กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 786

สรุปบท บทที่ 786.1 ไม่มีอะไรให้พูด: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 786.1 ไม่มีอะไรให้พูด จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 786.1 ไม่มีอะไรให้พูด คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

หมื่นปีที่ผ่านมา บางทีอาจมีเพียงการประชุมของเซียนกระบี่ชั้นสูงของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีใครแล้วที่จะสามารถทำให้เซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านยินยอมพร้อมใจเป็นเหมือนใบไม้เขียวที่ประดับส่งเสริมให้บุปผาโดดเด่นได้เช่นนี้อีก

ฉีถิงจี้

เจ้าสำนักกระบี่หลงเซี่ยงแห่งทักษินาตยทวีป เจ้าประมุขสกุลฉีแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่เคยแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพง ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด ออกกระบี่ติดต่อกันในสนามรบสามแห่งของต่างบ้านต่างเมือง อาศัยกำลังของคนคนเดียวช่วงชิงเอาความเคารพนับถือมาจากคนทั้งใต้หล้าไพศาล

ลู่จือ

เซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เล่าลือกันว่าแท้จริงแล้วนางคือคนของไพศาล แต่ลู่จือกลับเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด พลังพิฆาตมหาศาล ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยาน แต่กลับสามารถมองเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้เลย ไม่อย่างนั้นลำดับรายชื่อของนางก็คงไม่มีทางอยู่เบื้องหน้าเฒ่าหูหนวกที่เป็นขอบเขตบินทะยานได้ น่าหลันเซาเหว่ยหนึ่งในสิบเซียนกระบี่บนยอดเขาใหญ่ของหัวกำแพงเมืองก็ยิ่งเคยพูดเองกับปากว่า ในฐานะที่ตนคือผู้ฝึกกระบี่ซึ่งอยู่ในอันดับสุดท้าย ตัวสำรองยอดเขาทั้งหลายที่อยู่ห่างจากด้านหลังเขาไปไม่ไกลอย่างเยว่ชิง หมี่ฮู่นี้ อันที่จริงระหว่างพวกเขากับลู่จือมีน่าหลันเซาเหว่ยกั้นขวางอยู่ถึงสองคน

อาเหลียง เป็นทายาทของจวนอริยะ แต่กลับไปท่องเที่ยวอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่นานร้อยปี เคยเป็นบัณฑิตคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่

ก่อนที่อาเหลียงจะปรากฏตัว ความรู้สึกที่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่อไพศาลเรียบง่ายอย่างยิ่ง มีเพียงสายตาเย็นชาที่มองอย่างดูแคลนเท่านั้น และหลังจากที่อาเหลียงไปเตร็ดเตร่อยู่ที่นั่นร้อยปี พวกเขาก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ไม่ว่าจะนิสัยการเล่นพนัน นิสัยยามดื่มเหล้า หรือนิสัยใจคอของตัวเขาเอง ล้วนทำให้ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่น ‘ตาเป็นประกาย’ ได้ทั้งสิ้น หากไม่เป็นเพราะถูกภูเขาทัวเยว่กดทับมานานหลายปี และเขาก็ไม่เสียดายมหามรรคาที่ถูกกัดกร่อนลดทอนไป ใช้กระบี่สังหารผีร้ายวิญญาณอาฆาตไปนับไม่ถ้วน ไปเยือนดินแดนพุทธะสุขาวดีมารอบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นทุกวันนี้ก็คงเป็นขอบเขตสิบสี่ไปแล้ว ส่วนตัวอักษรใหญ่ที่อาเหลียงแกะสลักลงไปบนหัวกำแพงเมืองนั้น ก็สะเทือนฟ้าสะท้านดินเทพผีร่ำไห้ได้มากที่สุด เชื่อว่าเมื่อรายงานขุนเขาสายน้ำได้รับอนุญาตอีกครั้ง หัวกำแพงเมืองสองท่อนของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ ตัวอักษร ‘เหมิ่ง’ (ห้าวหาญ) นั้น จะต้องได้รับคำกล่าวที่เต็มไปด้วยความหมายของการอึ้งตะลึงอย่าง ‘หลิวชา’ มานับไม่ถ้วนแน่นอน

จั่วโย่ว

ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด ถูกมองเป็นผู้ที่เวทกระบี่สูงส่งที่สุดในใต้หล้าไพศาล และยิ่งเป็นเซียนกระบี่ที่ไม่ชอบยิ้มแย้มพูดคุย ใจร้อนเจ้าอารมณ์ที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ และก็เป็นคนคนหนึ่งที่ยามเข่นฆ่าขึ้นมามี ‘มาดของเซียนกระบี่’ มากที่สุด เล่าลือกันว่าบนสนามรบเคยมีวีกรรรมที่คนคนเดียวถามกระบี่ต่อสิบสี่บัลลังก์ราชาในเวลาเดียวกัน และจั่วโย่วที่อยู่นอกมหาสมุทรของทักษินาตยทวีปส่งหนึ่งกระบี่อยู่ไกลๆ ซัดเซียวสวิ้นร่วงลงไปยังก้นมหาสมุทรลึก ก็ยิ่งเป็นภาพแห่งความยิ่งใหญ่ตระการตาที่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนได้เห็นกับตาตัวเอง

กำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ห้าท่าน สามบินทะยาน หนึ่งเซียนเหริน หนึ่งหยกดิบ

ทว่าคนที่ขอบเขตต่ำที่สุด เฉินผิงอันมือกระบี่ชุดเขียวที่อายุน้อยที่สุดกลับยืนอยู่ตรงกลาง อีกทั้งเมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของผู้คนกลับไม่ให้ความรู้สึกเกะกะไม่เข้าพวกแม้แต่น้อย

ประเด็นสำคัญคือผู้ฝึกกระบี่ทั้งสี่คนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้เลยสักนิด

แม้จะบอกว่าใจคนมีแค่หนังหน้าท้องกางกั้น ผู้ฝึกตนบนยอดเขาส่วนใหญ่มักจะอบรมบ่มเพาะนิสัยใจคอมาอย่างดีเยี่ยม ทว่าเมื่อผู้ฝึกกระบี่ห้าคนยืนเคียงบ่ากัน มหามรรคากลับสอดคล้อง ปณิธานกระบี่กลมเกลียว นี่ไม่มีทางเป็นการเสแสร้งไปได้

ต่อให้เป็นจั่วโย่วที่ทำให้ ‘ตัวอ่อนเซียนกระบี่’ ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลายเป็นเรื่องตลก อีกทั้งยังมีสถานะเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักสายบุ๋นกับเฉินผิงอัน เวลานี้ก็ยังทำเพียงแค่ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเท่านั้น

ความยโสทระนงตนของผู้ฝึกกระบี่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้หล้าไพศาลกระจ่างชัดเจนดีอยู่ในใจ ถึงขั้นที่ว่ายังมีผู้ไปเยือนหลายคนเคยไปประสบความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงอยู่ที่นั่น หลังจากที่ทำได้เพียงกลับคืนมายังบ้านเกิด อย่างมากสุดก็ได้แต่ทำตัวเหมือนแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ระบายทุกข์ฟ้องอาจารย์และสหายรัก แต่กลับไม่มีความกล้าและความสามารถมากพอที่จะแก้แค้น

ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่ยอมรับในเรื่องตัวตน ชื่อเสียง ไม่ยอมรับในเรื่องสำนักหรือที่พึ่ง ยอมรับกันแค่เรื่องของเวทกระบี่ ยอมรับแค่เรื่องผลงานทางการสู้รบเท่านั้น

บวกกับเฉินผิงอันที่อยู่ตรงกลาง

ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนนี้

ก็เหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่ง เหมือนฟ้าดินปราณกระบี่ที่ไร้ศัตรูทัดเทียมแห่งหนึ่ง

ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ ไม่ว่าจะผสานมรรคากับฟ้าอำนวย ดินอวยพรหรือคนสามัคคี มาเป็นศัตรูกับพวกเขาก็ต้องตายเหมือนกันโดยไม่ต้องสงสัย

ช่วงต้นของการประชุม คนกลุ่มน้อยที่ถูกผู้คนมองมามากที่สุด หากไม่เป็นคนที่ตบะหรือขอบเขตสูง ขณะเดียวกันยังเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับคนอื่นดีเยี่ยมมากพอ

ยกตัวอย่างเช่นอวี๋เสวียนที่เริ่มผสานมรรคากับธารดวงดาวนอกฟ้า ผู้ฝึกตนใหญ่ที่จะต้องกลายเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างแน่นอน คำเรียกขานที่ว่าฝูลู่อวี๋เสวียน (อวี๋เสวียนแห่งสายยันต์) นี้ก็มีแต่จะยิ่งสมชื่อสมคำเล่าลือมากขึ้น

แน่นอนว่ายังมีฮว่อหลงเจินเหรินที่ชอบเดินทางไปทั่วเก้าทวีปของไพศาล อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยนั่งเรือข้ามฟากข้ามทวีปมาก่อน สายตาของเขากวาดมองคนครึ่งวงกลมไปอย่างว่องไว นอกจากอริยะปราชญ์แล้ว ผินเต้ามองใคร ใครกล้าไม่มองผินเต้า ผินเต้าก็จะไปเป็นแขกถึงบ้านคนนั้น เพิ่มความสัมพันธ์ควันธูป หลีกเลี่ยงไม่ให้ในอนาคตต้องเจอกับสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนที่ยืนอยู่ตรงข้ามแต่ดันไม่รู้จักกันเช่นนี้อีก

ไม่อย่างนั้นก็คนแปลกหน้าบนภูเขาที่อายุยังน้อย ขณะเดียวกันก็ได้ลุกผงาดโดดเด่นท่ามกลางสงครามครั้งนี้ อายุน้อยแต่คุณูปการกลับยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าอนาคตต้องยาวไกลไร้ขีดจำกัด

ยกตัวอย่างเช่นเฉาสือ หยวนพางและสวี่ป๋ายที่บ้านเกิดคือใต้หล้ามืดสลัว

สำหรับผู้ฝึกตนอายุน้อยทุกคนที่ได้เข้าร่วมการประชุม คำว่าอายุน้อยก็คือต่ำกว่าห้าร้อยปีลงไป ล้วนถือว่าอายุน้อย วันนี้สามารถมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ ก็เท่ากับว่าได้รับยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดไปจากใต้หล้าไพศาลแล้ว

แน่นอนว่าเฉาสือต้องเป็นข้อยกเว้น ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนี้ ไม่ต้องการ

สุดท้ายในนาทีนี้ ทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมล้วนเพ่งสายตามายังจุดเดียวกัน ต่างคนต่างความคิด ต่างความรู้สึก

ต่างก็มองไปยังผู้ฝึกกระบี่คนที่ห้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนั้น

เฉินผิงอัน

มีชาติกำเนิดมาจากตรอกเก่าโทรมยากจนในถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป ภูมิลำเนาคืออำเภอไหวหวง ถือเป็นคนของราชวงศ์ต้าหลี ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มก็ชอบออกเดินทางไกล ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่สองครั้ง ครั้งสุดท้ายรั้งอยู่นานหลายปี ใช้สถานะของคนต่างถิ่นเข้าแทนที่ผู้ฝึกกระบี่ทรยศอย่างเซียวสวิ้น แหกกฎรับหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เป็นผู้นำสายอิ่นกวานของคฤหาสน์หลบร้อน ช่วยเฉินชิงตูจัดวางขบวนรบ ออกคำสั่งแก่เซียนกระบี่ โยกย้ายผู้ฝึกกระบี่ คุณูปการทางการสู้รบเกริกก้อง

รองผู้อำนวยการสถานศึกษาคนนั้นพยักหน้า “คิดไม่ถึงจริงๆ”

ฮูหยินภูเขาชิงเสินมองไปยังคนหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาอ่อนโยน แม้ว่ารอยยิ้มจะบางเบา แต่สีหน้าเพียงแค่นี้ก็นับว่าหาได้ยากแล้ว นางอาศัยช่องทางมากมายทำให้ได้รู้จักคนผู้นี้ ฉุนชิงลูกศิษย์ที่กลับมาจากการหาประสบการณ์ก็เคยพูดถึงชุยตงซาน บอกว่าเป็นลูกศิษย์ของคนผู้นั้น และยังมีหม่าขู่เสวียนแห่งแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายหลัง ในฐานะหนึ่งในสิบตัวสำรอง นิสัยของเขาดุร้ายเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง ทยอยเอาชนะเซอเยว่ ชุนฉิงและสวี่ป๋าย ไม่รู้ว่าทำไมพอเจอกับฉุนชิงที่เป็นลูกศิษย์ของนาง หม่าขู่เสวียนถึงได้ทิ้งประโยคนอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉินผิงอันเอาไว้ว่า นังหนูน้อย เรียนวิชาหมัดอะไร แม้แต่ถือรองเท้าให้เจ้าคนแซ่เฉินก็ยังไม่คู่ควร วันหน้าตั้งใจฝึกวิชาให้ดีไปเถอะ

นอกจากนั้นทุกวันนี้คนทั้งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ต่างก็รู้ว่าคนหนุ่มที่มีฉายาว่า ‘เถ้าแก่รอง’ ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อาศัยแผ่นไม้ไผ่ไม่กี่แผ่นมาขายเหล้าภูเขาชิงเสิน ขายอย่างไม่ละอายใจแม้แต่น้อย ทว่าพวกผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับชอบกันอย่างมาก ชอบมาถือถ้วยเหล้านั่งยองดื่มอยู่ข้างทาง ทั่วทั้งใต้หล้า คาดว่าคงมีเพียงร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนั้นเท่านั้นที่กินผักดองแกล้มกับเหล้าภูเขาชิงเสิน เป็นบัณฑิตที่เคยเดินทางไกลไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นเดียวกัน ทว่ากลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

จวี้จื่อคนปัจจุบันของสำนักโม่กลับไม่รู้สึกสงสัยในคำกล่าวของซิ่วไฉเฒ่าที่บอกว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขาให้ความสนใจกับสามเปี๋ยโม่ (หมายถึงสำนักโม่สายอื่นที่ไม่ใช่สำนักโม่สายแท้ดั้งเดิม) แล้วยังเคยศึกษาเรื่องของนักโต้วาทีและเรื่องราวในประวัติศาสตร์สิบเรื่อง เพียงแต่ว่าเรื่องอื่นๆ อย่างเช่นอะไรที่บอกว่าลูกศิษย์คนนั้นของข้าอายุน้อยๆ ก็เลื่อมใสในทฤษฎีการโต้แย้งอภิปรายของสำนักโม่แล้ว แล้วยังศึกษาอย่างลึกซึ้ง อะไรที่บอกว่าใช้คำนิยามมาสะท้อนสิ่งที่มีอยู่จริง จำแนกสิ่งของประเภทเดียวกันให้อยู่ด้วยกัน สายตาเฉียบคมไม่เหมือนใคร ไม่พ่ายแพ้ให้แก่ผู้มีความรู้คนใดในสามสายของสำนักโม่พวกเจ้าเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำกล่าวที่ว่าเงาของนกบินกับนกบินล้วนเหมือนกัน ต่างก็ไม่ขยับเขยื้อน ที่เกือบจะสอดคล้องกันอยู่ไกลๆ มีลางของการบรรลุมรรคาที่มองน้ำก็เห็นเงาแล้ว ดังนั้นวิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของลูกศิษย์ข้า ต้องบอกว่าคำกล่าวนี้ของสำนักโม่มีคุณูปการอย่างมาก ดังนั้นอีกเดี๋ยวเจ้าก็ยิ่งควรจะไปอยู่ข้างกายลูกศิษย์ของข้า คนหนึ่งเอ่ยขอบคุณ คนหนึ่งรับคำขอบคุณ ก็ถือเป็นเรื่องเล่าที่งดงามเรื่องหนึ่ง สหายต่างวัยนี่นะ หรือจะเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องก็ยังได้ เจ้าอย่าไปมัวสนเรื่องลำดับอาวุโสอะไรวุ่นวายพวกนั้นเลย…จวี้จื่อท่านนี้แค่รับฟังคำพูดไร้แก่นสารเลื่อนเปื้อนยามที่ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าเมามายเข้าหูแล้วปล่อยผ่านไปเท่านั้น

เผยเปยหันหน้าไปยิ้มบางๆ ให้เฉาสือ “เป็นอย่างไร?”

เฉาสือเอ่ย “สามารถถามหมัดแบ่งแพ้ชนะกันสักครั้งได้ เงื่อนไขก็คือเฉินผิงอันต้องเต็มใจด้วย”

ความสูงต่ำของวิชาหมัดระหว่างคนวัยเดียวกันสองคน อันที่จริงไม่ต้องถามหมัด เฉาสือคือกลับสู่ความจริงขั้นสูงสุดของขอบเขตปลายทางแล้ว ทว่าเฉินผิงอันยังเป็นแค่ปราณโชติช่วงสมบูรณ์แบบของขอบเขตสิบเท่านั้น

ทว่าเฉาสือกลับบอกว่าหากคิดจะแบ่งแพ้ชนะ จำเป็นต้องถามหมัด

ระหว่างผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนที่ระดับความสูงของวิชาหมัดสูสีกัน แทบจะไม่เคยเอ่ยคำพูดเกรงใจตามมารยาท ไม่พิถีพิถันเรื่องความสุภาพสง่างามระหว่างการคบหากันของวิญญูชน ไม่มีน้ำใจและความปรองดองจอมปลอม คนหนึ่งถามหมัดอย่างเต็มกำลัง คนหนึ่งรับหมัดอย่างเต็มฝีมือ ก็คือการให้ความเคารพที่ใหญ่ที่สุดของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้เวลาพูดคุยกันยามปกติ ส่วนมากก็มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกัน ก็เหมือนตอนที่หวังฟู่ซู่พูดถึงหลี่เอ้อ สามารถพูดโอ้อวดอย่างไม่ละอายว่า ‘ไม่อย่างไร’ แต่ก็เป็นการยอมรับว่าตัวเองฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ และยังมีในอดีตนานกว่านั้นตอนที่ชุยเฉิงอยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ บอกว่าเป้าประสงค์ของปณิธานหมัดวิชาหมัดเขย่าขุนเขาสูงมาก แต่ก็พูดด้วยว่ากระบวนท่าหมัดสามัญธรรมดาอย่างยิ่ง

เผยเปยเอ่ย “หมัดแบ่งแพ้ชนะ ไม่มีอะไรน่าลุ้นสักเท่าไร”

จู่ๆ เฉาสือก็ถอนหายใจ มองฝักไม้ไผ่ของกระบี่ประจำตัวอาจารย์ตัวเอง เอ่ยว่า “หากไม่ผิดไปจากที่คาด อาจารย์จะต้องถูกถามหมัดแล้ว”

เผยเปยยิ้มเอ่ย “ติดหนี้ต้องใช้คืน ติดหมัดต้องคืนด้วยหมัด”

ซ่งจ่างจิ้งมีสีหน้าเฉยเมย เพียงแค่คิดถึงเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานในเมืองเล็กของปีนั้นที่เคยเอาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองสามถุงมาหาตน ขอให้ ‘ใต้เท้าซ่ง’ เช่นเขาช่วยทวงความยุติธรรมให้ เด็กหนุ่มรองเท้าเตะของตรอกหนีผิงในเวลานั้นคิดอยากจะขอความเป็นธรรมอย่างที่ใจต้องการ ก็ได้แต่ขอร้องคนอื่น แล้วยังต้องมอบเงินให้

ทว่าลูกศิษย์เตาเผามังกรในเวลานั้น ยามที่พูดคุยเรื่องการค้ากับคนอื่นกลับมีความสุขุมเยือกเย็นมากแล้ว กล้าสละชีวิตไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่ทำอะไรโดยใช้อารมณ์ หลังจากนั้นเด็กหนุ่มที่สะพายคันธนูร่วมมือกับหนิงเหยาทุ่มชีวิตต่อสู้กับ ‘บรรพบุรุษย้ายภูเขา’ ของภูเขาตะวันเที่ยง อันที่จริงซ่งจ่างจิ้งล้วนเห็นอยู่ในสายตาตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าการที่เฉินผิงอันเดินทีละก้าวจนมาถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้ได้ ซ่งจ่างจิ้งก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่มาก

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!