กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 778

ดังนั้นมันถึงได้พยายามหาโอกาสหนีออกมาจากกรงขังในห้องหัวใจนั้นอย่างยากลำบาก สุดท้ายติดตามนักพรตของอารามเสวียนตูใหญ่คนนั้นเดินทางไกลไปเยือนอุตรกุรุทวีปของใต้หล้าไพศาลด้วยกัน หลังจากนั้นก็ได้รับอิสระตามข้อตกลงที่ทำร่วมกัน ตลอดทางก็คอยสับเปลี่ยนสถานที่ไปอย่างต่อเนื่อง กว่าจะหาที่พักพิงให้ตัวเองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็คือคุกแห่งนั้นที่เฒ่าหูหนวกของกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้ดูแล มองดูเหมือนถูกพันธนาการ แต่แท้จริงแล้วสำหรับมันก็คือฟ้าดินที่อิสระเสรีซึ่งล้ำค่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีความกังวลถึงชีวิต แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อเทียบกับการอยู่ไม่สู้ตายอย่างตอนที่ตกอยู่ในน้ำมือของอู๋ซวงเจี้ยงแล้ว อยู่ในคุกแห่งนั้นสามารถด่าเฒ่าหูหนวกได้ ตอนที่อุดอู้เบื่อหน่ายก็ยังเป็นฝ่ายไปขอกระบี่จากสิงกวานให้แทงมาสองสามที ได้พูดคุยกับแม่นางน้อยเหนี่ยนซินสองสามประโยค บางครั้งยังสามารถหาเรื่องสนุกทำกับเซียวสวิ้นได้ด้วย แล้วยังได้ไปหยอกล้อพวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่สภาพอนาถกว่าตนเล่น เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้น่าสังเวชถึงเพียงนั้นอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันยังสามารถอาศัยช่องว่างหรือรูโหว่ในสภาพจิตใจของเผ่าปีศาจไปชื่นชมทัศนียภาพต่างๆ อย่างเต็มอิ่มคล้ายได้ท่องเที่ยว ใช้สายตาของมันมองขุนเขาสายน้ำยิ่งใหญ่งดงามทั่วใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พลิกค้นหาเรื่องน่าสนใจที่มีมากมายนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง

“ไม่ต้องกลัว”

เผยเฉียนจิบเหล้าหมักข้าวเหนียวหนึ่งอึก ลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อยที่อยู่ข้างกาย เอ่ยเสียงเบาว่า “หากกลัวจริงๆ ก็ไม่เป็นไร ดื่มเหล้าให้เมาหลับไปก็ได้แล้ว พอตื่นขึ้นมาก็จะได้พบอาจารย์พ่ออาจารย์แม่แล้ว”

โจวหมี่ลี่ยกมือสองข้างขึ้นลูบใบหน้าอย่างสะเปะสะปะ พยักหน้ารับแรงๆ สองมือประคองยกถ้วยขาวแล้วดื่มรวดเดียวหมด น่าเสียดายที่ถ้วยเหล้าเล็กเกินไป เหล้าหมักกาหนึ่งยังเหลือเยอะอย่างเห็นได้ชัด ต้องเปลืองแรงไม่น้อยกว่าจะดื่มเหล้าหมักข้าวเหนียวกาหนึ่งหมด ช่วยอะไรไม่ได้ก็อย่าเพิ่มความวุ่นวาย นี่คือกุญแจสำคัญอันดับหนึ่งในการออกท่องยุทธภพของโจวหมี่ลี่

เผยเฉียนยื่นกาเหล้าของตัวเองไปให้ หมี่ลี่น้อยจึงดื่มเหล้าถ้วยแล้วถ้วยเล่าต่ออีกครั้ง

เด็กชายผมขาวเหลือบมาเห็นภาพนี้ก็หลุดหัวเราะพรืด เพียงแต่ว่ารอยยิ้มค่อนข้างจะขมขื่น นั่งลงบนโต๊ะม้านั่งยาว กำลังจะเปิดปากพูด เล่าให้พวกนางฟังถึงความร้ายกาจของอู๋ซวงเจี้ยงผู้นั้น

เผยเฉียนกลับส่งสายตามาให้ เด็กชายผมขาวจึงเข้าใจได้ในพริบตา เดิมก็มีความละอายใจอยู่ก่อนแล้ว จึงฝืนนิสัยตัวเองหุบปากไม่พูดอะไร

รอกระทั่งแม่นางน้อยชุดดำส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หลับสนิทหมดสติไป

เด็กชายผมขาวถึงได้ถอนหายใจโล่งอก “หนิงเหยาและเฉินผิงอัน ข้ารู้ถึงความสามารถของพวกเขาดี รู้ว่าพวกเขาร้ายกาจมาก แต่รับมือกับคนผู้นั้นกลับยังไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าข้าพูดจายุแยง แต่เป็นเพราะไม่มีโอกาสจะชนะสักนิดจริงๆ ดังนั้นเมื่อครู่นี้เฉินผิงอันไม่ส่งตัวข้าออกไป อาจารย์พ่อของเจ้าก็ช่างโง่จริงๆ”

มันยื่นมือออกมาคว้าเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่ง แหงนหน้ากระดกดื่มหนึ่งอึก เช็ดปากแล้วทอดถอนใจเฮือกๆ ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าคือ…จิตมารของคนหนุ่มคนเมื่อครู่นี้ ขอบเขตนับว่าพอใช้ได้ ขอบเขตบินทะยานกระมัง เอาเป็นว่าเรื่องพวกนี้ข้าล้วนมองออกก็แล้วกัน แต่จิตมารอย่างข้า มีชีวิตตกอับอย่างมาก ข้าเองก็ไม่ใช่อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊ออะไร ไม่อย่างนั้นข้าก็คงหลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตแปดตัวออกมาได้แล้ว เพราะโชคไม่ดี ชีวิตถึงได้เต็มไปด้วยอุปสรรคไม่ราบรื่น! พวกสหายจิตมารนับพันหมื่นต้องมาขายหน้าเพราะข้าแล้ว เฮ้อ ต้องโทษบรรพจารย์อิ่นกวานที่ตั้งชื่อให้กับภูเขาบ้านตนเช่นนั้น ตั้งชื่อตามแต่ใจเกินไปแล้ว หากเปลี่ยนมาเป็นภูเขาเต๋ออี้ (ภาคภูมิใจ/สมปรารถนา) อะไรนั่น คาดว่าเวลานี้คงเป็นข้าที่ได้รังแกคนผู้นั้นแล้ว”

พูดถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจ ก็มีเพียงดื่มสุราดับทุกข์เท่านั้น

มันไม่เคยกล้าเรียกชื่ออู๋ซวงเจี้ยงออกมาตรงๆ ไม่เพียงแต่กริ่งเกรงถึงข้อพิถีพิถันแห่งขุนเขาสายน้ำบางอย่าง ที่มากกว่านั้นยังเป็นความหวาดเกรงอย่างหนึ่งที่ออกมาจากใจจริง เห็นได้ชัดว่าเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้หวาดกลัวเจ้าตำหนักสุ้ยฉูผู้นั้นอย่างแท้จริง

เผยเฉียนกระจ่างแจ้งในบัดดล ในเมื่อเป็นจิตมารของคนผู้นั้น ก็แสดงว่าคนผู้นั้นมาทวงหนี้ถึงบ้านสินะ?

เกี่ยวกับตำหนักสุ้ยฉู หลังจากที่สงครามครั้งหนึ่งในเกราะทองทวีปปิดฉากลง อวี้เจวี้ยนฟูก็เคยพูดถึง เผยเฉียนเพียงแค่ฟังเป็นเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกเหมือนฟังตำราสวรรค์

เพียงแต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าตำหนักผู้นั้นจะเดินออกมาจากตำรา อีกทั้งยังเป็นปรปักษ์กับอาจารย์พ่อแบบที่ต้องแบ่งเป็นตายกันด้วย

เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นดึงจิตมารออกมาได้แล้ว ตามหลักแล้วนี่ก็คล้ายการสังหารสามอสุภะ สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้วคือเรื่องงดงามที่ต่อให้ขอร้องก็มิอาจได้มาครองไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงต้องดึงดันอยากจะเก็บจิตมารกลับไปด้วย?

เผยเฉียนจ้องเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้เขม็ง

“แม่นางน้อย เจ้ารู้สึกว่าข้าจะต้องเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะให้กับอาจารย์พ่อของเจ้าหรือ? ไร้เดียงสาไปหน่อยหรือไม่? อาจารย์พ่อของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า หลักการเหตุผลและความแน่นอนคือศัตรูคู่อาฆาตคู่หนึ่งที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย ระหว่างสองอย่างนี้จึงกลัวการพยายามใกล้ชิดสนิทสนมของแต่ละฝ่ายมากที่สุด?”

มันยื่นนิ้วชี้มาที่ตัวเอง ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เอ่ยประโยคที่เป็นความจริงสักคำ จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ความสามารถของคนผู้นั้น ในอดีตตอนที่ข้าหนีออกมาจากตำหนักสุ้ยฉู เขามีความสามารถแค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น อีกทั้งล้วนเป็นแค่กิ่งก้านปลายแถว ทักษะประจำตัวของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าไม้ตายก้นกรุ ได้ถูกเขาหล่อหลอมจนหมดสิ้นนานแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เทวบุตรมารนอกโลกนอกจากอยู่ฟ้านอกฟ้าที่จะเป็นดั่งปลาได้น้ำแล้ว พอออกมาจากจิตใจของผู้ฝึกตน มรรคกถาบนร่างย่อมถูกหักลบไปมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ ให้ข้าไปรังแกคนที่ขอบเขตไม่สูงอย่างผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ง่ายมาก หากอีกฝ่ายอาละวาดก่อคลื่นลมมรสุมก็สามารถถูกข้าเล่นงานจนตายได้ง่ายๆ แต่หากจะพูดถึงเซียนเหรินที่จิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งทนทานกลับจะเป็นปัญหาแล้ว ส่วนขอบเขตบินทะยาน? ยกตัวอย่างเช่นเจ้ารู้สึกว่าฮว่อหลงเจินเหรินเปิดห้องหัวใจ เปิดประตูต้อนรับแขก ข้าจะกล้าเข้าไปหรือ? แน่นอนว่าย่อมไม่กล้า ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ของเฉินผิงอันไม่ได้ลากข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง ถือเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดแล้ว”

มีอยู่ประโยคหนึ่งที่มันไม่ได้พูด ปีนั้นตอนที่อยู่ในสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน อันที่จริงมันเคยเจอกับความยากลำบากมาก่อน ต้องถูก ‘เฉินผิงอัน’ บางคนลากมาพูดคุยด้วย เท่ากับว่าต้องทนฟังหลักการเหตุผลอยู่นานหลายปีเต็ม

มันมองแม่นางน้อยชุดดำที่นอนหลับกรนครอกๆ แล้วจึงหันมามองเผยเฉียนอีกที ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาหมดหนึ่งกาแล้วก็หยิบเหล้าที่เหลืออีกแค่กาเดียวบนโต๊ะมา “แต่ก็ต้องขอบคุณแม่นางน้อยอย่างพวกเจ้าสองคน ต่อให้มรสุมครั้งนี้จะเกิดขึ้นมาเพราะข้า เจ้าแค่มีความขุ่นเคืองเล็กน้อยต่อข้าซึ่งเป็นความรู้สึกทั่วไปของคน ไม่ได้มีความเกลียดแค้นอะไร นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก ขนบธรรมเนียมบ้านของเฉินผิงอันดีจริงๆ”

เผยเฉียนสามารถมองทะลุจิตใจคนใด มันที่เป็นเทวบุตรมานอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งก็ทำได้เช่นเดียวกัน

มันถามว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงได้ยินดีติดตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน?”

เผยเฉียนพยักหน้า “เรื่องที่อาจารย์พ่อของข้ารับปากเจ้าไปแล้ว จะต้องทำได้แน่นอน”

มันพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้าอีก “เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว”

ยังมีอีกครึ่งหนึ่ง นั่นคือในสายตาของมัน อิ่นกวานหนุ่มแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เหมือนคนคนหนึ่งมากเกินไป ทำให้มันทั้งกังวลใจ ทั้งวางใจได้ในขณะเดียวกัน

อิ่นกวานหนุ่มเหมือนอู๋ซวงเจี้ยง เหมือนมาก เหมือนเกินไปแล้ว! ในการเลือกของหลายๆ เรื่อง เฉินผิงอันก็คืออู๋ซวงเจี้ยงตอนยังหนุ่มโดยแท้

นอนฟุบตัวบนโต๊ะเลียนแบบหมี่ลี่น้อยผู้นั้น เด็กชายผมขาวยกมือสองข้างขึ้น ห้านิ้วงอเป็นตะขอคล้ายหวีสองด้าม เกาหัวสางผมครั้งแล้วครั้งเล่า พลางพูดพึมพำกับตัวเองว่า “หลบก็หลบไม่พ้น หนีก็หนีไม่รอด จะทำอย่างไรดีนะ”

เผยเฉียนเอ่ย “ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาที่ไม่อาจทำอะไรได้ ก็ได้แต่ต้องรอดูไปเท่านั้น”

“ก็ถูกนะ”

รอยยิ้มของมันค่อยๆ ผลิบาน เงยหน้าขึ้นถามว่า “ตอนที่เดินทางผ่านภูเขาห้อยหัว เจ้าก็ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยเหมือนอาจารย์พ่อของเจ้าในอดีตหรือ?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!