ซิ่วไฉเฒ่าหันหน้าไปบ่นเจ้าโง่สองคนนั้น “มัวยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบมาพบศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าอีก!”
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงจับแขนของลูกศิษย์คนสุดท้ายเอาไว้ ตัดใจปล่อยมือไม่ลง
จั่วโย่วกับหลิวสือลิ่วเดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์
หลิวสือลิ่วยิ้มบางๆ พลางผงกศีรษะให้ศิษย์น้องเล็ก ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันเสียที
เฉินผิงอันรีบประสานมือคารวะทันใด “คารวะศิษย์พี่จวินเชี่ยน”
ศิษย์พี่ที่เพิ่งจะได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก ตอนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วได้ช่วยหาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาให้ก้อนใหญ่
จั่วโย่วตีหน้าเคร่งพูดว่า “ความสามารถไม่น้อยเลยนี่”
เฉินผิงอันยืดตัวขึ้นแล้วก็เหลือบมองอาจารย์
ซิ่วไฉเฒ่ากระโดดตบป้าบเข้าที่หัวของจั่วโย่ว “เจ้าเป็นศิษย์พี่ พูดจาแบบนี้กับศิษย์น้องเล็กได้อย่างไร รู้จักพูดจาเหน็บแนมเสียแล้ว ใครเป็นคนสอนเจ้ากัน หา?!”
จั่วโย่วไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ลังเลอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยว่า “ครึ่งหนึ่งเป็นคำพูดจากใจจริง”
ซิ่วไฉเฒ่าสังเกตเห็นว่าดูคล้ายลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนจะยังน้อยเนื้อต่ำใจ จึงรีบหันไปโวยวายใส่จั่วโย่วทันที “อีกครึ่งหนึ่งล่ะ ถูกเจ้ากินไปแล้วหรือ แน่จริงก็คายออกมาสิ! พูดมาสิ อาจารย์จะต้องทวงความยุติธรรมให้แน่ จะไม่ลำเอียงเข้าข้างใครเด็ดขาด…”
จั่วโย่วจึงได้แต่ฝืนใจพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นความจริงทั้งหมด”
หลิวสือลิ่วยึดมั่นในหลักการข้อหนึ่ง มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า
จั่วโย่วและเฉินผิงอันศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนนี้ หากตีกันจริงๆ ตนค่อยเกลี้ยกล่อมก็ยังไม่สาย
ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่าอันที่จริงสายของเหวินเซิ่ง ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย คนที่นิสัยดีที่สุด คือจั่วโย่ว
ดังนั้นคนที่โดนตีโดนด่ามากที่สุด จึงเป็นจั่วโย่วมาโดยตลอด
แน่นอนว่ายามที่ไม่อยู่กับอาจารย์ จั่วโย่วไม่มีทางโดนตีไม่เอาคืน โดนด่าไม่โต้กลับก็เท่านั้น
อยู่ในสำนักเดียวกัน ยังพอจะมีข้อดีอยู่บ้างเล็กน้อย ขอแค่มาจากสายเหวินเซิ่ง จั่วโย่วที่หลังจากฝึกกระบี่ก็คือจั่วโย่วอีกคนหนึ่งโดยสิ้นเชิง ไม่เคยเสียเปรียบมาก่อน
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดในสำนักของฝูลู่อวี๋เสวียน ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อในจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหานเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาว ต่างก็มีตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่โชคไม่ดีกันทั้งสิ้น
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ “คารวะศิษย์พี่จั่ว”
จั่วโย่วขมวดคิ้วน้อยๆ เพียงแต่เห็นแก่หน้าของอาจารย์ จึงไม่ถือสาเฉินผิงอัน
อาจารย์และลูกศิษย์ คนทั้งสี่นั่งลง
เฉินผิงอันมองสถานการณ์หมากบนกระดาน “อาจารย์ต้องชี้แนะศิษย์พี่ทั้งสองมาก่อนแน่นอน”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะปากกว้างจนหุบไม่ลง ดูสินี่ อะไรที่เรียกว่าเห็นเพียงเล็กน้อยก็อนุมานไปได้กว้างไกล อะไรคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจ ก็คือแบบนี้นั่นเอง!
จั่วโย่วไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน
อยู่ดีๆ หลิวสือลิ่วก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าต้นกำเนิดขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วมาจากที่ใด
ประหลาดยิ่งนัก หากว่ากันตามจริงอาจารย์ก็ไม่ค่อยได้ถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์น้องเล็กกับตัวเองสักเท่าไร ช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายได้อยู่ร่วมกันนั้นสั้นมาก เหตุใดศิษย์น้องเล็กถึงเป็นครามที่เกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าต้นครามได้นะ?
เวลานี้ดูเหมือนว่าในสายตาของซิ่วไฉเฒ่าจะมีเพียงเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น “อาจารย์อยู่ที่นี่ได้แต่คาดเดาอย่างร้อนรนไปวันๆ ปลีกตัวไปไม่ได้ ไม่อาจไปหาเจ้าได้จริงๆ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะอีกครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน ตบแขนของเฉินผิงอันเบาๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิมแล้ว นั่งลงคุยกัน เร็วเข้า”
หลิวสือลิ่วเหลือบมองจั่วโย่ว สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยจริงดังคาด
หลิวสือลิ่วขยับเส้นสายตามองไปทางคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ เห็นอีกฝ่ายนั่งอกตั้งหลังตรงอย่างสำรวม สองมือกำเป็นหมัดแน่น วางหมัดไว้บนหัวเข่า
ดวงตาคู่นั้นที่ทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้งใสกระจ่างเจิดจ้า คล้ายกับน้ำในลำธารบนภูเขาลั่วพั่วที่ไหลริน ไม่มีที่ใดที่จะไปไม่ถึง
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “จั่วโย่ว จวินเชี่ยน ไหนลองเล่าเรื่องของพวกเจ้าสิ อย่ารอให้ศิษย์น้องเล็กต้องถามพวกเจ้า”
หลิวสือลิ่วเล่าสภาพการณ์ที่พบเจอหลังหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลให้ฟังคร่าวๆ บอกว่าเขาไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ถามหมัดต่อฟ้า หลังจากนั้นก็ลงใต้ไปยังนครมังกรเฒ่า แล้วจึงไปใบถงทวีป รับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งจากพื้นที่มงคล สุดท้ายจึงไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างมารอบหนึ่ง ไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้เจอกับศิษย์พี่จั่วโย่วพอดี เลยมาที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางด้วยกัน
เวลาประมาณครึ่งก้านธูป เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟัง ระหว่างนั้นก็ถามสองเรื่องอย่างละเอียด หอสยบปีศาจของใบถงทวีป รวมไปถึงลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของศิษย์พี่จวินเชี่ยน
พอมาถึงจั่วโย่ว เขากลับไม่พูดอะไรมาก เอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า “หลังออกไปจากใต้หล้าไพศาล ก็ไปเข่นฆ่ากับคนอื่นอยู่ที่ฟ้านอกฟ้า แต่ก็ยังไม่ตาย”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ทุกวันนี้เซียวสวิ้นอยู่ที่ไหน?”
จั่วโย่วกล่าว “ถูกฟันไปยังใต้หล้ามืดสลัวแล้ว”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
เซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นคือขอบเขตสิบสี่ แล้วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่
ต่อให้เป็นขอบเขตสิบสี่ของเซียวสวิ้นที่ไม่ได้ผสานมรรคากับคนสามัคคีอย่างที่ผู้ฝึกกระบี่แสวงหา นั่นก็ยังเป็นขอบเขตสิบสี่ของแท้แน่นอน
และความร้ายกาจของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ เฉินผิงอันก็เพิ่งจะได้สัมผัสมาจากเรือราตรีลำนั้น
เมื่อออกมาจากปากของศิษย์พี่จั่วโย่ว การจับคู่เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง ก็ดูเหมือนจะเป็นแค่เรื่องของการแลกกระบี่กัน ต่างคนต่างฟัน ฟันจนใครสักคนตายก็เท่านั้น…
เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา เพราะจำขั้นตอนการฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้นขึ้นมาได้
จั่วโย่วเอ่ย “เฉาฉิงหล่างตั้งใจศึกษาหาวิชาความรู้ ความคิดจิตใจใสสะอาด เผยเฉียนตั้งใจฝึกวรยุทธ ไม่สิ้นเปลืองพรสวรรค์อย่างเสียเปล่า ทั้งสองคนต่างก็เคารพครูบาอาจารย์อย่างมาก ลูกศิษย์สองคนที่เจ้ารับมาต่างก็ไม่เลว”
ความนัยในคำพูดก็คือ อาจารย์ของนักเรียน อาจารย์พ่อของลูกศิษย์ กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะ ‘ไม่เลว’?
เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาหลายกา ยื่นส่งให้กับอาจารย์และพวกศิษย์พี่คนละกา
ซิ่วไฉเฒ่าแกะผนึกดินออก สองมือจับประคองกาเหล้า แหงนหน้ากระดกดื่มคำเล็กๆ ยิ้มตาหยี พยักหน้าเบาๆ เพียงแค่จิบเหล้าคำเล็กๆ ผู้เฒ่าก็เมามายเคลิบเคลิ้มแล้ว
อายุน้อยชอบศึกษาเล่าเรียน สดใสเหมือนพระอาทิตย์ที่เพิ่งลอยขึ้นมา วัยหนุ่มชอบศึกษาเล่าเรียน เหมือนตะวันแรงกล้ายามเที่ยงวัน วิญญูชนเล่าเรียนเหมือนจักจั่นลอกคราบที่จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
วัยแก่ชอบเล่าเรียน สว่างไสวเหมือนแสงเทียน วิญญูชนไม่กังวลถึงร่างกายที่เสื่อมถอย แต่วิญญูชนเป็นกังวลเพราะปณิธานที่ถดถอย
ลูกศิษย์สามคนที่อยู่ตรงหน้าต่างก็ทำให้อาจารย์รู้สึกเพียงว่าความรู้ของตัวเองตื้นเขิน ไม่มีอะไรจะสอนได้แล้ว
ถึงขั้นที่ว่าแต่ละคนล้วนดีเกินไป แม้แต่อาจารย์จะกำชับให้พวกเขาดูแลตัวเองให้ดีก็ยังเกินความจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด
สายบุ๋นสายหนึ่งขณะที่กำลังจะเสื่อมถอย คนที่ถูกวัฒนธรรมนี้หล่อหลอม ต้องเจ็บปวดอย่างมากแน่นอน
เวทกระบี่ของจั่วโย่วนั้นสูง ความสามารถก็สูง แต่กลับมีขีดจำกัดอยู่ที่นิสัยใจคอของตัวเอง
อันที่จริงความรู้ของจวินเชี่ยนก็ไม่เลว นิสัยก็ดี เหมาะแก่การถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจ แต่ถึงอย่างไรก็ถูกจำกัดด้วยสถานะของคนต่างเผ่า
ถึงท้ายที่สุด ภาระบางอย่างจึงหล่นลงบนบ่าของเฉินผิงอันที่อายุน้อยที่สุด
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ครั้งก่อนหลังจากที่อาจารย์จากไป ศิษย์พี่จั่วไม่เคยพาสหายไปอุดหนุนกิจการที่ร้านเหล้าเลย”
ไหแตกแล้วก็ขว้างให้แหลกเสียเลย มีอาจารย์อยู่ ใครต้องกลัวใครกันแน่
จั่วโย่วหน้าดำทะมึน
หลิวสือลิ่วยกนิ้วโป้งให้ศิษย์น้องเล็ก
ซิ่วไฉเฒ่าพูดขึ้นว่า “จั่วโย่วอ่า”
จั่วโย่วรีบพูดทันใด “ศิษย์ลืมไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!