อาเหลียงยกกาเหล้าขึ้นสูดดมกลิ่น ถามว่า”ทางฝั่งของใบถงทวีปล่ะ?”
หลี่เย่โหวเอ่ย “เหวยอิ๋งเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักกุยหยก อู๋ซูอริยะบู๊ มีแค่สองคนนี้ อู๋ซูกับลูกหลานสกุลเฉินผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปมาที่ท่าเรือเวิ่นจินด้วยกัน”
อาเหลียงขมวดคิ้ว
หวงเจวี้ยนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ครั้งนี้หลิ่วชีก็มาด้วย!”
อาเหลียงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้ารู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักข้านี่นา”
หลิ่วชีผู้นั้นอายุมากไปสักหน่อย แล้วยังไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว อยู่ที่พื้นที่มงคลซืออวี๋แล้วก็ไม่ไปไหนอีก
นางเอ่ยอย่างมีโทสะ “ถ้าอย่างนั้นตอนแรกเจ้ามีหน้าบอกว่าตัวเองเป็นสหายรักของหลิ่วชีได้อย่างไร?!”
อาเหลียงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ตอนนั้นสุรารสชาติกลมกล่อมสาวงามท่ามกลางค่ำคืนแสงจันทร์ คน สุรา แสงจันทร์ สามสิ่งนี้ทำให้ข้าเมามาย ข้าหรือจะต้านทานได้ไหว ดื่มจนเมาก็เลยพูดจาเลื่อนเปื้อน เอาจริงเอาจังไม่ได้หรอกนะ”
นางหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้ารอคอยการประชุมครั้งนี้อย่างยิ่ง หลังจากที่เจ้าได้พบหลิ่วชีกับซูจื่อแล้ว อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีหน้าเป็นฝ่ายไปทักทายผู้อาวุโสทั้งสองท่านหรือไม่!”
หวงเจวี้ยนขุนนางน้ำแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ชื่นชมเลื่อมใสหลิ่วชีเป็นที่สุด
ดังนั้นปีนั้นที่อาเหลียงผู้นี้มาเยี่ยมเยือนจวนน้ำในพื้นที่ลับเป็นครั้งแรก ชายฉกรรจ์พูดจาน่าเชื่อถือว่าตัวเองเป็นสหายรักกับหลิ่วชี นางจึงหลงเชื่อ
นางหรือจะจินตนาการได้ว่า เซียนซือบนภูเขาท่านหนึ่งที่มาเป็นแขกถึงบ้าน แล้วยังได้ดื่มเหล้ากับนายท่านจะหน้าหนาไร้ยางอายถึงเพียงนี้? อีกทั้งยังได้ยินมาว่าคนผู้นี้เป็นทายาทของอริยะท่านหนึ่ง เป็นบัณฑิตที่เป็นบัณฑิตไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วในใต้หล้า!
อาเหลียงรีบหาวิธีทำความดีชดใช้ความผิด พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่หญิงหวงเจวี้ยน อย่าโกรธเลยนะ ข้ารู้จักเด็กรุ่นหลังอายุน้อยคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอ หน้าตาหรือความสามารถก็ล้วนไม่เป็นรองหลิ่วชีเลยแม้แต่น้อย มีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘มองไกลๆ คล้ายอาเหลียง’!”
หลี่ไหวยกเท้าถีบอาเหลียงหนึ่งที
อาเหลียงเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไม น้องเขยตัวน้อย หรือเจ้าจะให้ข้าแนะนำเจ้าต่อพี่หญิงหวงเจวี้ยนแทนล่ะ?”
นางทำสีหน้าเหลอหรา ไม่รู้ว่าคนที่อาเหลียงพูดถึงเป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่
หลี่เย่โหวยิ้มอธิบายว่า “หากเดาไม่ผิด คนหนุ่มผู้นั้นก็คืออิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
นางรีบเก็บเสียงวางสีหน้าเคร่งขรึมทันที
คร้านจะถือสาอาเหลียงที่ปากสุนัขไม่งอกงาช้างแล้ว
ป๋ายเหย่พกกระบี่เดินทางไกลไปเยือนฝูเหยาทวีปเป็นบทเริ่มต้น เจิ้งจวีจงแห่งนครจักพรรดิขาวเดินทางไปยังฝูเหยาทวีป ปิดฉากสถานการณ์บนกระดานหมากของหนึ่งทวีปเพียงลำพัง เฉินฉุนอันผู้รอบรู้แห่งทักษินาตยทวีปขัดขวางหลิวชา สถานการณ์การสู้รบในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงสนามรบที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น การเข่นฆ่าอันดุเดือดรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนานหลายปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของไพศาลในทุกวันนี้ แทบทุกคนล้วนทำการทบทวนกระดานหมากและผ่านการอนุมานมาก่อน ไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะมาจากจุดที่ไหน สุดท้ายแล้วล้วนหนีไม่พ้นกำแพงเมืองปราณกระบี่และแจกันสมบัติทวีป เกี่ยวกับเหล่าผู้กล้าทั้งหลายที่โดดเด่นขึ้นมาบนโลก แต่ละคนก็มีความคิดเห็นต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นหวงเจวี้ยนที่นับถือคนหนุ่มต่างถิ่นผู้หนึ่งอย่างมาก ไม่เพียงแต่หยัดยืนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างมั่นคง ยังรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน ไม่เพียงถ่วงระยะเวลากองทัพใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้นานหลายปี ประเด็นสำคัญคือยิ่งรบนานเท่าไร คนที่รอดชีวิตกลับมีมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายช่วยให้นครบินทะยานรักษาเมล็ดพันธ์บนวิถีกระบี่ไว้ได้มากกว่าเดิม
เพียงแค่พูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้นางอดรู้สึกนับถืออิ่นกวานหนุ่มที่ไม่เคยพบหน้าผู้นั้นมากขึ้นอีกหลายส่วนไม่ได้
เพราะว่าใต้หล้าไพศาลมีคนเพิ่มมาหนึ่งถึงสองหมื่นคน กับนครบินทะยานที่อยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้ามีคนเพิ่มมาหนึ่งถึงสองหมื่นคน คือความหมายสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นั้นถามอย่างใคร่รู้ “ปีนั้นที่คัดเลือกคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้า เวลานั้นอิ่นกวานหนุ่มก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาแล้วหรือ?”
“ช่วยไม่ได้ ข้าเคยชี้แนะวิชาหมัดให้เจ้าเด็กนั่นมาก่อน อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงย่อมมีลูกศิษย์มากฝีมือ”
อาเหลียงประกบสองนิ้วชี้ไปที่ตาสองข้างของตัวเอง “นี่เรียกว่าดวงตาเฉียบคมเหมือนคบเพลิง!”
หลี่ไหวกระแอมหนึ่งที
อาเหลียงรีบเก็บความคิด ถามว่า “เฉินผิงอันยังมาไม่ถึงหรือ?”
หลี่เย่โหวส่ายหน้า “ตามคำกล่าวของทางศาลบุ๋น ระหว่างทางที่เฉินผิงอันเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปได้ผลัดหลงเข้าไปในเรือราตรี หนิงเหยาพกกระบี่บินทะยานมายังใต้หล้าไพศาล อาศัยการชักนำระหว่างกระบี่เซียนถึงได้ตามหาเรือข้ามฟากลำนั้นเจอ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวของนางกับเฉินผิงอันส่งมาอีก”
อาเหลียงยกนิ้วโป้งมาปาดเช็ดมุมปาก หุบรอยยิ้ม สายตามืดลึก “แบบนี้น่าจะยุ่งยากเล็กน้อยแล้ว ง่ายที่จะพลาดงานประชุมไปนะ”
หลี่ไหวรู้สึกเป็นกังวล คงไม่ใช่ว่าอุตส่าห์เร่งเดินทางอย่างยากลำบากมา ผลกลับกลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วก็ยังไม่ได้พบหน้าเฉินผิงอันสักครั้งหรอกกระมัง?
หลี่ไหวเอ่ยเสียงเบา “อาเหลียง ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ?”
อาเหลียงส่ายหน้า “หาเจอยากเกินไป ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่มีอะไร”
เรือข้ามฟากลำนั้นเชี่ยวชาญด้านการอำพรางร่องรอย ยากจะหาได้พบ
อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเคยขึ้นเรือราตรีสองครั้ง คำวิจารณ์ที่เขามีต่อเรือข้ามฟากลำนี้มีทั้งดีและไม่ดี อาจารย์ผู้เฒ่ายังยกตัวอย่างแบบเห็นภาพอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับใต้หล้าไพศาลแล้ว เรือข้ามฟากล่องลอยไม่หยุดนิ่งอยู่บนทะเลก็คล้ายในบ้านหลังหนึ่งของคนธรรมดามียุงอยู่ตัวหนึ่ง ขอแค่มันไม่เป็นฝ่ายส่งเสียงหวึ่งๆๆ ด้วยตัวเอง ก็ยากที่จะตามหาได้พบ
มีคนถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า หรือว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งก็ยังไม่อาจหาร่องรอยของเรือข้ามฟากลำนั้นได้พบ?
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะดังลั่น เอ่ยประโยคหนึ่งว่า เดิมทีข้าก็พูดถึงว่าพวกเขาสองคนมองเรือข้ามฟากลำนั้นอย่างไรอยู่แล้ว ส่วนคนธรรมดานั้นต้องอาศัยโชคถึงจะได้ขึ้นเรือ และต้องอาศัยความรู้ถึงจะลงจากเรือมาได้
มีคนโชคดีได้ขึ้นเรือทั้งยังได้ลงจากเรือ หลังจบเรื่องก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า พอถึงเวลาที่ต้องใช้ความรู้จริงๆ ก็ได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองความรู้น้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นหากรู้ตั้งแต่แรกว่ามีเรือเช่นนี้อยู่ ข้าผู้อาวุโสก็คงจะอ่านตำราของเมธีร้อยสำนักจนปรุไปหมดแล้ว
บนเรือข้ามฟากพิถีพิถันในเรื่องการแลกเปลี่ยนโชควาสนา ของทุกชิ้นล้วนเป็นสะพานหนึ่งแห่ง เป็นท่าเรือหนึ่งแห่ง เอกสารผ่านด่านก็คือความรู้ของแขกที่ผ่านทางมา เทียบเท่ากับว่าในมือกำเงินค่าเดินทางไว้ก้อนหนึ่ง ดังนั้นถึงได้บอกว่าเรือราตรีลำนี้ก็คล้ายการแสดงออกของมหามรรคาแห่งความรู้ในใต้หล้า และสถานที่ที่ความรู้มีค่ามากที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือบนเรือข้ามฟากลำนี้นี่เอง
หวงเจวี้ยนยิ้มพลางพูดเจื้อยแจ้วถึงสตรีแต่ละคน “ฮูหยินภูเขาชิงเสิน เซียนเหรินชงเชี่ยน เทพีบุปผาเจ้าแห่งชะตาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาท่านหนึ่ง…”
อาเหลียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หากหัวใจสองดวงมีรักให้กันตลอดเวลา ไหนเลยจะต้องอยู่ร่วมเรียงเคียงข้างกันทุกวัน
หลี่ไหวเอ่ยอย่างตกตะลึง “อาเหลียง เจ้าจีบสตรีมากมายขนาดนี้เชียวหรือ? เจ้าคิดว่าจับปลาหรือไง ถึงต้องหว่านแหออกไปน่ะ”
อาเหลียงยกสองมือขึ้นปาดจากล่างขึ้นบน ลูบเส้นผมหร็อมแหร็มของตัวเอง “ใครจีบใครยังไม่แน่เลยนะ”
หลี่เย่โหวยิ้มกล่าว “นอกจากท่าเรือทางฝั่งตะวันออกที่คนค่อนข้างน้อย อีกสามสถานที่อย่างอำเภอพ่านสุ่ย เกาะยวนยาง ภูเขาอ๋าวโถว อีกเดี๋ยวก็จะต้องมีงานชุมนุมสามครั้งถูกจัดขึ้น คนสามคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีก็ได้แก่สกุลหลิวธวัลทวีป อวี้พ่านสุ่ย เทพีบุปผาแห่งพื้นที่มงคลร้อยบุปผา อวี้พ่านสุ่ยหลักๆ แล้วดึงเอาฮูหยินภูเขาชิงเสินมาด้วย และยังมีหลิ่วชี เฉาจู่ที่เดินทางมาร่วมกับฮูหยินท่านนั้น ดังนั้นพลังอำนาจนี้จึงไม่น้อยเลยจริงๆ”
หลี่เย่โหวพูดถึงทิศทางการแจกบัตรเชิญของทั้งสามฝ่ายคร่าวๆ หลิวจวี้เป่าจะจัดงานชุมนุมบนเกาะยวนยาง เชื้อเชิญกลุ่มคนของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง และยังมีฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป เซียนกระบี่ป๋ายฉาง ฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าหยวน ราชครูหยางชิงข่ง หลิวทุ่ยแห่งฝูเหยาทวีป ชงเชี่ยน ฉินจ่าวแห่งหลิวเสียทวีป
เนื่องจากสาเหตุเพราะฮูหยินภูเขาชิงเสิน อวี้พ่านสุ่ยจึงจะเชื้อเชิญฝูลู่อวี๋เสวียน ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแห่งจวนเทียนซือกลุ่มใหญ่ที่มีจ้าวเทียนไล่เทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นผู้นำ และยังมีจิ้งจอกฟ้าหนึ่งตัว รวมไปถึงฮ่วนซาฮูหยินที่ใช้นามแฝงว่าจิ่วเหนียง ยังมีเผยเปย เฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนและสกุลเจียงอวิ๋นหลินแห่งแจกันสมบัติทวีป
งานชุมนุมที่พื้นที่มงคลร้อยบุปผาเป็นเจ้าภาพ นอกจากชิงจงฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่แล้ว ยังเชิญซูจื่อ เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว ไหวอิน เหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยก อู๋ซูอริยะบู๊แห่งใบถงทวีป
แน่นอนว่าในงานเลี้ยงย่อมไม่ขาดสุราดี เพียงแต่เชื่อว่าทุกคนที่ไปร่วมงานต้องไม่มีทางไปเพียงแค่เพื่อเหล้าหมักตระกูลเซียนอย่างแน่นอน ต่อให้บนโต๊ะเหล้าจะต้องมีเหล้าภูเขาชิงเสิน เหล้าหมักร้อยบุปผา เหล้าหานซูก็ตาม
แต่ว่าเจ้าคนบางคนที่ถูกอาเหลียงเรียกขานอย่างให้เกียรติว่า ‘สุนัขรับใช้ใหญ่เหยียน’ คาดว่าน่าจะเป็นข้อยกเว้น
“มีงานเลี้ยงสุราเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?! เพียงแค่เพื่อต้อนรับข้าน่ะนะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!