ก่อนหน้านี้อู๋ซวงเจี้ยงเห็นภาพกลุ่มดาวมาหมดแล้ว ไม่ยินดีจะพัวพันอยู่กับชุยตงซานมากเกินไป จึงเรียกกระบี่จำลองสี่เล่มออกมาฟันฝ่าตราผนึกฟ้าดินเล็กชั้นแรกได้อย่างง่ายดาย พอมาถึงค่ายกลค้นภูเขา เผชิญหน้ากับเวทคาถาพันหมื่นที่เป็นดั่งห่าลูกธนูถูกสาดยิงออกมาพร้อมกัน อู๋ซวงเจี้ยงก็คีบยันต์จำแลงร่างเป็นคน ยันต์กลายมาเป็นสตรีสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะ ใช้รองเท้าเฟยอวิ๋นที่ใต้เท้าทั้งสองข้างมีเมฆขาวผุดลอยมาจำแลงเป็นทะเลเมฆ สยบกำราบภูตผีตัวประหลาดในภูเขา เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวางมือกดไว้บนเข็มขัดหวงหลาง หยิบเอาแผ่นหยกออกมาจากในถุง สามารถข่มพิฆาตแม่ทัพเทพค้นภูเขาที่ ‘ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นเทพ’ พวกนั้น สองสถานที่อย่างม่านฟ้าเหนือเมฆกับพื้นดินกลางภูเขาราวกับสองกองทัพที่คุมเชิงกัน ฝ่ายหนึ่งคือภูตผีแม่ทัพเทพที่อยู่ในค่ายกลค้นภูเขา อีกด้านหนึ่งกลับมีแค่สามคน
อู๋ซวงเจี้ยงร่ายวิชาอภินิหารอีกครั้ง ไม่ยินดีจะให้สี่คนที่หลบซ่อนตัวอยู่เอาแต่ดูเรื่องสนุก นอกจากชุยตงซานแล้ว หนิงเหยา เฉินผิงอันและเจียงซ่างเจินล้วนมีบุคคลลี้ลับที่มีรูปโฉมเหมือนคู่รักในใจของพวกเขาแต่ละคนซึ่งสามารถมองเมินตราผนึกฟ้าดินหนาชั้นไปปรากฎตัวอยู่ข้างกายพวกเขา
หนิงเหยามองมือกระบี่ชุดเขียวที่สีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา นางก็หลุดหัวเราะขำ แสร้งทำเป็นเล่นผีหลอกเจ้า เลียนแบบก็ยังเลียนแบบได้ไม่เหมือน
จึงยกกระบี่ฟันหัวของอีกฝ่ายทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ
คาดว่าหากเฉินผิงอันตัวจริงมาเห็นภาพนี้เข้าก็คงจะรู้สึกว่าม้วนภาพ ‘สอนสตรีใต้หล้าให้ประทินโฉม’ ที่ซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้เกินความจำเป็นเลยจริงๆ
คิดไม่ถึงว่ามือกระบี่ชุดเขียวกลับรวมตัวกันขึ้นใหม่อีกครั้ง สีหน้าและน้ำเสียงล้วนเหมือนกับเฉินผิงอันตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน ดูเหมือนเขาจะกำลังพูดคำรักกับสตรีที่รักซึ่งจากลากันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง “แม่นางหนิง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ คิดถึงเจ้ามาก”
หนิงเหยาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ รนหาที่ตายจริงๆ หนึ่งกระบี่ฟันออกไปอีกครั้ง ฟันจนร่างอีกฝ่ายแหลกสลาย จากนั้นขอแค่มือกระบี่ชุดเขียวสร้างร่างขึ้นมาใหม่ หนิงเหยาก็จะปล่อยหนึ่งกระบี่ หลายๆ ครั้งนางถึงขั้นจงใจหยุดชะงักไปชั่วครู่คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา สรุปก็คือยินดีให้โอกาสเขาได้ปรากฏตัว แต่กลับไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรอีก ทุกครั้งที่หนิงเหยาออกกระบี่ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่แสงกระบี่เส้นหนึ่งที่แสงกระบี่พร่าตาในแต่ละครั้งมองดูเหมือนเป็นเพียงเส้นบางๆ ทว่ากลับมีปณิธานกระบี่ที่แหวกผ่ากฎเกณฑ์ของฟ้าดินซุกซ่อนอยู่ เพียงแต่ว่านางควบคุมได้ดีเยี่ยม ทั้งไม่ทำลายนกในกรงให้เสียหาย แล้วก็สามารถทำให้มือกระบี่ชุดเขียวถูกแสงกระบี่ ‘ดูดดึง’ ไปได้ด้วย นี่ก็คล้ายกับการใช้กระบี่ฟันให้เกิดกุยซวีแห่งหนึ่ง สามารถฝืนบังคับมหาสมุทรจากสี่ทิศ หรือแม้กระทั่งน้ำของธารดวงดาวมาไว้ด้านใน สุดท้ายกลายมาเป็นความว่างเปล่านับไม่ถ้วน
พูดง่ายๆ ก็คือ ‘เฉินผิงอัน’ มือกระบี่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เผชิญหน้ากับหนิงเหยาที่เป็นขอบเขตบินทะยานก็ไม่มีความสามารถพอจะต่อสู้ด้วยซ้ำ
มือกระบี่คนนั้นคล้ายตัดสินใจอย่างเด็ดขาด นกในกรงจึงพลันมีนกในกรงจำลองขึ้นมาอีกชั้น หนิงเหยาสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่กักปราณกระบี่ทั่วร่างไว้อีกต่อไป ฟ้าดินจำลองที่เพิ่งจะปรากฏ แม้แต่สายฝนกระบี่มากไพศาลของกระบี่จำลองจันทร์ในบ่อก็เหมือนแก้วที่แตกกระจายเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นในเวลาเดียวกันไปด้วย ระหว่างฟ้าดินเต็มไปด้วยแสงสีสันพร่างพราว เป็นภาพปรากฎการณ์ที่งดงามตระการตา ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งพกกระบี่ยืนอยู่ด้านในนี้ ก้าวเดินเนิบช้า เส้นผมตรงจอนหูพัดปลิวเบาๆ ยิ่งขับให้นางสะคราญโฉม ราวกับว่าบนโลกไม่เหลือสีสันใดๆ อีก
ในสถานที่ไร้อาคมที่สร้างขึ้นเป็นค่ายกลแห่งนั้น เฉินผิงอันที่เดิมทีรอคอยให้อู๋ซวงเจี้ยงมาเป็นแขกอยู่เงียบๆ ลุกขึ้นยืน สอดกระบี่พกเย่โหยวกลับเข้าฝัก ชายแขนเสื้อสองข้างมีกริชเฉาจื่อคู่หนึ่งไถลออกมา ขยับก้าวไปด้านข้างหนึ่งก้าวเข้าหา ‘หนิงเหยา’ ที่ถือกระบี่ แสงกระบี่เส้นหนึ่งหล่นร่วงตรงตำแหน่งเดิม เฉินผิงอันกระทืบเท้าหนึ่งทีก็มาโผล่ด้านหลังภาพมายาของหนิงเหยาในเสี้ยววินาที ฝ่ามือแนบติดท้ายทอยของนาง ท้ายทอยของอีกฝ่ายก็ระเบิดคาที่ทันที วาดกระบี่ไปในแนวขวางทางด้านหลัง เฉินผิงอันพลิ้วกายไปหยุดอยู่ห่างไปหลายสิบจั้ง ขมวดคิ้วน้อยๆ รีบกักเก็บความคิดในใจทันใด ภาพมายาของหญิงสาวร่างกายหยุดอยู่นิ่งไม่ขยับ มีเพียงศีรษะที่หันไปทางด้านหลัง ยิ้มให้เฉินผิงอัน ใบหน้าเต็มไปด้วยแววดูแคลน
เพราะ ‘เจี้ยนเซียน’ ที่ปล่อยแสงสีทองอาบล้นอยู่ในมือของนางเล่มนั้น ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่สภาพประหลาดที่อยู่ควบระหว่างของจริงกับของปลอมเท่านั้น แต่เมื่อความคิดของเฉินผิงอันบังเกิดขึ้นเล็กน้อย เป็นความคิดที่เกี่ยวพันไปถึงเจี้ยนเซียนและชุดคลุมอาคมจินหลี่ กระบี่ยาวที่อยู่ในมือของหญิงสาวตรงหน้า รวมไปถึงชุดคลุมอาคมบนร่างก็พลันเปลี่ยนมาเป็นใกล้เคียงกับความจริงที่อยู่ในใจของเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด นี่หมายความว่าพลังการต่อสู้ของสตรีที่ไม่รู้ว่าจำแลงขึ้นได้อย่างไรผู้นี้เพิ่มพูนขึ้นพรวดพราดตามไปด้วย
เพียงแต่ไม่ทันระวังก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่งวูบผ่านไปในหัวสมองของเฉินผิงอัน สตรีผู้นั้นขยับริมฝีปากน้อยๆ คล้ายกำลังพูดสองคำว่า ‘มานี่’ ฟ้าดินเล็กที่เป็นสถานที่ไร้อาคมกลับถึงขั้นมีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์เก่าแก่โบราณเป็นเสี้ยวๆ ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า ประหนึ่งกระบี่ยาวสี่เล่มที่ก่อตัวขึ้นเป็นของจริง แล้วปณิธานกระบี่ก็สร้างปราณกระบี่เล็กละเอียดที่ตัดสลับกันขึ้นมาอีก คอยช่วยกันปกป้องอยู่บริเวณโดยรอบฟ้าดินของสตรีคนนั้น นางผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “บุคคลอันดับหนึ่งของฟ้าดินแห่งหนึ่ง สมคำเล่าลือจริงๆ”
เฉินผิงอันพลันปวดหัวแปลบ เข้าใจแล้ว วิชาอภินิหารวิชานี้ของอู๋ซวงเจี้ยงช่างอันตรายและอำมหิตอย่างถึงที่สุดจริงๆ
เฉินผิงอันรีบเก็บความคิดวุ่นวายเกี่ยวกับ ‘หนิงเหยา’ ที่อยู่ในใจทั้งหมดลงไป
สตรีผู้นั้นยิ้มเอ่ย “แค่นี้ก็พอแล้วหรือ? กระบี่ที่ฟันพันธนาการของเรือราตรีให้เปิดออกก่อนหน้านี้เป็นตบะขอบเขตบินทะยานอย่างแท้จริง บวกกับกระบี่พกเล่มนี้ ชุดคลุมอาคมบนร่างนี้ ก็คืออาวุธเซียนสองชิ้นแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้า ยิ่งสมจริงมากขึ้นแล้ว อ้อ ลืมไป ข้าไม่ต้องขอบคุณเจ้า เพราะจะดูห่างเหินกันเกินไป”
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือพื้นที่ให้ต่อสู้ ก็แค่ยุ่งยากเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้อู๋ซวงเจี้ยงจะมีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้าแค่ไหน สตรีที่เหมือนคัดลอกออกมาจากภาพวาดตรงหน้าผู้นี้จะเหมือนจริงสักเท่าไร ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่หนิงเหยาตัวจริง ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานตัวจริง ไม่ว่าสตรีจะได้รับการประคับประคองจากความคิดของอู๋ซวงเจี้ยงหรือว่ารากฐานปราณวิญญาณบนร่างของนางส่วนนั้น รวมไปถึงกระบี่เจี้ยนเซียนและชุดคลุมอาคมจินหลี่ ขอแค่เฉินผิงอันควบคุมความคิดเอาไว้ได้ ตัวของนางและของนอกกายทุกอย่างก็จะต้องได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็จะสลายหายไป
สถานที่ไร้อาคมแห่งหนึ่งก็คือสนามรบที่ดีที่สุด อีกทั้งเฉินผิงอันตกมาอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด สามารถเอามาขัดเกลาเรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบได้พอดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!