หลี่ไหวถาม “ทำไมพวกเราถึงต้องใช้เส้นทางภูเขาเส้นนี้ด้วย? ใช้ถนนทางหลวงดีจะตายไป ขี่ม้าก็ไม่ต้องกระเด้งกระดอนขนาดนี้”
อาเหลียงยิ้มกล่าว “มียอดฝีมือเร้นกายมาอยู่ที่นี่ จะพาเจ้าไปเยี่ยมเยือน เจ้าจะได้รู้ว่าพี่อาเหลียงของเจ้าอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วเนื้อหอมแค่ไหน”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างเดือดดาล “อ้อมเส้นทางมาตั้งไกลขนาดนี้เป็นเพื่อนเจ้าก็เพื่อให้เจ้าโอ้อวดว่าตัวเองรู้จักคนเยอะงั้นรึ?!”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “อีกเดี๋ยวพออาศัยใบบุญของข้าได้ดื่มสุราเลิศรส ได้เห็นพี่สาวหน้าตางดงาม ถึงเวลานั้นค่อยขอบคุณข้าก็ยังไม่สาย”
หลี่ไหวกึ่งเชื่อกึ่งกังขา
บนยอดเขาสูงย่อมต้องมีเซียนศักดิ์สิทธิ์ กลางภูเขาลึกย่อมต้องมีภูตมีตัวประหลาด กลางน้ำลึกย่อมต้องมีเจียวมีตะพาบ ทว่าภูเขาลูกนี้มองดูแล้วธรรมดามากเลยนะ
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา จากขี่ม้าขึ้นเขาก็กลายเป็นขี่ม้าลงเขาแล้ว
หลี่ไหวหัวเราะหยันไม่หยุด
อาเหลียงที่แสร้งทำเป็นเยือกเย็นจึงได้แต่ตะโกนเสียงดังในใจ “มีสหายอยู่ด้วย ไว้หน้ากันหน่อยสิ เปิดประตูยกชามาให้ดื่มสักถ้วย ดื่มเสร็จเดี๋ยวก็ไปแล้ว”
เซียนเหรินที่อยู่กลางภูเขาตอบรับฉับไว “ข้าไม่อยู่”
อาเหลียงร้อนใจขึ้นมาครามครัน “ไม่จำเป็น พี่เย่โหวเจ้าจะอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่พี่หญิงหวงเจวี้ยนอยู่ก็พอแล้ว”
คนผู้นั้นคล้ายจะหมดความอดทน “ไสหัวไปที่อื่นเลย!”
อาเหลียงจึงได้แต่ใช้ท่าไม้ตาย “หากเจ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อีกก็อย่าโทษว่าข้าปล่อยหมาไปข่วนประตูบ้านเจ้านะ! คนข้างกายข้าผู้นี้ ลงมือไม่รู้จักหนักเบา ถึงเวลานั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าควบคุมไม่เข้มงวดแล้วกัน”
คนผู้นั้นจึงได้แต่เงียบงัน
อาเหลียงเอ่ยข่มขู่ “ข้าคนนี้รักหน้าตาเป็นที่สุด ท่องอยู่ในยุทธภพ แต่ไหนแต่ไรมาใครเคารพข้า ข้าก็เคารพคนผู้นั้น วันนี้หากเจ้าไม่ไว้หน้าข้า คราวหน้ารอให้ข้าไปถึงอำเภอพ่านสุ่ยท่าเรือเวิ่นจิน ก็อย่ามาโทษว่าข้าช่วยสร้างชื่อเสียงให้เจ้าล่ะ”
ในพื้นที่ลับตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีตราผนึกหนาชั้น ขุนเขาสายน้ำอิงแอบกัน มีลำธารหลงจิ่งสายน้ำไหลริกๆ เลื้อยลดคดเคี้ยวลงสู่ทะเลสาบสีเขียวมรกตใสแจ๋วราวกระจก ประหนึ่งมังกรเลื้อยลงน้ำ
ห่างไปไม่ไกลคือยอดเขาลี่จิ้งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ บนยอดเขาราวถูกมีดปาดจนราบเรียบ หน้าผาอยู่สองข้างฝั่ง สันเขาเป็นเส้นยาวบางๆ มีทางเส้นเล็กอยู่แค่เส้นเดียว ตรงจุดที่กว้างที่สุดของยอดเขาถึงจะพอสร้างเรือนเล็กหลังหนึ่งขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่แสงตะวันแสงจันทร์ส่องทะลุผ่านยอดเขา เส้นแสงสีทองก็จะเหมือนกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่แทงเข้ามายังน้ำในทะเลสาบ
ใต้หล้าไพศาลมีห้าทะเลสาบใหญ่ และสุ่ยจวินของห้าทะเลสาบ ระดับขั้นก็ทัดเทียมกับพวกเทพภูเขาของภูเขาใหญ่อย่างภูเขาสุ้ยซาน ภูเขาจิ่วอี๋ ภูเขาจวีซวี ภูเขาแยนจือ รวมไปถึงเทพวารีของลำน้ำใหญ่ทั้งหลาย
สถานที่แห่งนี้ก็คือที่ตั้งของจวนวารีลึกลับของหลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ (จันทร์สกาว)
ไม่เหมือนกับเทพใหญ่ของขุนเขาทั้งหลาย สุ่ยจวินของทะเลสาบเจี่ยวเยว่นี้มีการเปลี่ยนสถานะไปมาหลายครั้ง อีกทั้งเมื่อเทียบกับอีกสี่ทะเลสาบที่เหลือ ศาลสุ่ยจวินของทะเลสาบเจี่ยวเยว่ก็มีควันธูปน้อยที่สุด ดังนั้นสุ่ยจวินของทะเลสาบเซิ่นเจ๋อจึงคิดอยากจะมาแทนที่อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าไม่เคยทำสำเร็จได้สักที
บุรุษผู้หนึ่งที่บุคลิกองอาจสง่างามนอนเอนกายอยู่ในระเบียงไผ่เขียวของศาลาริมน้ำ ชุดสีขาวแขนเสื้อกว้างใหญ่ บนใบหน้าสวมหน้ากากปิดทับ เอนตัวพิงหมอนกระเบื้องสีขาวหิมะใบหนึ่ง ในมือถือพัดใบลานเก่าแก่ที่สีออกเหลืองพัดเอาลมเย็นโบกเข้าตัวเบาๆ
หมอนกระเบื้องขาวก็คือสมบัติล้ำค่าตระกูลเซียน ชื่อว่าหมอนเซียนพเนจร หนุนหมอนนอนหลับ ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรล้วนมารวมกันอยู่ในความฝัน
ด้านหน้าบุรุษวางพิณโบราณไว้คันหนึ่ง กับตำราโบราณที่วางทับซ้อนกันอีกกองหนึ่ง
ซ้ายพิณขวาตำรา
ตรงช่วงกลางของพิณแกะสลักตัวอักษรเอาไว้เยอะมาก บวกกับลายตราประทับเล็กเจินหง ตราประทับอักษรจิ่วเตี๋ย มากมายแน่นขนัด เห็นได้ชัดว่าของชิ้นนี้มีการสืบทอดต่อกันมาอย่างเป็นระบบระเบียบยิ่ง
เหนือสระมังกรสลักคำว่าชุดอวี้หลุน ด้านข้างเป็นอักษรลี่ซูเขียนเป็นคำว่าลวี่ฉี่ไถ นอกจากนี้ยังมีอักษรเป็นคำว่า ‘สะท้านขื่อพันปี’ ‘เอกอุแห่งใต้หล้า’ ‘แสงเรื่อเรืองสนเขียวขจี เสี้ยวแสงจันทร์ประตูทอง’ ‘ไม่รู้ว่าน้ำมาจากไหน คลื่นระลึกโถมถั่งไวดุจสายฟ้า’ …
ภูเขาสูงไร้เซียนย่อมมีภูตตัวประหลาด บ่อลึกไร้เจียวย่อมมีเซียนน้ำ
ชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแรงกำยำคนหนึ่งกำลังเดินอยู่บนผิวทะเลสาบเหมือนเดินอยู่บนพื้นที่ราบ ฝึกกระบวนท่าเดินฝึกวิชาหมัดไปอย่างเชื่องช้า
ใจกลางทะเลสาบสร้างเวทีกลางน้ำไว้หลังหนึ่ง
สตรีสวมอาภรณ์สีสันสดใสคนหนึ่งกำลังร่ายรำอยู่บนเวที เรือนร่างชดช้อยอรชร
ตรงระเบียงใต้ชายคาวางโครงไม้โบราณแขวนระฆังเปียนจง (เครื่องดนตรีสำหรับตีอย่างหนึ่งสมัยโบราณ) ทองสัมฤทธิ์เก้าชิ้นไว้หนึ่งแถว มีเด็กหญิงสวมชุดสีเขียวและเด็กชายสวมชุดสีแดงเข้มเคาะตีไปตามจังหวะ เสียงนั้นไพเราะดุจเสียงจากสวรรค์
ศาลาริมน้ำที่อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘คลังตำรา’
กลอนคู่เป็นคำว่า บนชั้นวางไม้จิ้มฟันสามหมื่นแกน หีบเก็บแผ่นไม้ไผ่สองพันชิ้น
บนเส้นทางภูเขา หลี่ไหวจำต้องเปิดปากพูดเตือนว่า “อาเหลียง หากยังปล่อยให้กีบเท้าม้าดังกุบกับๆ แบบนี้ต่อไปก็จะเดินไปถึงตีนเขาแล้วนะ ทำไม สหายเซียนซือบนภูเขางีบหลับอยู่หรือ หรือว่าบังเอิญออกจากบ้านเดินทางไกลไปพอดี?”
อาเหลียงจับประคองงอบ เพียงยิ้มรับไม่เอ่ยคำใด
ยื่นมือไปกดด้ามดาบไม้ไผ่ที่เหน็บไว้ตรงเอว
มารดามันเถอะ เจ้าหลี่เย่โหวผู้นี้ไม่ดื่มสุราคารวะ แต่ดันจะดื่มสุราลงทัณฑ์ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในกาลก่อนนะ
บนเส้นทางเบื้องหน้ามีริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอกเหมือนลายน้ำที่แผ่ออกมา ราวกับว่าบนเส้นทางมีกระจกที่มองไม่เห็นบานหนึ่งมาตั้งขวางไว้ อาเหลียงหัวเราะร่าเสียงดัง หนีบท้องม้าควบทะยานไปเบื้องหน้าอย่างว่องไว หนึ่งคนหนึ่งม้าพุ่งนำเข้าไปยังพื้นที่ลับจวนเซียนก่อน
หลี่ไหวกับนักพรตเนิ่นขี่ม้าตามไป เพียงชั่วพริบตานั้นหลี่ไหวก็ค้นพบว่าตัวเองมาอยู่บนเส้นทางริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ห่างจากศาลาริมน้ำแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ต่างคนต่างเก็บยันต์ม้าเดินลงไป หลี่ไหวสำรวมตนอยู่บ้าง เดินอยู่ข้างกายอาเหลียงที่ก้าวยาวๆ ไปเบื้องหน้า ส่วนนักพรตเนิ่นนั้นรีบกวาดตามองไปรอบด้าน ดูว่าจะมีโอกาสได้ฉกฉวยผลประโยชน์ แล้วได้ถือโอกาสสาดน้ำสกปรกใส่อาเหลียงหรือไม่
ทรัพย์สินได้มาอย่างไร? ไม่มีทางหล่นลงมาจากฟ้าแน่นอน ล้วนต้องขุดหามาอย่างยากลำบากทั้งสิ้น
ก่อนจะเดินเข้าไปในระเบียงของศาลาริมน้ำ อาเหลียงก็นั่งแปะลงบนขั้นบันได เพิ่งจะถอดรองเท้าก็ขมวดคิ้วมุ่น รีบสวมรองเท้ากลับเข้าไปใหม่
หลี่ไหวไม่รู้ว่านี่เป็นข้อพิถีพิถันอะไร จึงได้แต่ทำตาม ถอดรองเท้าแล้วก็สวมกลับคืนเหมือนเดิมเช่นเดียวกัน
อาเหลียงปลดงอบลง เอามาหนีบไว้ใต้รักแร้ ยืนเอนตัวพิงเสา ปลายเท้าข้างหนึ่งแตะพื้น มองไปยังสตรีเรือนกายอรชรที่อยู่บนเวทีกลางทะเลสาบ สายตาแฝงความขุ่นเคือง พึมพำกับตัวเองว่า “ทุกครั้งที่ลมพัดโชยสู่ลานต้นไม้ แสงจันทร์ส่องทะลุหน้าต่าง เห็นภาพแล้วคิดถึงคน วิญญาณในฝันสั่นคลอน”
เขาพลันยิ้มบางๆ แล้วเริ่มนับ “สาม สอง หนึ่ง!”
หลี่ไหวมึนงงไม่เข้าใจ
ตอนที่อาเหลียงนับถึงหนึ่ง บนเวทีกลางทะเลสาบ สตรีสวมชุดสีสันสดใสคนนั้นพลันหยุดชะงัก มองมาทางศาลาริมน้ำ “โจรสุนัขตายซะเถอะ!”
อาเหลียงหัวเราะ “หลี่ไหว เป็นอย่างไร?”
หลี่ไหวถาม “อะไรเป็นอย่างไร?”
อาเหลียงจุ๊ปากพูด “จากลากันสั้นๆ หวานชื่นยิ่งกว่าตอนแต่งงานใหม่ ตีเพราะสนิทสนม ด่าก็เพราะรักอย่างไรล่ะ เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
ชุดสีสันสดใสพลิ้วกายมาถึง ในมือมีกระบี่ยาวโผล่เพิ่มมาเล่มหนึ่ง ปลายกระบี่ชี้ตรงมาที่ศีรษะของเจ้าหมอนั่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!