กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 785

สรุปบท บทที่ 785.3 การประชุม: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 785.3 การประชุม – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 785.3 การประชุม จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เรือหอเรือนลำหนึ่งสั่นสะเทือนเบาๆ

กวอโอ่วทิงใช้มือหนึ่งกดด้ามดาบ อีกมือหนึ่งยกขึ้นบอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าอย่าวู่วาม

ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่ง กรอบดวงตาไร้ลูกตา มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งใช้ฝ่ามือค้ำยันปลายคาง เขายืนอยู่ห่างไปไม่ไกลเพียงลำพัง แสยะปากเอ่ยว่า “เจอลูกศิษย์ของข้าแล้วยังวางมาดใหญ่โตเช่นนี้อีกหรือ? แม้แต่จะเทียบท่าก็ยังตัดใจทำไม่ลง รีบร้อนอยากไปเดินบนเส้นทางน้ำพุเหลืองขนาดนี้เลยหรือ?”

หลี่ไหวเป็นทั้งลูกศิษย์เปิดขุนเขาของเฒ่าตาบอด แล้วก็เป็นลูกศิษย์ปิดประตูด้วย

แต่วันนี้เฒ่าตาบอดกลับเป็นแค่อาจารย์เกินครึ่งตัวของหลี่ไหวเท่านั้น ทว่าเฒ่าตาบอดดันชอบความไร้เหตุผลเช่นนี้เสียนี่

อาเหลียงไม่สนใจความเป็นความตายของเรือหอเรือนอีกต่อไป

เพียงแค่เงยหน้ามองม่านฟ้า

เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าในใต้หล้า สามารถช่วยกันค้ำประคองฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมา

แล้วก็ต้องสามารถช่วยอุดรูรั่วของฟ้าให้ได้ด้วย

……

งานชุมนุมสามครั้งก่อนหน้านี้ อันที่จริงจัดขึ้นแค่พอให้เป็นพิธีเท่านั้น

การรวมตัว การเยี่ยมเยือนกันเป็นการส่วนตัว การประชุมกันอย่างลับๆ ต่อจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นงิ้วฉากสำคัญที่แท้จริง

ยกตัวอย่างเช่นทางฝั่งของเกาะนกแก้วที่เดิมทีไม่มีคนถามไถ่ อยู่ดีๆ ก็มีร้านเหล้าตระกูลเซียนร้านหนึ่งเพิ่มเข้ามา

คือร้านหวงเหลียงที่ในอดีตเคยเปิดที่ภูเขาห้อยหัว เถ้าแก่ผู้เฒ่านอนคว่ำอยู่บนโต๊ะคิดเงินหยอกนกกระจอกบู๊ในกรงเล่น ลูกจ้างหนุ่มเต็มไปด้วยความกังวลใจ เพราะได้ยินมาว่าอาเหลียงผู้นั้นใกล้จะมาถึงแล้ว

ส่วนแม่นางคนนั้นของเถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับมีอารมณ์ตรงกันข้ามกับลูกจ้างหนุ่มอย่างสิ้นเชิง นางนั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวหนึ่งในมุม ง่วนอยู่กับการแต่งหน้าหวีผม ขวดกระปุกทั้งหลายบนโต๊ะกองกันราวกับภูเขา สตรีกำลังลังเลว่าจะวาดคิ้วไข่มุกย้อยดี หรือว่าจะมวยผมทรงอีกาบินแบบใหม่แต่วาดคิ้วดวงจันทร์ดีกว่ากัน? นางที่นั่งอยู่ตรงข้ามกระจกประทินโฉมมองซ้ายมองขวา จู่ๆ นางก็พลันเปลี่ยนใจ รู้สึกว่าตนมีดวงตาหงส์คู่หนึ่ง หากวาดเส้นขอบตาบนลึกเข้มหน่อย ขอบตาล่างวาดจางสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะยิ่งสอดคล้องกับคำว่า ‘งดงามชวนให้คนมองสำราญตา’ อย่างที่กล่าวถึงในนิยายรักประโลมโลกพวกนั้นก็เป็นได้ เพียงแต่ว่ากระตุกผมเส้นเดียวจะสะเทือนไปทั้งร่าง หากเปลี่ยนการวาดคิ้วตา แม้แต่ดอกไม้ที่ติดบนหน้าผาก สีทาปาก ปิ่นประดับผมและชุดกระโปรงก็ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดด้วย นั่นจะไม่น่ากลุ้มแย่หรอกหรือ?

และลูกค้าในร้านตอนนี้ก็มีบรรพจารย์เว่ยแห่งสำนักการทหาร อาจารย์ฟ่านแห่งสำนักการค้า และยังมีเจ้าประมุขหนุ่มคนหนึ่งของสกุลลู่สำนักหยินหยาง บรรพจารย์ผู้เฒ่าสองท่านของสำนักประพันธ์ รวมไปถึงมือกระบี่คนหนึ่งที่มักจะพาดกระบี่ขวางไว้ด้านหลังในแนวนอนด้วยความเคยชิน สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่

องค์รักษ์คนหนึ่งของอาจารย์ฟ่านดื่มจนเมาแล้ว จึงกำลังยั่วยุให้สวี่รั่วที่ดื่มเหล้าอยู่โต๊ะเดียวกันหาโอกาสฟันเจ้าชาติสุนัขผู้นั้นให้ตายด้วยกระบี่เดียว

ผลคือลูกสาวของเถ้าแก่ร้านเหล้าตบโต๊ะ ตวาดด่าเสียงดัง

ในจวนแห่งหนึ่งของภูเขาอ๋าวโถว เป็นครั้งแรกที่ซานจวินห้าท่านของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมารวมตัวกันอย่างครบถ้วน ผลคือมีแขกสองกลุ่มพากันมาเยี่ยมเยือนถึงที่ ฝ่ายหนึ่งคือชางผูที่อยากจะมาขอชะตาบุ๋นหลายๆ อ่างจากเทพใหญ่แห่งภูเขาจิ่วอี๋ ฝ่ายหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสองสามคนที่มาจากราชวงศ์เส้าหยวน จูเหมยต้องการมาพบซานจวินหญิงของภูเขาแยนจือที่เป็นพันธมิตรกับตน ดังนั้นซานจวินห้าท่านจึงแยกย้ายกันไป เพียงไม่นานก็มีแขกคนอื่นๆ ทยอยมาเยือน สุดท้ายจึงไม่มีซานจวินสักคนที่อยู่ว่าง

พื้นที่ลับจวนน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่บนเกาะยวนยาง หลี่เย่โหวแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่และหูจวินอีกสี่คนที่เหลือก็กำลังพูดคุยกัน แต่ว่าไม่มีใครเชื้อเชิญตั้นตั้นฮูหยินจากหลุมน้ำลู่ผู้นั้นมาด้วย

หลิวทุ่ยที่ขอบเขตถดถอยจากบินทะยานมาเป็นเซียนเหรินไปหาฉีถิงจี้พร้อมกับเซียนเหรินสองคนอย่างชงเชี่ยนและฉินจ่าว หลิวทุ่ยกำลังสบถด่าเจ้าตะพาบเฒ่าอย่างหวานเหยียนเหล่าจิ่ง

ไหวอินไปหาหลิวจวี้เป่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หลิวโยวโจวเป็นสหายเก่าแก่กับไหวเฉียนอยู่แล้ว หลิวโยวโจวทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เพราะตอนนี้อวี้เจวี้ยนฟูก็อยู่ที่นี่ด้วย ทว่างานแต่งงานของนางกับไหวเฉียนคล้ายว่าจะจบลงอย่างค้างคาเช่นนี้

ฮ่วนซาฮูหยินที่ติดตามจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์เดินทางมายังที่แห่งนี้ เป็นฝ่ายไปหาเหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยกด้วยตัวเอง สอบถามสถานการณ์ล่าสุดของราชวงศ์ต้าเฉวียน

เฉาสือและหยวนพางเดินไปบนทางสายเล็กที่มีเงาไม้เขียวครึ้มบนภูเขาอ๋าวโถวด้วยกัน ฝั่งตรงข้ามมีคนสองคนที่กำลังเดินลงจากเขามา คือสวีเซวี่ยนและหลินซู่แห่งอุตรกุรุทวีป

การเล่นหมากล้อมสองกระดานบนภูเขาอ๋าวโถว กระดานหนึ่งของวันนี้ไม่ใช่หลินจวินปี้เป็นฝ่ายรับอีกต่อไป แต่เป็นอวี้ชิงชิง คนที่ประลองด้วยคือฟู่จิ้นแห่งนครจักรพรรดิขาว อีกกระดานหนึ่งคือสวี่ป๋ายที่ประลองกับเทียนซือน้อยคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์

เจ้าประมุขสกุลเจียงอวิ๋นหลินสลัดลูกหลานคนอื่นๆ ทิ้ง เพียงแต่ว่าเจียงอวิ้นโดยสารเรือมาเที่ยวชมเกาะยวนยาง คนนอกสองคนที่อยู่บนเรือคือเจ้าประมุขคนปัจจุบันของจวนทายาทสี่อริยะใหญ่

อำเภอพ่านสุ่ย ฮว่อหลงเจินเหรินเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนชิงจงฮูหยิน พอพบเจอหน้ากันก็เอ่ยว่า “โอ้โห เลื่อนขั้นแล้ว ได้เป็นขุนนางใหญ่เชียว”

หูจวินและเทพภูเขาของแผ่นดินกลาง ฮว่อหลงเจินเหรินรู้จักและสนิทสนมด้วยแทบทั้งหมด แน่นอนว่าสตรีอ้วนของหลุมน้ำลู่ผู้นี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทว่าตั้นตั้นฮูหยินที่มีฉายาว่าชิงจงผู้นี้กลับหวาดกลัวตาเฒ่าที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างมาก

ผู้เฒ่าคนหนึ่งเรือนกายผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่ ร่างเล็กเตี้ย สวมชุดสีม่วงผมสีขาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าลูกหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไปรับลูกศิษย์ที่ตลาด เจอกับอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ คิดจะรับลูกศิษย์สักคนมักยากลำบากเช่นนี้เสมอ

ชายฉกรรจ์ท่าทางทึ่มทื่อคนหนึ่งสวมรองเท้าสานเดินท่องไปใต้หล้า ก็คือจวี้จื่อรุ่นที่สี่ของสำนักโม่

เกาะยวนยาง หลังจากจางเถียวเสียที่มีฉายาว่าหลงป๋อมาเป็นผู้นำ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาตกปลาเช่นกัน

และผู้เฒ่าคิ้วยาวที่ไม่ว่าเจอกับใครก็คล้ายจะมีสีหน้าเป็นมิตรอยู่เสมอผู้นี้ ก่อนที่เผยเปยจะลุกผงาดขึ้นมา เขาก็คืนคนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำวิถีบู๊ของใต้หล้าไพศาล

ห่างจากฝั่งซ้ายมือของจางเถียวเสียไปไม่ไกล คือบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก ตรงเอวรัดข้องปลาใบเล็ก ชอบเตร็ดเตร่ไปตามซากปรักสนามรบเพื่อจับวิญญาณวีรบุรุษและผีร้ายวิญญาณอาฆาต

ฝั่งขวามือยังมีคนอีกสามคน คืออาจารย์และศิษย์สองคนจากสายศาลเหลยกงธวัลทวีป เพ่ยอาเซียงและหลิ่วสุ้ยอวี๋

รวมไปถึงตาเฒ่านิสัยมุทะลุคนหนึ่งของอุตรกุรุทวีปที่เพิ่งมาถึงริมน้ำอย่างหวังฟู่ซู่ เขานั่งลงระหว่างจางเถียวเสียกับเพ่ยอาเซียง ยิ้มเอ่ย “นี่มันพี่หญิงอาเซียงไม่ใช่หรือ”

ทุกวันนี้หวังฟู่ซู่คือผู้ถวายงานสกุลหลูของราชวงศ์ต้าหยวน ครั้งนี้ที่ติดตามมาด้วยก็เพราะว่าอยู่ว่างจนรู้สึกอุดอู้ จึงออกมาผ่อนคลายอารมณ์เสียหน่อย

เพ่ยอาเซียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

จางเถียวเสียยิ้มถาม “หมัดเท้าของหลี่เอ้อผู้นั้นเป็นอย่างไร?”

หวังฟู่ซู่หลุดหัวเราะพรืด “ธรรมดา หมัดไม่หนัก เท้าไม่เร็ว หากไม่เป็นเพราะเจ้าถามถึง ข้าก็คร้านจะพูดมากด้วยซ้ำ”

จางเถียวเสียพยักหน้ารับเบาๆ กึ่งเชื่อกึ่งกังขา

ในอดีตตอนที่หวังฟู่ซู่พยายามจะเลื่อนเป็น ‘เทพมาเยือน’ เกิดธาตุไฟเข้าแทรก ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ ทะเลสาบและมหาสมุทรเดือดพล่าน ภูเขาเหมือนแผ่นดินที่จมยุบลง ภาพบรรยากาศสับสนวุ่นวาย ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวถูกเซียนกระบี่หลายท่านร่วมแรงกันกักเอาไว้

หลิ่วสุ้ยอวี๋ยิ้มถาม “ ‘ธรรมดา’ อย่างไรรึ?”

หวังฟู่ซู่ตอบกลับอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “หลี่เอ้อออกแรงเต็มที่ สามหมัดยังต่อยข้าให้ตายไม่ได้ จะร้ายกาจได้สักเท่าไรกันเชียว?”

อู๋ซูอริยะบู๊แห่งใบถงทวีปที่อยู่ห่างไกลออกไปยิ่งกว่าหลุดหัวเราะทันใด

ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ ความอคติของคนต่างสำนักยังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แน่นอนว่าต้องเป็นเพียงหนึ่งเดียว

ต่อมาคืออุตรกุรุทวีป บุรพแจกันสมบัติทวีป

นอกจากนี้แล้วหรดีฝูเหยาทวีป ทักษินาตยทวีป ประจิมเกราะทองทวีป พายัพหลิวเสียทวีป ธวัลทวีป ล้วนพอๆ กัน

อาคเนย์ใบถงทวีปเป็นเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน เพียงแต่ว่าอยู่อันดับรั้งท้ายสุด

ดังนั้นอู๋ซูกับเหวยอิ๋งแห่งสำนักกุยหยก อันที่จริงตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงสุราก่อนหน้านี้จึงค่อนข้างจะเงียบขรึม

และระหว่างผู้ฝึกยุทธอู๋ซูกับเซียนกระบี่เหวยอิ๋ง ต่อให้จะเป็นคนของใบถงทวีปบ้านเดียวกัน แต่อันที่จริงกลับไม่มีอะไรให้พูดคุยกันได้ ถือว่าเป็นแค่คนรู้จัก ยามเจอหน้าก็แค่ผงกศีรษะทักทายกันเท่านั้น

คนที่ตกปลาอยู่ริมฝั่ง คือเหล่าผู้ฝึกยุทธที่มารวมตัวกัน

ไม่ใช่ขอบเขตสิบ ก็เป็นขอบเขตเก้า

ยอมแล้วจริงๆ

ห่างไปไม่ไกลบนท่าเรือเวิ่นจิน บุรุษสวมชุดกว้าสีเขียวสะพายกระบี่คนหนึ่งคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า เดินมาหาช้าๆ

เส้นทางที่เลือกก็พิถีพิถันอย่างยิ่ง สามารถหลบพ้นบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำพวกนั้นมาได้พอดี

นักพรตเนิ่นมองเห็นคนผู้นั้น เส้นเอ็นหัวใจก็พลันขมวดเกร็ง

หลี่ไหวยิ้มกว้างสดใส วิ่งตะบึงไปหาตลอดทาง แล้วพลันหยุดเท้า ตีมือกับเฉินผิงอันหนักๆ

อาเหลียงกับนักพรตเนิ่นยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง

อาเหลียงยิ้มเอ่ย “มีความเท่ห์ได้ครึ่งหนึ่งของข้าแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มิกล้า”

พริบตานั้น

ก็มีเสียงทุ้มอบอุ่นเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวใจของทุกคนที่มีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการประชุม “เริ่มการประชุม”

เฉินผิงอันเอ่ยกับหลี่ไหว “เดี๋ยวข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่”

มือกระบี่ชุดเขียวกับชายฉกรรจ์สวมงอบ เงาร่างของคนทั้งสองพลันหายไปจากท่าเรือเวิ่นจิน

กระทั่งบัดนี้เนื่องจากมีคนได้รับกระบี่บินแจ้งข่าว ผู้คนจึงพากันพุดคุยวิพากษ์วิจารณ์ คนดูทุกคนที่อยู่ท่าเรือถึงเพิ่งจะรู้เรื่องหนึ่ง คนสองคนนั้นถึงกับเป็นคนที่สามารถเข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋นได้

บนลานกว้างศาลบุ๋น ฟ้าดินสดใสปลอดโปร่ง ที่นั่งไม่ได้การแบ่งลำดับหลักรอง ทุกคนล้อมวงกันเป็นวงกลมขนาดใหญ่พอดี

อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ เจ้าลัทธิหลักและรองสามท่านของศาลบุ๋น ผู้อำนวยการใหญ่ รองผู้อำนวยการของสถานศึกษาสามแห่ง เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่ง บรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนัก เจ้าสำนักใหญ่แห่งต่างๆ ขอบเขตบินทะยาน ขอบเขตเซียนเหริน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ฮ่องเต้ของราชวงศ์ ซานจวินของขุนเขาใหญ่ สุ่ยจวินของห้าทะเลสาบ เจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์…

อริยะปราชญ์ผู้กล้าแห่งใต้หล้าไพศาลล้วนมารวมตัวกันที่นี่ สายตาของแต่ละคนสอดส่ายไปมามองประเมินกันและกัน

ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่ได้ปรากฏตัว

หลี่เซิ่งที่เป็นผู้ดำเนินการประชุมครั้งที่หนึ่งนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนเปิดปาก

มีคนห้าคนยืนอยู่ด้วยกัน ตำแหน่งที่ยืนน่าสนใจอย่างถึงที่สุด

ฉีถิงจี้ ลู่จือ อาเหลียง จั่วโย่ว

อาเหลียงไม่ได้ยืนอยู่ข้างกายหย่าเซิ่ง จั่วโย่วก็ไม่ได้ยืนอยู่ข้างกายเหวินเซิ่ง

และคนที่ยืนอยู่ระหว่างฉีจิ้งจี้ ลู่จือ อาเหลียงและจั่วโย่ว

บุรุษหนุ่มเรือนกายสูงเพรียวที่ยืนอยู่ตรงกลางพอดี ก็คืออิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอัน

ทันใดนั้น

ราวกับว่าทั้งใต้หล้า ได้พากันหันไปมองคนผู้เดียวอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยไม่ได้นัดหมาย

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!