ตรงเอวของชายฉกรรจ์ห้อยดาบชิวสุ่ยเยี่ยนหลิงรูปลักษณ์ธรรมดาเล่มหนึ่ง ไม่มีพลังอำนาจใดๆ ให้กล่าวถึง เหมือนคนงานทั่วไปที่ไม่สะดุดตา ทว่ากลับยืนอย่างผึ่งผายอยู่ท่ามกลางกลุ่มของเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์
หลี่ไหวไม่ค่อยสนใจในตัวบุคคลแปลกประหลาดที่หวังแสวงหาความเป็นอมตะบนมหามรรคาพวกนี้สักเท่าไร ถึงอย่างไรตนก็ป่ายปีนไปไม่ถึงพวกเขา เอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ไม่ได้มีความหมายอะไร ดังนั้นความสนใจส่วนใหญ่ของเขาจึงยังอยู่ที่เรือข้ามฟากลำนี้มากกว่า เพราะในน้ำถึงกับมีมังกรขาวหนึ่งตัวและเจียวดำหนึ่งตัวคอยลากเรือหอเรือนอยู่ สัตว์มหัศจรรย์สองตัวนี้ชูหัวขึ้นมาช้าๆ ถึงกับไม่มีสะเก็ดน้ำกระเซ็นเลยแม้แต่น้อย ภาพนี้ทำเอาหลี่ไหวตกใจสะดุ้งโหยง แต่ไม่นานก็คลายใจลงได้ เกินครึ่งคงจะเป็นวิชายันต์อย่างหนึ่ง
หลี่ไหวก้มหน้าลงมองม้าทรงดีใต้ก้นของตัวเองที่จำแลงมาจากแผ่นยันต์ แล้วมองมาดองอาจของจวนเซียนคนอื่นเขา
คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตายจริงๆ ติดตามอยู่ข้างกายอาเหลียงออกจะแร้นแค้นอยู่บ้าง หากไม่ได้เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน เขาคงทนรับเรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ ด้วยนิสัยของหลี่ไหวแล้ว แทนที่จะตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนก็ไม่สู้ทุ่มไหที่แตกให้แหลกด้วยการยอมเดินเท้าออกเดินทางไกลยังดีกว่า ปีนั้นที่ติดตามเฉินผิงอันออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อก็สวมรองเท้าสานคู่หนึ่ง ในหีบหนังสือมีรองเท้าเก็บใส่ไว้อยู่หลายคู่ ก็ไม่เห็นว่าจะถูกใครดูแคลนไม่ใช่หรือ
อาเหลียงเอ่ยกับหลี่ไหว “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม เรียกพี่ติงสิ! นั่นเป็นพี่น้องของข้าเอง ก็ไม่เท่ากับว่าเป็นพี่น้องของเจ้าด้วยหรอกหรือ?”
หลี่ไหวไม่ได้โง่เสียหน่อย เขาเบี่ยงตัว หันไปกุมหมัดคารวะทางเรือหอเรือน “ผู้อาวุโสติง”
ครั้งนี้หลี่ไหวไม่ยอมแนะนำตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้ยังไม่ทันได้ออกท่องยุทธภพ ชื่อเสียงก็ฉาวโฉ่ไปทั่วทุกหัวถนนแล้ว
สาวใช้สองคนข้างกายชายฉกรรจ์มีสีหน้าเหยเก
ชายฉกรรจ์พกดาบไม่เห็นเป็นสำคัญ
ผู้ฝึกตนที่อยู่บนยอดเขาสูงสุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นี้มีนามแฝงว่ากวอโอ่วทิง ฉายาว่าโยวหมิง เป็นเจ้าสำนักของสำนักแห่งหนึ่ง
ชื่อจริง มีเพียงศาลบุ๋นเท่านั้นที่รู้
เขาเพียงแค่มองผู้เฒ่าชุดเหลืองหลายครั้งหน่อย
ใต้หล้าไพศาลมีผู้ฝึกตนบนยอดเขาเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
กวอโอ่วทิงไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่มองว่าทุกวันนี้เป็นช่วงเวลาฟ้าอำนวย จึงเหมือนหน้าแมลงที่ตื่นจากการจำศีล พวกคนอายุมากที่หลบไปอยู่ตามป่าเขาจึงพากันปรากฏตัวออกมามากมาย สถานะของทุกคนแตกต่างกัน ยากจะสืบหารากฐานได้พบ
อาเหลียงโบกมืออย่างแรง “น้องอวิ๋นเฟย น้องเหมยลู่ ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปียิ่งผอมบางอีกแล้วนะ ทำเอาพี่อาเหลียงเห็นแล้วเจ็บปวดใจนัก”
ม้าทั้งสามหยุดเดิน เรือหอเรือนก็หยุดเคลื่อนตามไปด้วย
อาเหลียงนั่งยองอยู่บนหลังม้า ยื่นนิ้วโป้งชี้ไปยังหลี่ไหวที่อยู่ข้างกาย “พี่ติง เด็กรุ่นหลังข้างกายข้าผู้นี้ชื่อว่าหลี่ไหว อายุน้อยมากความสามารถ แม้จะอายุไม่มากแต่ความรู้ก็ไม่แพ้หยวนพาง วิชาหมัดไม่แพ้ฉุนชิง ฝีมือการเล่นหมากล้อมก็ไม่แพ้ฟู่จิ้น หมากล้อมไม่แพ้สวี่ป๋าย…”
อาเหลียงรีบเอ่ยเสริมไปอีกประโยค “อันที่จริงข้ารู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักข้า ยังไม่เคยตัดหัวไก่เผากระดาษเหลือง เขียนชื่อลงบนหนังสือจินหลันด้วยกัน”
หลี่ไหวสี่หน้าแข็งค้าง อีกเดี๋ยวหากไม่มีคนนอกอยู่ด้วยจะต้องขอบคุณอีกฝ่ายหนักๆ เสียหน่อย
นักพรตเนิ่นบนหลังม้าริมชายฝั่งถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที คุณชายบ้านตนช่างมีโชควาสนาลึกล้ำเสียจริง คนอื่นจำเป็นต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายถึงจะพอช่วงชิงชื่อเสียงมาได้บ้าง ทว่านายท่านใหญ่หลี่ไหวกลับมีชื่อเสียงได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงสักกะผีก
กวอโอ่วทิงยิ้มบางๆ ถือว่าจดจำหลี่ไหวลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ ‘อายุน้อยมากความสามารถ’ ได้แล้ว
ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนนี้รู้ไส้รู้พุงอาเหลียงดี จึงเตรียมจะขอตัวจากไป จะไม่ยอมเปิดโอกาสให้อาเหลียงได้ตีสนิทไปมากกว่านี้ หากปล่อยให้อาเหลียงขึ้นเรือมา ผลลัพธ์ย่อมเลวร้ายจนไม่อาจจินตนาการได้ถึง ผู้ฝึกตนใหญ่แห่งใต้หล้าไพศาลจำนวนเพียงหยิบมือที่กวอโอ่วทิงสามารถจดจำได้นั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้นิสัยจะแปลกประหลาด กระทำการกำเริบเสิบสานแค่ไหน ถึงอย่างไรก็ยังมีร่องรอยให้ตามหา พอจะคาดเดาได้บ้างเล็กน้อย แต่ชายฉกรรจ์สวมงอบที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าประโยคต่อไปอีกฝ่ายจะพูดอะไร เรื่องต่อไปที่จะทำคือเรื่องอะไร
ยกตัวอย่างเช่นยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารของนครจักรพรรดิขาวคนนั้น หากได้พบเจอโดยบังเอิญ ขอแค่ไม่พูดถึงอาจารย์ของเขา ทุกเรื่องล้วนดีหมด
กวอโอ่วทิงไม่รู้สึกว่าหลิ่วชีคือผู้ฝึกตนที่ถูกประเมินไว้ต่ำสุดมาโดยตลอด เขาเชื่อมั่นเสมอว่าเจิ้งจวีจงต่างหากถึงจะเป็นคนผู้นั้น
หรือยกตัวอย่างเช่นจั่วโย่วคนนั้น นิสัยแปลกแยกสันโดษอย่างถึงที่สุด ยากจะสนิทสนมใกล้ชิด ถ้าอย่างนั้นขอแค่ไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องเขาก็ไม่มีทางเจอกับปัญหาใดๆ
ทว่าบัณฑิตที่เป็นทายาทของอริยะผู้นี้ ยามท่องยุทธภพคือมือกระบี่ที่ยอมสละได้แม้กระทั่งชื่อแซ่ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ทำได้ทุกอย่างจริงๆ
อาเหลียงหัวเราะร่าพลางโบกมือ “ช่างเถิด ไม่ต้องกระตือรือร้นเชิญพวกเราขึ้นเรือเดินทางไปด้วยกันหรอก ข้าจะขี่ม้าท่องเที่ยวไปกับพี่น้องคนดีของข้า”
กวอโอ่วทิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อาเหลียงเปลี่ยนนิสัยตั้งแต่เมื่อไหร่? ผู้ฝึกตนบนภูเขายามเห็นท่าไม่ดีต้องรีบหาบันไดลง ใครเล่าจะทำไม่เป็น ทว่าเจ้าชาติสุนัขผู้นี้มีแต่จะหาบันไดเดินขึ้นเท่านั้น
เรือข้ามฟากล่องไปตามลำน้ำอย่างเชื่องช้าต่ออีกครั้ง แต่ระดับความเร็วก็ยังคงเหนือกว่าคนสามคนที่ขี่ยันต์ม้าเดิน เพียงไม่นานก็ทิ้งพวกอาเหลียงสามคนไว้ข้างหลังห่างไกล
นักพรตเนิ่นเห็นหลี่ไหวทำท่ามึนงงก็ช่วยเปิดเผยความลับสวรรค์ให้ฟัง “คือกวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็ก”
หลี่ไหวจุ๊ปากเดาะลิ้น อะไรกัน คือบรรพจารย์โยวหมิงที่มีฉายาว่าหนึ่งดาบสะบั้นเส้นทางน้ำพุเหลืองขาดผู้นั้นน่ะหรือ?!
หนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานเช่นเดียวกัน ภูเขาต้นไม้เหล็กคือสำนักใหญ่ของไพศาล หากจะบอกว่านครจักรพรรดิขาวคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของผู้ฝึกตนอิสระทั่วหล้า ถ้าอย่างนั้นภูเขาต้นไม้เหล็กของบรรพจารย์เต๋าโยวหมิงผู้นี้ก็คือสถานที่ที่ภูตผีปีศาจทั้งหลายในป่าเขาพงไพรเลื่อมใส
นักพรตเนิ่นทอดถอนใจเฮือกๆ เป็นคนต่างเผ่าพันธุ์เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าฝ่ายหนึ่งมีชีวิตได้ดิบได้ดีอยู่ในใต้หล้าไพศาล ได้ก่อสำนักตั้งพรรค ได้รับความเคารพนับถือจากคนนับหมื่น อีกคนหนึ่งนอนหมอบเฝ้าประตูอยู่ในเทือกเขาใหญ่แสนลี้ทุกวัน อยู่ในสถานที่ที่แม้แต่นกก็ไม่บินมาขี้ ใช้ชีวิตอยู่อย่างอัดอั้นรันทด
หลี่ไหวพลันคืนสติ ตนถูกอาเหลียงหลอกเอาอีกครั้งหนึ่งแล้ว จึงใช้ไม้เท้าทิ่มอาเหลียง เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ทิง ไม่ได้อ่านว่าติง! ติงกับท่านปู่เจ้าสิ!”
อาเหลียงหลบไม้เท้าเดินป่าพลางแคะจมูกไปด้วย “ข้าอยากเรียกอย่างไรก็จะเรียกอย่างนั้น เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือว่าพี่โอ่วติงก็ไม่ได้คัดค้าน? หากเปลี่ยนมาเป็นคนทั่วไป ต่อให้เรียกจนคอแตกก็ไม่มีทางขวางเรือข้ามฟาก ‘หลินหลี’ ลำนั้นไว้ได้”
หลี่ไหวเก็บไม้เท้าเดินป่า ลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยเสียงเบาว่า “รู้สึกได้ว่าเรือลำนั้นมีไอชั่วร้ายค่อนข้างเข้มข้น อาเหลียง ข้าคิดไปเองหรือไม่?”
นักพรตเนิ่นทอดถอนใจเอ่ย “คุณชายเหมือนคนมีตาทิพย์อย่างไรอย่างนั้น ประหนึ่งมีเทพคอยช่วยเหลือจริงๆ!”
อาเหลียงหยิบเหล้าเจี่ยวเยว่กาหนึ่งออกมา กระดกดื่มอึกใหญ่ ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าอายุยังน้อย บุญคุณความแค้นมากมายบนยอดเขา อย่าว่าแต่เห็นเองกับตาเลย แม้แต่ได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่พูดถึงหมื่นปีที่ผ่านมา พูดถึงแค่ปฏิทินเหลืองเก่าแก่สามพันห้าพันปีก็มีการจับคู่เข่นฆ่าบนยอดเขาเกิดขึ้นสิบกว่าครั้งแล้ว เพียงแต่ว่าล้วนถูกศาลบุ๋นสั่งห้ามไม่ให้จัดพิมพ์ลงรายงานขุนเขาสายน้ำ แค่เล่ากันไปปากต่อปากไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าไม่อนุญาตให้ทิ้งตัวอักษรใดๆ ไว้นอกศาลบุ๋น หนึ่งในการต่อสู้นั้นเกี่ยวข้องกับกวอโอ่วทิง ต่อสู้กันจนภูเขาปริแตกพังถล่ม ภายหลังต่อมาถึงได้มีภูเขาต้นไม้เหล็กที่บุปผาไม่อาจผลิบาน รวมไปถึงนครจักรพรรดิขาวท่ามกลางเมฆหลากสีแห่งนั้น”
อาเหลียงตบดาบไม้ไผ่ตรงเอวตัวเอง “อย่าเห็นว่าหน้าตาของกวอโอ่วทิงไม่เป็นพิษไม่เป็นภัย อันที่จริงนิสัยของเขาไม่ถือว่าดีสักเท่าไร เรือข้ามฟากหลินหลีลำนี้ และยังมีดาบพกที่เขาห้อยเอวไว้ มีชื่อว่าเซียวโส่ว (ตัดหัวเสียบประจาร วิธีการลงโทษในสมัยโบราณ) รอยสนิมจากคราบเลือดนั้นมาจากคราบเลือดจริงๆ ก็คือดาบวิเศษที่หลอมมาด้วยคาวเลือดไหลโชก (หลินหลี) นี่นะ เจ้าหมอนี่โชคดี ยังได้ครอบครองกระจกส่องมารที่มีระดับขั้นเป็นบรรพบุรุษอีกบานหนึ่ง เคยเป็นสมบัติหนักที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงยุคบรรพกาลตนหนึ่งครอบครอง พอกวอโอ่วทิงได้มาอยู่ในมือก็เอามาหลอมใหญ่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ลำพังเพียงแค่การหลอมก็เสียเวลาไปพันปี แต่หากจะเปรียบเทียบกันเรื่องวิชาดาบ ข้ากลับไม่กลัวแม้แต่น้อย”
บนแท่นลงทัณฑ์ในยุคบรรพกาล กระบี่เกราะ ง้าวทะลุภูเขา เซียวโส่ว ดาบพิฆาตสองเล่ม วัตถุทั้งหลายนี้ล้วนเป็นอาวุธหนักที่ผ่านการหลอมทางจิตวิญญาณในปฏิทินเหลืองเก่าแก่ทั้งสิ้น ไม่ต้องรอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำการลงทัณฑ์อย่างแท้จริง เพียงแค่เจียวหลงมองเห็นอาวุธพวกนั้น คาดว่าก็คงตกใจกลัวจนชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
หลี่ไหวเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ได้พูดคุยกับบรรพจารย์โยวหมิงหนึ่งประโยค การขี่ยันต์ม้าเดินทางครั้งนี้ก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”
นักพรตเนิ่นรู้สึกคิดไม่ตกเล็กน้อย ความเคารพยำเกรงจากคำพูดที่หลี่ไหวมีต่อกวอโอ่วถิง บวกกับความระมัดระวังสำรวมตนตอนที่พบกับหูจวินหลี่เย่โหวก่อนหน้านี้ มันเรื่องอะไรกัน อาเหลียงมีเวทกระบี่เป็นอย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ? เฒ่าตาบอดขอบเขตอะไร เจ้าไม่รู้หรือ? ก็ไม่เคยเห็นเจ้าจะหวาดเกรงพวกเขาเลยนี่นา ทำตัวเอาแต่ใจจนไร้ขื่อไร้แปแล้วด้วยซ้ำ
อาเหลียงยังคงโอ้อวดความรู้อันกว้างขวางของตัวเองต่อไป “มังกรขาวที่เปิดทางลากเรือหอเรือนไปเบื้องหน้าตัวนั้นมาจากภาพน้ำมหาสมุทรจิตรกรรมฝาผนังของวัดอันเล่อ เจียวสีหมึกอีกตัวหนึ่งมาจาก ‘ภาพมังกรเทพพร่างพิรุณ’ ภาพน้ำมหาสมุทรบนฝาผนังของวัดและภาพพร่างพิรุณ ข้าล้วนเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน แต่ละภาพต่างก็ขาดมังกรขาวหนึ่งตัวและเจียวสีหมึกหนึ่งตัวไปจริงๆ”
“ส่วนยอดฝีมือกลุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายกวอโอ่วทิงก่อนหน้านี้ ก็คือจิตรกรเอกฝีมือเลิศล้ำ สามคนในนั้นเชี่ยวชาญการวาดมังกรมากเป็นพิเศษ ชื่อของพวกเขา เจ้าน่าจะเคยเห็นผ่านตาในหนังสือมาก่อน เฉินสั่วเวิง น้ำหมึกประหนึ่งโซ่ตรวนเหล็ก สามารถกักเจียวหลงไว้ในภาพวาด ฝางหู่ชิง ถูกขนานนามว่าเป็นอริยะอักษรฉ่าวซูในภาพวาด นอกจากวาดมังกรแล้ว การวาดภาพเหมือนในวังหลวงของราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ ล้วนจะเชื้อเชิญคนผู้นี้ให้วาดภาพปลามังกรน้ำทะเลเพื่อเป็นเกียรติ ต่งพีหลิง ก่อนที่เขาจะเดินขึ้นเขาฝึกตนก็เคยเป็นจิตรกรในวังหลวงมาก่อน เคยรับหน้าที่วาดมังกรไว้บนผนังทางทิศเหนือของเรือนอวี้ถัง ลายเส้นงดงามอย่างมาก ผลคือเพราะวาดได้สมจริงเกินไป ตอนที่ฮ่องเต้จรดพู่กันแต้มนัยน์ตามังกร ฟ้าดินจึงเกิดการขานรับ เมฆหมอกก่อกำเนิด ลายน้ำบนผนังกลายเป็นคลื่นเชี่ยวกรากถาโถม ทำเอาพวกลูกหลานมังกรกลุ่มใหญ่ที่มาชมภาพวาดในห้องโถงตกใจร้องไห้จ้ากันไปหมด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!