กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 786

และยังมีบางคนที่ไม่ยินดีจะเปิดปากพูดโดยพลการ นี่เป็นญัตติแรกที่ศาลบุ๋นเสนอออกมาอย่างเป็นทางการในวันนี้ เวลาเช่นนี้ใครลุกเดินออกมา แสดงท่าทีคลางแคลง ก็ง่ายที่จะต้องเจอเรื่องซวย ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสำนักของสำนักที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับราชวงศ์ล่างภูเขาทั้งหลาย ไม่ว่าการฝึกตนบนภูเขาในยามปกติจะมีสายตา มีท่าทีต่อล่างภูเขาอย่างไร ทว่าเจ้าสำนักทุกท่านล้วนเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างชัดเจนดี การฝึกตนในใต้หล้า การที่สำนักแห่งหนึ่งจะยืนหยัดได้ แท้จริงแล้วราชวงศ์และมนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาต่างหากถึงจะเป็นต้นกำเนิดน้ำเป็นที่ไหลขึ้นสู่เบื้องบน การฝึกตนบนภูเขาเพื่อพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ แตกกิ่งก้านสาขา ต้องมีคนรุ่นหลัง ศาลบรรพจารย์จำเป็นต้องมีผู้สืบทอด ทำเนียบหยกทองทุกฉบับบนภูเขาล้วนจำเป็นต้องเพิ่มชื่อลงไปในหน้าท้ายๆ ในหนึ่งสำนักหนึ่งตระกูล ส่วนใหญ่แล้วบนภูเขาต้องมีต้นไม้มากมายกลายเป็นผืนป่า ผู้ฝึกตนใหญ่ก็ต้องการลูกศิษย์มาสืบทอดวิชาแต่ละแขนงของตนออกไป ไม่ปล่อยให้ควันธูปขาดสะบั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลชนชั้นสูงทั้งหลายที่หยั่งรากลึกยาวนานนับพันปี อันที่จริงกลับมีความคิดและอยากจะพูดในเรื่องนี้มากที่สุด ทว่าก็ยังคงไม่มีใครบุ่มบ่ามเปิดปากพูดออกมา

หลี่เซิ่งยิ้มเอ่ยเนิบนาบว่า “ไม่ต้องเกร็งกันมากนัก จะยืนจะนั่งล้วนตามแต่ใจ ขอบเขตบินทะยานไม่ต้องกดภาพบรรยากาศของผู้ฝึกตนเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธก็ไม่ต้องจงใจควบคุมพลังอำนาจบนร่าง ผู้ฝึกกระบี่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำทั้งหลายก็ใช้หลักการเดียวกัน”

สถานที่ประชุมคือลานกว้างของศาลบุ๋น แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนล้วนอยู่ในฟ้าดินของหลี่เซิ่ง

ฝูลู่อวี๋เสวียนเป็นคนแรกที่ร่ายเวทคาถานั่งลงขัดสมาธิ ถอนเวทอำพรางตาออกไปอย่างเงียบเชียบ ชุดคลุมเต๋าสีม่วงตัวหนึ่งที่กว้างหลวม ด้านหลังของชุดวาดเป็นรูปปลาหยินหยางสองสีขาวดำ

น้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ห้อยไว้ตรงเอวก็เริ่มปลดปล่อยประกายแสงดาวเจิดจ้า ราวกับว่าหลอมธารดวงดาวพร่างพราวเส้นหนึ่งได้สำเร็จแล้ว

ฮว่อหลงเจินเหรินก็ตามหลังมาติดๆ ลอยตัวนั่งอยู่กลางอากาศ สองมือวางทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้องเริ่มงีบหลับ กึ่งหลับกึ่งตื่น มังกรเพลิงสองตัวที่อยู่บนชายแขนเสื้อสองข้างเริ่มเลื้อยออกมาช้าๆ

เทียนซือใหญ่คนปัจจุบันของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ที่สะพายกระบี่ไม้ท้อไม่ใช่กระบี่เซียนว่านฝ่าก็เริ่มนั่งลงเช่นเดียวกัน มีเบาะรองนั่งใบหนึ่งโผล่ออกมา จ้าวเทียนไล่เริ่มเข้าฌานทำสมาธิ

ไม่รู้ว่าเหตุใดกวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กคล้ายจะได้รับบาดเจ็บไม่เบา ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนนี้ก็ไม่ทำตัวเกรงใจ เรียกกระจกที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานเก่าแก่โบราณอันหนึ่งออกมาโดยตรง แล้วเริ่มรักษาบาดแผล กระจกบานหนึ่งที่ถูกปีศาจใหญ่ซึ่งมีฉายาว่าโยวหมิงตนนี้หลอมใหญ่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต แต่กระนั้นเมื่อเทียบกับเรือนกายของเจ้าของมันแล้ว มันก็ยังคงใหญ่โตเหมือนเนินเขาลูกหนึ่งอยู่ดี

ไหวอินแห่งตำหนักเฟยเซียนนั่งลงบนเตียงหลังเล็ก

หลิวทุ่ยผู้ฝึกตนใหญ่แห่งฝูเหยาทวีปที่มีใบหน้าเป็นเด็กหนุ่มหน้าเหยี่ยวก็นั่งลง ด้านหน้าวางโต๊ะตัวหนึ่ง กับกระถางธูปหนึ่งใบที่ควันธูปสีม่วงลอยกรุ่น

คนหลายคนที่เดิมทีคิดจะเอาอย่าง ทำตัวตามสบายบ้าง พอเห็นภาพเหตุการณ์ทางฝั่งของกวอโอ่วทิงแล้ว ส่วนใหญ่หลังจากสองจิตสองใจอยู่พักหนึ่งก็ยังคงเลือกที่จะยืนอยู่เหมือนเดิม

เพราะหลังจากที่กวอโอ่วทิงเรียกบรรพบุรุษกระจกส่องมารที่ชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วหล้าบานนั้นออกมา กระจกก็ใหญ่ราวเบาะรองนั่ง ทว่าร่างของกวอโอ่วทิงกลับเปลี่ยนเป็นเล็กเท่าเมล็ดงา

ไม่ใช่ว่ากวอโอ่วถิงตั้งใจร่ายวิชาอภินิหารเพื่อแสดงความเคารพต่อหลี่เซิ่งอะไร และหลี่เซิ่งเองก็ไม่ได้จงใจเป็นปรปักษ์กับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตบินทะยานตนนี้

ฟ้าดินของอริยะ กฎเกณฑ์เป็นไปตามธรรมชาติ

เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวเอาสองมือไพล่หลัง มองประเมินบุคคลที่อยู่สองฟากฝั่งอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ มองพวกเกาเจินลัทธิเต๋าที่ภาพบรรยากาศแตกต่างกันไป แล้วก็หันไปมองภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธบ้าง

เจิ้งจวีจงย่อมมีความสามารถในการมองเห็นกายธรรมของนักพรตและรัศมีทรงกลดของภิกษุสมณศักดิ์สูง

นอกจากภิกษุเหลี่ยวหรานแห่งวัดเสวียนคงที่มือหนึ่งถือประคองใบไม้หนึ่งใบ กำลังก้มหน้าเพ่งสายตามองนิ่ง คิดว่าจะทำอย่างไรใบไม้บนฝ่ามือถึงจะกลายเป็นใบไม้บนต้นไม้แล้ว

ก็ยังมีภิกษุอีกคนหนึ่ง ข้างกายมีลำธารเส้นเล็กบางคล้ายแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลริน คล้ายกับถูกภิกษุใช้พระธรรมดักกั้นเอาไว้ให้โอบล้อมไปรอบกาย กระแสน้ำไหลรินช้าๆ แบ่งออกเป็นตัวอักษรสีทองสามคำว่ากู้ เจี้ยน อี๋ ที่ตั้งตระหง่านไม่เคลื่อนไหว ด้านหลังภิกษุถึงกับมีรัศมีแสงกายธรรมของจักรพรรดิโอรสสวรรค์แห่งโลกมนุษย์ที่พร่าเลือนปรากฎขึ้นมา

ภิกษุรูปหนึ่งที่อยู่ข้างกาย กายธรรมที่จำแลงออกมาด้านหลัง คือแม่ทัพบู๊น่าเกรงขามคนหนึ่ง มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งกดกระบี่ยาว ตรงข้างเท้ามีสิงโตนอนหมอบอยู่กับพื้น

ภิกษุอีกคนหนึ่งก้มหน้าลงต่ำ พนมสิบนิ้ว กายธรรมด้านหลังที่จำแลงออกมาลักษณะคล้ายผู้เฒ่าชาวนาที่กำลังเดินอยู่กลางคันนา แต่ละก้าวรอบคอบสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว

และยังมีภิกษุวัยชราแก่หง่อมอีกคนหนึ่งที่เรือนกายผ่ายผอม ดังนั้นใจจึงมีสามคำถามแห่งพระธรรม ตัวอักษรเหล่านั้นแสดงออกเป็นลูกประคำสามพวง ประหนึ่งด่านตัวอักษรสามแห่ง เหล่าพุทธศาสนิกชนในใต้หล้าจึงมองมันเป็นด่านสามแห่งของหวงหลง (มังกรเหลือง)

อาจารย์ต่งเจ้าลัทธิศาลบุ๋นเปิดปากพูดเนิบช้าว่า “เรื่องที่สอง การสร้างเทวรูปของเหวินเซิ่งขึ้นมาใหม่ ตำแหน่งตั้งบูชาในศาลบุ๋นจะไม่เปลี่ยน”

จั่วโย่ว หลิวสือลิ่ว เฉินผิงอัน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนนี้หันไปคารวะอาจารย์ของตนแทบจะเวลาเดียวกัน

หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่ง เจ้าลัทธิศาลบุ๋นสามคน อริยะปราชญ์ลัทธิงจื๊อทุกคน นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคนต่างก็หันมาหาซิ่วไฉเฒ่า บ้างก็กุมหมัด บ้างก็พนมมือ บ้างก็ก้มศีรษะ บ้างก็ประสานมือคารวะ

ซิ่วไฉเฒ่ารับการคารวะนี้อย่างผึ่งผายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

พูดกันตามจริง มีพิธีการใหญ่อะไรบ้างที่ซิ่วไฉเฒ่าไม่เคยผ่านมาก่อน มีคลื่นมรสุมใหญ่อะไรบ้างที่ไม่เคยประสบมาก่อน งานโต้วาทีของสามลัทธิเขาชนะไปสองครั้ง การประชุมในศาลบุ๋นมีนับครั้งไม่ถ้วน การไปให้ความรู้ที่สำนักศึกษาสถานศึกษาก็มีครั้งแล้วครั้งเล่า ศึกตรีจตุครั้งหนึ่งทำให้เทวรูปถูกย้ายออกมาจากศาลบุ๋น ถูกทุบทำลายจนสิ้น ลูกศิษย์ลูกหากระจัดกระจายกันไปทั่วสารทิศ ซิ่วไฉเฒ่าผสานมรรคากับขุนเขาสายน้ำของสามทวีป เคยกระชากแขนเสื้อปรมาจารย์มหาปราชญ์ เคยทะเลาะกับหลี่เซิ่งหน้าดำหน้าแดง เคยใช้หนึ่งเท้ากระทืบภูเขาลูกหนึ่งของแผ่นดินกลาง เคยยืดคอยาวไปยังม่านฟ้าขอให้เต๋าเหล่าเอ้อฟันลงมา…

ทว่าวันนี้อาจเป็นเพราะลูกศิษย์ทั้งสามคนอยู่ด้วย ซิ่วไฉเฒ่าจึงได้มีสีหน้าจริงจังเป็นพิเศษ

สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าประสานมือคารวะกลับคืนแก่ทุกคน

ซิ่วไฉเฒ่าที่เป็นเช่นนี้ อันที่จริงมีให้เห็นไม่บ่อยนัก

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตอนที่ยังเป็นเหวินเซิ่ง วิชาความรู้เลิศล้ำดุจเทพเทวดา ดุจดั่งตะวันกลางนภา

ในเวลานั้นยามที่นั่งลงถกปัญหากับซิ่วไฉเฒ่าก็แทบจะทำได้แค่เพียงคิดว่าจะแพ้ให้น้อยหน่อยอย่างไร

อาเหลียงหัวเราะหึหึ “น่ายินดีน่าชื่นชม ในที่สุดซิ่วไฉเฒ่าก็มีขาใหญ่ๆ ของตำแหน่งขุนนางแล้ว วันหน้าทะเลาะกับใครที่ศาลบุ๋น ข้าก็มีความมั่นใจแล้ว ข้ากับซิ่วไฉเฒ่าร่วมมือกัน ใต้หล้าไร้ศัตรูทัดทาน”

ขอแค่มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่ด้วย รับรองว่าคนคนเดียวท้าทายคนได้กลุ่มใหญ่ เขาอาเหลียงก่อเรื่องกลับกลายเป็นว่าสามารถยกม้านั่งมานั่งรอชมเรื่องสนุกได้เลย

แต่ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ปีนั้นก็เคยมีผู้ฝึกกระบี่เขียนประโยคหนึ่งที่คล้ายคลึงกันนี้ลงไปบนป้ายสงบสุข ข้ากับอาเหลียงร่วมมือกัน สามารถสังหารปีศาจใหญ่บินทะยาน

และยิ่งมีผู้ฝึกกระบี่ที่ทิ้งประโยคจากใจจริงเอาไว้ว่า หากในอนาคตอาเหลียงเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ จะต้องผสานมรรคากับหนังหน้าแน่นอน

จากนั้นก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่กล้าลงนาม อาศัยสุรารสแรงมาปลุกความกล้า และฉวยโอกาสที่ตอนนั้นเถ้าแก่รองไม่มานั่งยองขอเหล้าคนอื่นดื่มอยู่ที่ร้าน เขียนประโยคหนึ่งลงไปด้านข้างป้ายสงบสุขปลอดภัยอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า ผายลมมารดาเจ้าสิ นี่คือการช่วงชิงกันบนมหามรรคา เจ้าชาติสุนัขไม่มีทางสู้เถ้าแก่รองได้แน่

จั่วโย่วเอ่ยเสียงเย็น “จริงจังหน่อย”

อาเหลียงบ่น “คนจริงจังเช่นข้านี้ เจ้าจะไปหาที่ไหนได้อีก อ้อ มีเพียงตอนดื่มเหล้าเท่านั้นถึงจะคิดให้ข้ามาจ่ายเงิน เวลาด่าคนกลับไม่ยอมให้ข้าอาศัยใบบุญบ้างหรือ ชื่อเสียงประดุจหยกขาวที่มีจุดด่างพร้อยเล็กน้อยของข้าอาเหลียงได้มาอย่างไร ก็ไม่ใช่เพราะว่าติดเงินค่าเหล้าน้อยนิดนั่นหรือไร?”

จั่วโย่วจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก คร้านจะพูดจาไร้สาระกับเขา

อาเหลียงเอนตัวไปด้านหลัง มองลู่จือ เจ้าพวกชายแก่โสดขึ้นคาน แล้วก็เจ้าพวกลูกกระต่ายน้อยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งหลาย ล้วนมีแต่พวกหัวทึบกันทั้งนั้น ไม่รู้หรือว่าความงามเลิศล้ำของพี่หญิงลู่จือต้องมองจากข้างหลัง?

ลู่จือยังคงหลับตา แต่กลับพูดว่า “อยากโดนฟันรึ?”

อาเหลียงเก็บสายตากลับมา ใช้สองมือขยับคอเสื้อชุดลัทธิขงจื๊อ ดูสินี่ เพียงแค่เปลี่ยนการแต่งตัวใหม่ พี่หญิงลู่จือก็ไม่กล้ามองตนมากเกินไปเสียแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!