กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 785

สรุปบท บทที่ 785.1 การประชุม: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปตอน บทที่ 785.1 การประชุม – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

ตอน บทที่ 785.1 การประชุม ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้าไปบ่นเจ้าโง่สองคนนั้น “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบมาพบศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าอีก!”

ซิ่วไฉเฒ่ายังคงจับแขนของลูกศิษย์คนสุดท้ายเอาไว้ ตัดใจปล่อยมือไม่ลง

จั่วโย่วกับหลิวสือลิ่วเดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์

หลิวสือลิ่วยิ้มบางๆ พลางผงกศีรษะให้ศิษย์น้องเล็ก ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันเสียที

เฉินผิงอันรีบประสานมือคารวะทันใด “คารวะศิษย์พี่จวินเชี่ยน”

ศิษย์พี่ที่เพิ่งจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก ตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้ช่วยหาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาให้ก้อนใหญ่

จั่วโย่วตีหน้าเคร่งพูดว่า “ความสามารถไม่น้อยเลยนี่”

เฉินผิงอันยืดตัวขึ้นแล้วก็เหลือบมองอาจารย์

ซิ่วไฉเฒ่ากระโดดตบป้าบเข้าที่หัวของจั่วโย่ว “เจ้าเป็นศิษย์พี่ พูดจาแบบนี้กับศิษย์น้องเล็กได้อย่างไร รู้จักพูดจาเหน็บแนมเสียแล้ว ใครเป็นคนสอนเจ้ากัน หา?!”

จั่วโย่วไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ลังเลอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยว่า “ครึ่งหนึ่งเป็นคำพูดจากใจจริง”

ซิ่วไฉเฒ่าสังเกตเห็นว่าดูคล้ายลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนจะยังน้อยเนื้อต่ำใจ จึงรีบหันไปโวยวายใส่จั่วโย่วทันที “อีกครึ่งหนึ่งล่ะ ถูกเจ้ากินไปแล้วหรือ แน่จริงก็คายออกมาสิ! พูดมาสิ อาจารย์จะต้องทวงความยุติธรรมให้แน่ จะไม่ลำเอียงเข้าข้างใครเด็ดขาด…”

จั่วโย่วจึงได้แต่ฝืนใจพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นความจริงทั้งหมด”

หลิวสือลิ่วยึดมั่นในหลักการข้อหนึ่ง มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า

จั่วโย่วและเฉินผิงอันศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนนี้ หากตีกันจริงๆ ตนค่อยเกลี้ยกล่อมก็ยังไม่สาย

ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าอันที่จริงสายของเหวินเซิ่ง ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย คนที่นิสัยดีที่สุด คือจั่วโย่ว

ดังนั้นคนที่โดนตีโดนด่ามากที่สุด จึงเป็นจั่วโย่วมาโดยตลอด

แน่นอนว่ายามที่ไม่อยู่กับอาจารย์ จั่วโย่วไม่มีทางโดนตีไม่เอาคืน โดนด่าไม่โต้กลับก็เท่านั้น

อยู่ในสำนักเดียวกัน ยังพอจะมีข้อดีอยู่บ้างเล็กน้อย ขอแค่มาจากสายเหวินเซิ่ง จั่วโย่วที่หลังจากฝึกกระบี่ก็คือจั่วโย่วอีกคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง ไม่เคยเสียเปรียบมาก่อน

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดในสำนักของฝูลู่อวี๋เสวียน ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อในจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหานเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาว ต่างก็มีตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่โชคไม่ดีกันทั้งสิ้น

เฉินผิงอันประสานมือคารวะ “คารวะศิษย์พี่จั่ว”

จั่วโย่วขมวดคิ้วน้อยๆ เพียงแต่เห็นแก่หน้าของอาจารย์ จึงไม่ถือสาเฉินผิงอัน

อาจารย์และลูกศิษย์ คนทั้งสี่นั่งลง

เฉินผิงอันมองสถานการณ์หมากบนกระดาน “อาจารย์ต้องชี้แนะศิษย์พี่ทั้งสองมาก่อนแน่นอน”

ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะปากกว้างจนหุบไม่ลง ดูสินี่ อะไรที่เรียกว่าเห็นเพียงเล็กน้อยก็อนุมานไปได้กว้างไกล อะไรคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ ก็คือแบบนี้นั่นเอง!

จั่วโย่วไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน

อยู่ดีๆ หลิวสือลิ่วก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าต้นกำเนิดขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วมาจากที่ใด

ประหลาดยิ่งนัก หากว่ากันตามจริงอาจารย์ก็ไม่ค่อยได้ถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์น้องเล็กกับตัวเองสักเท่าไร ช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายได้อยู่ร่วมกันนั้นสั้นมาก เหตุใดศิษย์น้องเล็กถึงเป็นครามที่เกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าต้นครามได้นะ?

เวลานี้ดูเหมือนว่าในสายตาของซิ่วไฉเฒ่าจะมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น “อาจารย์อยู่ที่นี่ได้แต่คาดเดาอย่างร้อนรนไปวันๆ ปลีกตัวไปไม่ได้ ไม่อาจไปหาเจ้าได้จริงๆ”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะอีกครั้ง

ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน ตบแขนของเฉินผิงอันเบาๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิมแล้ว นั่งลงคุยกัน เร็วเข้า”

หลิวสือลิ่วเหลือบมองจั่วโย่ว สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยจริงดังคาด

หลิวสือลิ่วขยับเส้นสายตามองไปทางคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ เห็นอีกฝ่ายนั่งอกตั้งหลังตรงอย่างสำรวม สองมือกำเป็นหมัดแน่น วางหมัดไว้บนหัวเข่า

ดวงตาคู่นั้นที่ทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้งใสกระจ่างเจิดจ้า คล้ายกับน้ำในลำธารบนภูเขาลั่วพั่วที่ไหลริน ไม่มีที่ใดที่จะไปไม่ถึง

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “จั่วโย่ว จวินเชี่ยน ไหนลองเล่าเรื่องของพวกเจ้าสิ อย่ารอให้ศิษย์น้องเล็กต้องถามพวกเจ้า”

หลิวสือลิ่วเล่าสภาพการณ์ที่พบเจอหลังหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลให้ฟังคร่าวๆ บอกว่าเขาไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ถามหมัดต่อฟ้า หลังจากนั้นก็ลงใต้ไปยังนครมังกรเฒ่า แล้วจึงไปใบถงทวีป รับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งจากพื้นที่มงคล สุดท้ายจึงไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบหนึ่ง ไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้เจอกับศิษย์พี่จั่วโย่วพอดี เลยมาที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางด้วยกัน

เวลาประมาณครึ่งก้านธูป เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟัง ระหว่างนั้นก็ถามสองเรื่องอย่างละเอียด หอสยบปีศาจของใบถงทวีป รวมไปถึงลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของศิษย์พี่จวินเชี่ยน

พอมาถึงจั่วโย่ว เขากลับไม่พูดอะไรมาก เอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า “หลังออกไปจากใต้หล้าไพศาล ก็ไปเข่นฆ่ากับคนอื่นอยู่ที่ฟ้านอกฟ้า แต่ก็ยังไม่ตาย”

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ทุกวันนี้เซียวสวิ้นอยู่ที่ไหน?”

จั่วโย่วกล่าว “ถูกฟันไปยังใต้หล้ามืดสลัวแล้ว”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

เซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นคือขอบเขตสิบสี่ แล้วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่

ต่อให้เป็นขอบเขตสิบสี่ของเซียวสวิ้นที่ไม่ได้ผสานมรรคากับคนสามัคคีอย่างที่ผู้ฝึกกระบี่แสวงหา นั่นก็ยังเป็นขอบเขตสิบสี่ของแท้แน่นอน

และความร้ายกาจของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ เฉินผิงอันก็เพิ่งจะได้สัมผัสมาจากเรือราตรีลำนั้น

เมื่อออกมาจากปากของศิษย์พี่จั่วโย่ว การจับคู่เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ก็ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องของการแลกกระบี่กัน ต่างคนต่างฟัน ฟันจนใครสักคนตายก็เท่านั้น…

เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา เพราะจำขั้นตอนการฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้นขึ้นมาได้

จั่วโย่วเอ่ย “เฉาฉิงหล่างตั้งใจศึกษาหาวิชาความรู้ ความคิดจิตใจใสสะอาด เผยเฉียนตั้งใจฝึกวรยุทธ ไม่สิ้นเปลืองพรสวรรค์อย่างเสียเปล่า ทั้งสองคนต่างก็เคารพครูบาอาจารย์อย่างมาก ลูกศิษย์สองคนที่เจ้ารับมาต่างก็ไม่เลว”

ความนัยในคำพูดก็คือ อาจารย์ของนักเรียน อาจารย์พ่อของลูกศิษย์ กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะ ‘ไม่เลว’?

เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาหลายกา ยื่นส่งให้กับอาจารย์และพวกศิษย์พี่คนละกา

ซิ่วไฉเฒ่าแกะผนึกดินออก สองมือจับประคองกาเหล้า แหงนหน้ากระดกดื่มคำเล็กๆ ยิ้มตาหยี พยักหน้าเบาๆ เพียงแค่จิบเหล้าคำเล็กๆ ผู้เฒ่าก็เมามายเคลิบเคลิ้มแล้ว

อายุน้อยชอบศึกษาเล่าเรียน สดใสเหมือนพระอาทิตย์ที่เพิ่งลอยขึ้นมา วัยหนุ่มชอบศึกษาเล่าเรียน เหมือนตะวันแรงกล้ายามเที่ยงวัน วิญญูชนเล่าเรียนเหมือนจักจั่นลอกคราบที่จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

วัยแก่ชอบเล่าเรียน สว่างไสวเหมือนแสงเทียน วิญญูชนไม่กังวลถึงร่างกายที่เสื่อมถอย แต่วิญญูชนเป็นกังวลเพราะปณิธานที่ถดถอย

ลูกศิษย์สามคนที่อยู่ตรงหน้าต่างก็ทำให้อาจารย์รู้สึกเพียงว่าความรู้ของตัวเองตื้นเขิน ไม่มีอะไรจะสอนได้แล้ว

ถึงขั้นที่ว่าแต่ละคนล้วนดีเกินไป แม้แต่อาจารย์จะกำชับให้พวกเขาดูแลตัวเองให้ดีก็ยังเกินความจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด

สายบุ๋นสายหนึ่งขณะที่กำลังจะเสื่อมถอย คนที่ถูกวัฒนธรรมนี้หล่อหลอม ต้องเจ็บปวดอย่างมากแน่นอน

เวทกระบี่ของจั่วโย่วนั้นสูง ความสามารถก็สูง แต่กลับมีขีดจำกัดอยู่ที่นิสัยใจคอของตัวเอง

อันที่จริงความรู้ของจวินเชี่ยนก็ไม่เลว นิสัยก็ดี เหมาะแก่การถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจ แต่ถึงอย่างไรก็ถูกจำกัดด้วยสถานะของคนต่างเผ่า

ถึงท้ายที่สุด ภาระบางอย่างจึงหล่นลงบนบ่าของเฉินผิงอันที่อายุน้อยที่สุด

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ครั้งก่อนหลังจากที่อาจารย์จากไป ศิษย์พี่จั่วไม่เคยพาสหายไปอุดหนุนกิจการที่ร้านเหล้าเลย”

ไหแตกแล้วก็ขว้างให้แหลกเสียเลย มีอาจารย์อยู่ ใครต้องกลัวใครกันแน่

จั่วโย่วหน้าดำทะมึน

หลิวสือลิ่วยกนิ้วโป้งให้ศิษย์น้องเล็ก

ซิ่วไฉเฒ่าพูดขึ้นว่า “จั่วโย่วอ่า”

จั่วโย่วรีบพูดทันใด “ศิษย์ลืมไป”

ซิ่วไฉเฒ่าตบชายแขนเสื้อของลูกศิษย์คนสุดท้าย พูดด้วยใบหน้าชื่นชม “ยืนหยัดได้มั่นคงท่ามกลางมวลบุปผาวุ่นวาย นั่นต่างหากถึงจะเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้กล้าที่แท้จริง”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ไม่ได้เกินจริงอย่างที่อาจารย์พูดเสียหน่อย”

ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “ใช่สิ ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ!”

เฉินผิงอันพูดยืนกราน “ไม่ใช่จริงๆ”

ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ดีๆๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่”

หลิวสือลิ่วมองศิษย์น้องเล็กแวบหนึ่ง

มักมีความรู้สึกเหมือนภาพลวงตาว่าบนร่างของคนคนหนึ่งมีลักษณะของคนสองคนอยู่

จั่วโย่วและหลิวสือลิ่วสองคนที่เป็นศิษย์พี่รู้ใจกัน จึงหันมาสบตากันแล้วต่างฝ่ายก็ต่างพยักหน้าเบาๆ

ศิษย์น้องเล็กคนนี้ ในเมื่อสามารถทำให้อาจารย์พอใจได้ถึงเพียงนั้น ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะฝึกหมัดหรือฝึกกระบี่ก็ล้วนไม่อาจเกียจคร้านได้แล้ว

ซิ่วไฉเฒ่าเดินอาดๆ จากไป ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดราวกับบิน

เทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซาน ไปคุยกับเจ้าโง่ใหญ่นั่นดีกว่า จะต้องคุยกันให้ดีๆ เลยล่ะ

จวี้จื่อรุ่นที่สี่ของสำนักโม่ ดูเหมือนว่าจะมาถึงแล้วเหมือนกัน

อาจารย์ผู้เฒ่าต่งที่ไม่มียศ รวมไปถึงตาเฒ่าฝูที่ไม่มีตำแหน่งฐานะ พวกเจ้าสองคนจะมัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับอะไรส่งเดช พวกเราต้องพูดคุยกันให้ดีๆ สักหน่อย

อวี๋เสวียน

ซิ่วไฉเฒ่ารู้สึกว่าก็ควรจะไปเยี่ยมเยียนสักรอบ จะเสียมารยาทไม่ได้

ถึงอย่างไรตนก็เป็นพี่ใหญ่ของสวนกงเต๋อแห่งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านเสียหน่อย

ส่วนจะพูดคุยกันอย่างไร ร่างคำพูดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว กับเจ้าโง่ใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานจะคุยเรื่องของเด็กหนุ่มที่ปีนั้นส่งกระบี่ผ่าพันธนาการของภูเขาสุ้ยซานอย่างง่ายดาย เรื่องนี้เจ้าก็เห็นกับตาไม่ใช่หรือ?

โต้เรื่องความรู้ของสายสำนักโม่ ยอดเยี่ยมมาก แต่น่าเสียดายที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าคนนั้นเป็นลูกศิษย์ปิดประตูของสายเหวินเซิ่งพวกเราแล้ว ไม่อย่างนั้นคิดจะเป็นจวี้จื่อรุ่นที่ห้าของสำนักโม่พวกเจ้า ไม่กล้าพูดประโยคว่ามากพอเหลือแหล่ แต่หากพูดว่าพอจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูไถ กลับไม่เกินไปแม้แต่น้อย แน่นอนว่าหากสามารถควบตำแหน่งจวี้จื่อไปพร้อมๆ กันด้วย ข้าซิ่วไฉเฒ่าใจกว้างถึงเพียงใด ย่อมไม่ถือสาอยู่แล้ว ทางฝั่งของศาลบุ๋นก็พูดคุยได้ง่ายเลย ข้ากับตาเฒ่าและหลี่เซิ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ?

ส่วนตาเฒ่าอวี๋ก็ยิ่งมีเรื่องให้คุยแล้ว

แม่นางน้อยของเกราะทองทวีปที่อายุไม่ถึงสามสิบก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าแล้ว ชื่อว่าเจิ้งเฉียนใช่ไหม?

บังเอิญนัก คือศิษย์หลานของข้าเอง! ฮ่าๆ ยิ่งบังเอิญก็คือคนหนุ่มที่สามารถเปิดตราผนึกของศาลบุ๋นติดต่อกันได้หลายชั้นผู้นั้นก็คืออาจารย์ของเจิ้งเฉียน ลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้าเอง

ผู้เฒ่าหันกลับไปมองแวบหนึ่ง

จั่วโย่ว จวินเชี่ยน เฉินผิงอัน

ผู้เฒ่าภูมิใจในตัวเองอย่างมาก เพียงแต่ว่าไม่นานก็หันกลับมา ราวกับว่าไม่กล้ามองไปมากกว่านี้

ผู้เฒ่ารู้สึกเจ็บปวดใจอยู่บ้าง เหตุใดพวกเขาถึงต้องกลายมาเป็นลูกศิษย์ของตนนะ

……

เรือหอเรือนสามชั้นลำหนึ่งแล่นอยู่บนผิวลำคลอง เมื่อเทียบกับเรือข้ามฟากตระกูลเซียนของท่าเรือเวิ่นจินพวกนั้นแล้ว เรือหอเรือนนี้ไม่สะดุดตา อีกทั้งความเร็วยังไม่มาก เห็นได้ชัดว่าเจ้าของเรือคำนวณเวลาในการไปเข้าร่วมงานประชุมที่ศาลบุ๋นไว้อย่างแม่นยำ ไม่ค่อยเหมือนกับพวกฉินจ่าว เหยียนเก๋อที่ไม่มีเรื่องใหญ่กับผายลมอะไร แต่กลับดันไปขอกินเปล่าดื่มเปล่าอยู่ที่นั่นเสียแต่เนิ่นๆ

ม้าสามตัวเดินเลียบตลิ่งไปช้าๆ อาเหลียงมองเห็นเรือข้ามฟากที่ล่องไปตามลำคลองตามกฎเกณฑ์ บวกกับกลิ่นอายคุ้นเคยขุมนั้น ในใจก็พลันกระจ่างแจ้ง จับประคองงอบ บิดก้นหนึ่งทีก็ลุกขึ้นมายืนบนหลังม้า ตะเบ็งเสียงดังลั่น “พี่ติง พี่ติง! ทางนี้ ทางนี้!”

เรือหอเรือนลำนั้นขยับเข้ามาใกล้ทางฝั่งเล็กน้อย เพียงไม่นานตรงหัวเรือก็มีเทพเซียนหลายสิบคนปรากฏตัว อันที่จริงมีคนบางส่วนไม่ยินดีจะเผยโฉม คิดไม่ถึงว่าเส้นสายตาของชายฉกรรจ์สวมงอบจะกวาดผ่านมา ไล่มองสหายเก่าทุกคนจนครบถ้วนไม่มีใครตกหล่น จึงได้แต่เรียกพรรคพวกมา หวังว่าหากมีทุกข์จะร่วมกันต้าน พากันเดินออกมาจากห้องในเรือด้วยกัน

คนที่อยู่ตรงกลางคล้ายดวงเดือนที่ถูกดวงดาวห้อมล้อมคือชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยม่อต้อคนหนึ่ง รูปโฉมไม่น่าตกตะลึง ทว่าข้างกายกลับมีสาวใช้ที่งามเพริศพริ้งสองคนยืนอยู่ แม้จะประทินโฉมบางเบา แต่กลับงามล่มบ้านล่มเมือง

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!