย์ จึงต้องทำการบ้านความรู้พื้นฐานสี่ชนิดอย่างแรกมืด มืดกลาง แรกเช้าและกลางวัน

จากนั้นอู๋ซวงเจี้ยงก็เดินก้าวหนึ่งมาหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศระหว่างกลุ่มดาวสองดวงอย่างโต้วและหนิว หันกลับไปมอง เส้นยาวแต่ละเส้นคล้ายวิถีการโคจรของชีวิตคนที่ดำรงอยู่ยาวนานไม่สลายหายไปไหน คือการแสดงออกของมหามรรคาซึ่งเป็นเส้นแห่งผลกรรมงั้นหรือ? อู๋ซวงเจี้ยงรู้สึกแปลกใหม่ จึงปล่อยมันไป รอคอยให้อีกฝ่ายดึงหัวของเส้นสายพวกนี้ไป หวังเพียงว่าจะไม่ใช่ฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ที่ฟ้าร้องดังฝนตกเบาก็แล้วกัน

อู๋ซวงเจี้ยงเอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ชุย ต่างก็พูดว่าปราณท่วมทะยานฟ้า (ชี่ชงโต้วหนิว) ขอถามว่าแสงกระบี่อยู่ที่ใด?”

สำหรับบุคคลของไพศาล คนที่อู๋ซวงเจี้ยงให้ความสนใจอย่างแท้จริงก็มีแค่สองคนเท่านั้น ซูจื่อ ซิ่วหู่

บทวลีของฝ่ายแรก อู๋ซวงเจี้ยงชื่นชมจากใจจริง ดังนั้นปีนั้นตอนที่ยืนอยู่นอกอารามเสวียนตูใหญ่ร่วมกับลู่เฉิน ต่อให้อยู่ต่อหน้าเด็กชายสวมหมวกหัวเสือคนนั้น อู๋ซวงเจี้ยงก็ยังพูดไปตามตรงว่าเขาเลื่อมใสซูจื่อ ส่วนฝ่ายหลัง ไม่ใช่เลื่อมใสในการหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนอะไร ไม่ใช่เรื่องดงามงามสามเรื่องแห่งไพศาลอะไร แต่เป็นการเลือกนั้นของชุยฉาน รวมไปถึงการปูพื้นร้อยปีสำหรับการเลือกนั้นที่ทำได้สำเร็จ ทำให้อู๋ซวงเจี้ยงรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด หากเปลี่ยนมาเป็นตนย่อมไม่มีทางทำได้แน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกฝ่ายก็คู่ควรต่อความเคารพนับถือของตน

น้อยครั้งนักที่อู๋ซวงเจี้ยงจะรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่ตนทำไม่สำเร็จ เขียนวลีไม่องอาจห้าวหาญเหมือนซูจื่อ ใช้เวลาเพียงร้อยปีก็สามารถวางแผนเล่นงานสองใต้หล้า กำอีกฝ่ายเล่นอยู่ในกำมือ ก็เป็นเรื่องที่เขาสู้ชุยฉานไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้นคำเรียกอย่างให้ความเคารพว่าอาจารย์ชุยนี้ จึงไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยไปเพราะความเกรงใจของอู๋ซวงเจี้ยงจริงๆ

ในความเป็นจริงแล้ว อู๋ซวงเจี้ยงไม่จำเป็นต้องพูดจาเกรงใจกับใครอีกแล้ว กับซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูไม่ต้องเกรงใจ กับลู่เฉินแห่งป๋ายอวี้จิงก็เช่นเดียวกัน

เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งที่หวนกลับมายังที่แห่งนี้ มาปรากฏตัวอยู่เบื้องล่างซึ่งห่างไปไกลมาก ต่อให้มีตบะและขอบเขตเฉกเช่นอู๋ซวงเจี้ยง เพ่งมองไปสุดสายตาก็ยังเห็นเป็นแค่เรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงาเท่านั้น เพียงแต่เสียงของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่เบาเลยจริงๆ “เจ้าขอร้องข้าสิ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้เห็นหรอก!”

อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ ซิ่วหู่ตอนเป็นเด็กหนุ่มน่าจะไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้กระมัง? จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งเคยปกปิดสถานะไปชมการโต้วาทีของสามลัทธิอยู่ไกลๆ บัณฑิตหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังซิ่วไฉเฒ่าคนนั้น มองดูแล้วทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายตำรา นิสัยสุขุมมั่นคง และยังมีความสง่างามตามธรรมชาติอยู่อีกหลายส่วน ตอนนั้นอู๋ซวงเจี้ยงก็รู้สึกแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แล้วก็จริงดังคาด หลังจากนั้นมา เพียงไม่นานก็มีการประชันเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวเกิดขึ้น

อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ก็จริงนะ ข้าเป็นแขก คนที่ได้พบก็ยังเป็นซิ่วหู่ครึ่งตัว ควรต้องมีของขวัญพบหน้าสักชิ้น”

เห็นเพียงว่าเจ้าอารามตำหนักสุ้ยฉูผู้นั้นยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ยิ้มเอ่ยสองคำว่า ‘กระบี่ขึ้น’ ข้างกายมีแสงสีขาวหิมะจุดหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะสองคำนั้นปรากฎขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ลากเอาแสงกระบี่ยาวเส้นหนึ่งออกมา สุดท้ายกลายมาเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่หากมองให้ละเอียดจะเห็นว่ามีรอยสึกกร่อนอยู่เล็กน้อย

นอกจากมีรูโหว่บนคมกระบี่ที่เล็กละเอียดจำนวนมากถึงสองร้อยกว่ารูแล้ว นอกจากนี้ลักษณะของกระบี่ยาวก็เหมือนกับเต้าจ้างกระบี่พกของอวี๋โต้วแห่งป๋ายอวี้จิง หนึ่งในสี่กระบี่เซียนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยอีกว่า “กระบี่ลง”

เส้นเส้นหนึ่งทิ้งดิ่งลงสู่เบื้องล่าง

แสงกระบี่ที่เจิดจ้ายิ่งใหญ่นั้นทิ้งดิ่งจากระหว่างดวงดาวหนิวโต้วสองดวง หล่นจากฟ้าลงไปยังโลกมนุษย์

ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นยืนอยู่ที่เดิม ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัด ในชายแขนเสื้อมีแสงกระบี่สิบสองเส้นปรากฏออกมา ถือเป็นของขวัญจากโลกมนุษย์ที่ตอบแทนกลับคืนไปให้แขกบนฟ้าผู้นั้น

แสงกระบี่สิบสองเส้น แต่ละเส้นวาดวงโค้งเล็กน้อย ไม่ได้ประชันความแหลมคมกับกระบี่จำลอง ‘เต้าจ้าง’ เล่มนั้น อย่างมากสุดต่างฝ่ายก็แค่ฟันกันและกันเท่านั้น

แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถหลบพ้นกระบี่นั้นมาได้

แสงกระบี่บนท้องฟ้าเหมือนขุนเขาที่หล่นร่วงลงสู่พื้นดิน ชุยตงซานเบ้ปาก มารดามันเถอะ หลบไม่พ้นจริงๆ เสียด้วย เจ้าคนหน้าเหม็นไร้ยางอายอย่างอู๋ซวงเจี้ยงผู้นี้ ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่แต่ดันควงกระบี่เล่นเสียอย่างนั้น

ยันต์จำแลงกายแผ่นหนึ่งของชุยตงซานแตกสลายคาที่อย่างไม่น่าแปลกใจใดๆ

ท่วงทำนองที่ยังเหลืออยู่ของแสงกระบี่มากไพศาล เพียงแต่ว่าถูกกฎเกณฑ์ประหลาดของฟ้าดินจำกัดเอาไว้ จึงไม่สามารถทิ้งดิ่งเป็นเส้นตรงทะลุฟ้าดินเล็กภาพดวงดาวไปได้จริงๆ แต่ไปผลุบโผล่อยู่ระหว่างดวงดาวใหญ่ๆ ทั้งหลายอย่างฉับพลันต่อเนื่อง ทับซ้อนกันครั้งแล้วครั้งเล่า รวมตัวแล้วพลันจางหายครั้งแล้วครั้งเล่า เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่เป็นระยะ แสงกระบี่เส้นหนึ่งเปล่งแสงสว่างวูบอยู่ระหว่างฟ้าดินไม่หยุดพัก อู๋ซวงเจี้ยงไม่คิดจะชายตามองกระบี่บินทั้งสิบสองเล่มด้วยซ้ำ เพราะหลังจากที่พวกมันเข้าประชิดตัวแล้วก็จะต้องลอยห่างไปนอกกายอู๋ซวงเจี้ยงหลายสิบจั้งเหมือนกันหมดอย่างไม่มีข้อยกเว้น อู๋ซวงเจี้ยงเอื้อมมือออกไปคว้าหนึ่งที กระบี่บินที่เล็กใหญ่ไม่เท่ากันล้วนรวมตัวกันจนมีขนาดเท่าเมล็ดงา ทั้งหมดถูกกุมอยู่ในฝ่ามือ เพียงชั่วพริบตาก็ถูกขยี้จนแหลกสลาย วัตถุที่เป็นภาพมายาพวกนี้ไม่ได้ซุกซ่อนปณิธานที่แท้จริงใดๆ เอาไว้ ไม่มีคุณสมบัติจะถูกเขาลอกเลียนแบบด้วยซ้ำ

อู๋ซวงเจี้ยงสะบัดชายแขนเสื้อ กระบี่จำแลงที่ปณิธานมากมายไร้ที่สิ้นสุดเล่มนั้นก็ผลุบหายเข้าไปในชายแขนเสื้อ

ชุยตงซานมาปรากฏตัวอยู่ตรงกลุ่มดาวเจ็ดดวงของทิศใต้ ดาวดวงที่เจ็ดของทิศใต้ตั้งอยู่ตรงช่วงหางของนกกระจอกแดง เพียงแต่ว่าเวลานี้ชุยตงซานกลายมามีรูปลักษณ์อย่างอู๋ซวงเจี้ยง อีกทั้งยังใช้นิ้ววาดยันต์ เขียน ‘อู๋ซวงเจี้ยงแห่งอารามสุ้ยฉู’ ไว้กลางฝ่ามือ พลิกหมุนฝ่ามือ ตัวอักษรที่ร้อยเรียงกันก็เหมือนหิมะที่ละลายในทันทีทันใด ละลายหายเข้าไปในดาวเจิ่นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า จากนั้นก็มีเจิ่นสุ่ยอิ่น (ชื่อดวงดาวธาตุน้ำ อิ่นคือไส้เดือน) ขนาดใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งปรากฎขึ้นมาแล้วเลื้อยไปช้าๆ บนร่างของไส้เดือนน้ำยังมียักษ์ร่างกำยำสวมชุดดำพกกระบี่อีกคนหนึ่งเผยกายขึ้นมา รวมไปถึงสตรีชุดเหลืองอีกห้าคนที่ยืนอยู่ข้างรถม้าคันหนึ่ง แต่ละคนต่างก็หยิบเอาตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่งในประโยคว่า ‘อู๋ซวงเจี้ยงแห่งอารามสุ้ยฉู’ ออกมา

อู๋ซวงเจี้ยงหลุดหัวเราะพรืด อาจารย์ชุยผู้นี้คิดเล็กคิดน้อยกับผลประโยชน์เท่าหัวแมลงวันจริงๆ ฉกฉวยผลประโยชน์ไปเสียทุกจุด เพราะคิดจะใช้สิ่งนี้มายึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพร เพื่อให้ต้านทานกับคนสามัคคีอย่างนั้นหรือ? สะสมน้อยเป็นมาก แล้วแบ่งปันกับอีกสามคนที่เหลือ สุดท้ายไม่เพียงแต่ไม่มีใครที่ต้องรบตาย ยังสามารถช่วงชิงชัยชนะมาในเวลาใดเวลาหนึ่งได้ด้วย? นับว่าเป็นการดีดลูกคิดคำนวณได้ดี เพียงแต่ว่าจะสมดั่งใจปรารถนาได้หรือไม่ก็ต้องดูที่อารมณ์ของตนแล้ว คิดจะใช้บาดแผลแลกชีวิตกับขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง คนหนุ่มพวกนี้ก็ช่างกล้าคิดกล้าทำกันจริงๆ

สี่สัตว์เทพแห่งฟ้าดิน อยู่สี่ทิศหลัก

สี่ตำหนักเก้าดินแดนยี่สิบแปดดวงดาว ล้อมรอบอยู่สี่ทิศของตะวันจันทราและห้าดาว

มหามรรคาบดขยี้มดตัวน้อย

นอกจากความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ตรงดาวเจิ่นแล้ว ก็มีภาพบรรยากาศประหลาดยิ่งใหญ่ระหว่างฟ้าดินเกิดขึ้นอีก

ฟ้าดินประกบผสานเข้าหากัน ทั้งยี่สิบแปดดวงดาวต่างก็มีแม่ทัพเทพเฝ้าพิทักษ์ ประหนึ่งผู้ที่ชื่นชมภาพดวงดาวภาพหนึ่งซึ่งกางแผ่ไว้บนโต๊ะได้ทำการม้วนแกนภาพเก็บอีกครั้ง

หมายจะใช้สิ่งนี้มาขยี้สังหารตบะส่วนหนึ่งของอู๋ซวงเจี้ยง

อู๋ซวงเจี้ยงเพียงแค่ยื่นนิ้วชี้ไปยังดวงดาวดวงหนึ่งที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ยิ้มถามว่า “บันทึกในตำราทั่วไปล้วนเป็นปี้สุ่ยซวี่ (ชื่อดวงดาว) แต่หากอิงตามคำกล่าวของอาจารย์จางแห่งเรือข้ามฟาก กลับเป็นปี้สุ่ยอวี่ สรุปว่าอันไหนกันแน่ที่เป็นความจริง?”

ชุยตงซานเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งที่ค้ำฟ้ายันดิน ก้มหน้าค้อมเอว ดวงตาทั้งคู่ประหนึ่งตะวันจันทรา บนชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สีขาวหิมะสองข้างมีเผ่าพันธุ์น้ำประเภทเจียวหลงขดตัวอยู่นับไม่ถ้วน ล้วนขดตัวอยู่เหมือนงู กายธรรมของชุยตงซานหลุบตาลงมองอู๋ซวงเจี้ยง น้ำเสียงเหมือนคนพูดคุยเรื่องทั่วไป ทว่าเสียงกลับดังราวฟ้าคำราม ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์กรมสายฟ้าที่รัวกลองเต็มแรง เพียงแต่ว่าเนื้อหาถ้อยความกลับเป็นชุยตงซานมากแล้ว “เจ้าถามบิดา บิดาจะไปถามใครเล่า?”

อู๋ซวงเจี้ยงเงยหน้าขึ้น “หากอาจารย์ชุยยังก่อกวนแบบนี้อีก ข้าคงจะผิดหวังต่อตัวซิ่วหู่อย่างมากแล้ว”

ชุยตงซานเงื้อฝ่ามือตบฉาด

อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พอจะเข้าใจความลี้ลับของภาพดวงดาวนี้ได้คร่าวๆ แล้ว จึงคิดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป หมายจะไปดูภาพค้นภูเขาด้านนอกบ้างแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!