ตอนนั้นหากฉีถิงจี้ผิดคำสัญญาที่มีต่อเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า ก็จะกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างสมชื่อ รวบรวมโชคชะตาไว้กับตัวย่อมเกิดเรื่องไม่คาดฝันติดต่อกัน เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่เต็มไปด้วยทะเยอทะยานผู้นี้จะเปลี่ยนนครบินทะยานให้กลายมาเป็นหินรองฝ่าเท้า กลายมาเป็นเส้นทางในการเดินขึ้นฟ้าของขอบเขตสิบสี่ และด้วยนิสัยเหี้ยมอำมหิตของฉีถิงจี้ บวกกับรากฐานบนวิถีกระบี่ของเขา การเดินขึ้นสู่ที่สูงย่อมราบรื่นอย่างแน่นอน โชคดีที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สุดท้ายแล้วฉีถิงจี้ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
ส่วนใจเห็นแก่ตัวส่วนนั้นของอิ่นกวานหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นหรือเซียนกระบี่ต่างถิ่นต่างก็รู้ชัดเจนกันดี
เพราะถึงอย่างไรมันก็คือผลลัพธ์จากการที่เฉินผิงอันเอาชีวิตของตัวเองไปแลกมา หนิงเหยาเองก็ไม่ได้ทำให้เขาและนครบินทะยานผิดหวัง นางที่อยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้าฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกัน หยกดิบ เซียนเหริน บินทะยาน บุกรุดหน้าไปราวกับผ่าลำไม้ไผ่
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เดิมทีก็เป็นขอบเขตบินทะยาน ละเมิดกฎของศาลบุ๋นบุกเข้ามาโดยพลการ หากลงมือกระทำการใดๆ โดยอาศัยขอบเขตของตัวเองในใต้หล้าใหม่เอี่ยม จะชักนำความเป็นศัตรูตามธรรมชาติมาจากกองกำลังทั้งหมดที่เหลือ
และใต้หล้ามืดสลัวกับดินแดนพุทธะสุขาวดีจะต้องมีคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อเรื่องนี้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นใต้หล้าแห่งนี้จะเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง การช่วงชิงอำนาจใหญ่ของนครบินทะยานก็ยากที่จะมีเหตุผลชอบธรรมได้อีก
พูดถึงแค่ฝ่ายในของนครบินทะยาน เฉินซีกับฉีถิงจี้ หนิงเหยาและตลอดทั้งสายของอิ่นกวานกับฉีถิงจี้ จะเกิดความขัดแย้งกันเองอย่างใหญ่หลวง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ฉีถิงจี้ยินดีฝืนนิสัยตัวเองเลือกก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในใต้หล้าไพศาล นี่ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “กลุ่มของเซียนกระบี่ที่ออกเดินทางไกลที่ทุกวันนี้อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ภูเขาลั่วพั่วจะไม่แย่งคนกับสำนักกระบี่หลงเซี่ยงอีก อีกทั้งนี่คือความเคารพนับถือที่ผู้อาวุโสสมควรได้รับ ผู้เยาว์ไม่อาจแย่งชิงมาได้”
เซียนกระบี่เดินทางไกลที่เป็นฝ่ายยอมสละสถานะอำพรางตัวตนเหล่านั้น แม้ว่าจะได้รับคำสั่งลับจากเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจึงไม่เคยลงสนามรบ และจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่แน่เสมอไปที่ทุกคนจะยินดีมาเยือนใต้หล้าไพศาลที่ตัวเองขัดหูขัดตา ไม่แน่ว่าสงครามใหญ่ปิดฉากลง เซียนกระบี่หลายคนก็อาจจะกลับคืนใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว ทว่าก็จะต้องมีเซียนกระบี่กลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งที่ไม่ถือสาหากจะมาเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่ออยู่ในสำนักกระบี่หลงเซี่ยงหรือภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเดาเอาว่าฉีถิงจี้ได้แอบติดต่อพวกเขาอย่างลับๆ แล้ว เพียงแค่รอให้ถึงโอกาสเหมาะสมเท่านั้น เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นดั่งหินที่ผุดออกมาหลังน้ำลด
ดังนั้นคำพูดประโยคนี้ของเฉินผิงอันจึงเป็นทั้งคำพูดที่ฟังไพเราะสวยงาม แล้วก็เป็นคำพูดจากใจจริงด้วย
เพราะสำนักกระบี่หลงเซี่ยงที่อยู่ในทักษินาตยทวีปก็เหมือนว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้นได้เลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างแห่งแรกอยู่ที่ไพศาล
ฉีถิงจี้ยิ้มอย่างรู้ทัน “หากมีคนยินดีไปพักอาศัยที่ภูเขาลั่วพั่ว รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานก็ดี เค่อชิงก็ช่าง ข้าล้วนยินดีที่จะให้เป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไรน้ำดีก็ไม่ควรปล่อยให้ไหลเข้านาคนอื่น ล้วนถือเป็นคนครอบครัวเดียวกันครึ่งตัว”
นี่เรียกว่ามีมารยาทมาก็มีมารยาทกลับ
เป็นอย่างที่เฉินผิงอันคาดเดาไว้จริงๆ ฉีถิงจี้แอบติดต่อกับเซียนกระบี่กลุ่มนั้นอย่างลับๆ มานานแล้ว สามคนในนั้นยินดีรับหน้าที่เป็นเค่อชิงของสำนักกระบี่จริงๆ และยังมีอีกสองคนที่สนใจในภูเขาลั่วพั่วมากกว่า เพียงแต่ไม่เคยได้ยินข่าวที่แน่ชัดว่าอิ่นกวานหนุ่มกลับบ้านเกิดไปแล้ว ดังนั้นจึงยังไม่ได้เริ่มออกเดินทาง
วันนี้หลังจากเปิดใจกับอิ่นกวานหนุ่มแล้ว เมื่อฉีถิงจี้กลับไปถึงทักษินาตยทวีปก็จะส่งกระบี่บินลับแจ้งข่าวไปยังเซียนกระบี่สองท่านนั้น
ส่วนเหตุใดถึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเฉินผิงอันทันที เพราะนั่นจะเป็นการเผยไต๋ออกมามากเกินไปหน่อย
บุญคุณความแค้นส่วนบุญคุณความแค้น แผนการส่วนแผนการ
ทว่าฉีถิงจี้และเฉินผิงอันต่างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ก็เหมือนอย่างที่ฉีถิงจี้เอ่ยกับลู่จือกับปากตัวเอง ตนไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น เขารับปากไปแล้วว่าจะไม่ทำให้อาจารย์ลู่ต้องลำบากใจ
อันที่จริงการที่เฉินผิงอันโน้มน้าวให้เส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานมารับหน้าที่เป็นเค่อชิงของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงก็ถือว่าเป็นการแสดงออกถึงแนวโน้มในการเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันแล้ว
เส้าอวิ๋นเหยียนทำหน้าที่เป็นเค่อชิงบ้านตนมีความหมายลึกล้ำยาวไกลยิ่ง ไม่ใช่เพราะสำนักกระบี่หลงเซี่ยงรีบร้อนต้องการเค่อชิงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง แต่เป็นเพราะเส้าอวิ๋นเหยียนที่อยู่ในเรือนชุนฟานของภูเขาห้อยหัวได้ทำกิจการมานานหลายปี ต้อนรับขับสู้ผู้คน บวกกับการค้าขายน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หลายลูกจากเถาน้ำเต้าเส้นนั้น ความสัมพันธ์ควันธูปที่ผูกไว้กับสำนักยอดเขาของไพศาลจึงถือว่าไม่ธรรมดา อันที่จริงตอนนั้นที่เส้าอวิ๋นเหยียนไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว ฉีถิงจี้ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าเซียนกระบี่ท่านนี้จะไปแล้วไม่กลับมา มีเพียงถัวเหยียนฮูหยินเท่านั้นที่กลับมายังสำนัก คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะมอบความยินดีที่ไม่คาดฝันซึ่งเป็นเรื่องไม่เล็กให้เขา เส้าอวิ๋นเหยียนถึงขั้นรับปากเขาเป็นการส่วนตัวว่าจะทำหน้าที่เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสำนักชั่วคราวร้อยปี รอกระทั่งฉีถิงจี้หาคนที่เหมาะสมได้แล้ว เส้าอวิ๋นเหยียนค่อยลาออกจากตำแหน่งนี้
เฉินผิงอันถาม “ภูเขาลั่วพั่วเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างที่ใบถงทวีป ผู้อาวุโสคิดจะเลือกทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หรือธวัลทวีป?”
ฉีถิงจี้กล่าว “ค่อนข้างยากทั้งสองทาง หนึ่งเพราะจำนวนคนในสำนักยังน้อยเกินไป นอกจากนี้การเปิดสำนักและสำนักเบื้องล่างติดต่อกันเร็วเกินไป ง่ายที่จะชักนำความอิจฉาเคียดแค้นมา สองทวีปนี้สถานการณ์ไม่ค่อยเหมือนกับใบถงทวีปที่เจ้าเลือก”
การพูดคุยและวางแผนที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันตอนนี้ อันที่จริงล้วนเกี่ยวพันไปถึงกิจการร้อยปีพันปีในอนาคต
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย
ฉีถิงจี้ยิ้มเอ่ย “อิ่นกวานมีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ”
เฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างเป็นธวัลทวีปจะราบรื่นอย่างมาก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยากมากแล้วที่สำนักกระบี่หลงเซี่ยงจะได้กลายเป็นสำนักใหญ่แห่งวิถีกระบี่อันดับหนึ่งในไพศาล”
ลู่จือที่เงียบงันมาโดยตลอดพลันลืมตาเปิดปากพูด “อันที่จริงสำนักเบื้องล่างเลือกเป็นที่ฝูเหยาทวีป”
ฉีถิงจี้รู้สึกจนใจเล็กน้อย
อาจารย์ลู่ เจ้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหันข้อศอกออกหาคนนอกมากไปหน่อยกระมัง (เปรียบเปรยว่าลำเอียงเข้าข้างคนนอกมากกว่าคนกันเอง เห็นคนนอกดีกว่าคนกันเอง)
ลู่จือถามอย่างสงสัย “เรื่องนี้พูดไม่ได้หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “หากท่านถามแบบนี้ อะไรที่พูดไม่ได้ก็พูดได้แล้ว”
ฉีถิงจี้พยักหน้ายิ้มบางๆ “จริง”
ลู่จือกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็คุยกันต่อไปเถอะ ข้าจะไม่พูดอะไรแล้ว”
เรื่องที่ปรึกษากันในลำดับถัดมา จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก
ควรจะปฏิบัติต่อเผ่าปีศาจในท้องถิ่นที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลอย่างไร รวมถึงควรจะค้นหาตัวเผ่าปีศาจที่ไม่ทันถอยกลับเข้าไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่ไปหลบเลี่ยงอยู่ตามมหาสมุทรกว้างใหญ่และบนบกของหลายทวีปอย่างไร
พริบตานั้น
ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็กลายมาเป็นจุดรวมสายตาอีกครั้ง รวมไปถึงกวอโอ่วทิงของภูเขาต้นไม้เหล็กที่ก็มีคนหลายคนหันมามองด้วยสายตามีเลศนัย
สุดท้ายทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่นี้ก็เป็นฉีถิงจี้ที่เป็นผู้เปิดปาก ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมอะไร บอกแค่ว่าตำแหน่งที่ตั้งของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงอยู่ติดกับมหาสมุทร ดังนั้นเมื่อนับรวมเขาฉีถิงจี้เข้าไปแล้ว นับตั้งแต่อาจารย์ลู่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ไปจนถึงเค่อชิงเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียน จนไปถึงผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดสิบแปดคนของสำนักกระบี่ที่เพิ่งรับตัวมาได้แค่ไม่กี่ปี ล้วนยินดีออกทะเลไปเข่นฆ่าเผ่าปีศาจที่ซ่อนเร้นอำพรางตัวอยู่ทั้งสิ้น
คำพูดประโยคเดียวนี้ ฉีถิงจี้กล่าวอย่างเฉยเมยไม่ร้อนไม่เย็น แต่กระนั้นกลับยังทำให้คนรู้สึกได้ถึงปราณกระบี่ที่เฉียบคม จิตสังหารที่พุ่งพล่านได้อยู่ดี
เวทกระบี่ของฉีถิงจี้เลิศล้ำ สังหารผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบของแผ่นดินกลางคนหนึ่งไม่ได้ แต่หากจะพูดถึงเรื่องออกกระบี่สังหารปีศาจล่ะก็ เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่มีรูปโฉมอ่อนเยาว์หล่อเหลาผู้นี้กลับไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อย
อิ่นกวานหนุ่มยังคงไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว
เจ้าประมุขคนใหม่ของสกุลเฉินผู้รอบรู้อย่างเฉินฉุนฮว่าก็เอ่ยคล้อยตามฉีถิงจี้ด้วย
ในบรรดาปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ จางเถียวเสีย หวังฟู่ซู่ อู๋ซู ล้วนยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของศาลบุ๋น ออกทะเลสังหารปีศาจ
หลิวทุ่ยรับปากกับศาลบุ๋นว่าภายในเวลาสิบปีเขาจะชะลอการฝึกตนไว้ชั่วคราว รับประกันว่าจะต้องเข่นฆ่าจนฝูเหยาทวีปไม่มีเผ่าปีศาจเซียนดินที่มาจากต่างถิ่นแม้แต่ตนเดียว
เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวได้ยินแล้วก็เงียบงัน เพียงแค่คลี่ยิ้มอบอุ่น
เพราะคำพูดประโยคนี้ของหลิวทุ่ยคือสำลีซ่อนเข็ม มีไอสังหารซุ่มซ่อนอยู่ทั่วทุกแห่ง เหตุผลก็เรียบง่ายยิ่ง ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนในฝูเหยาทวีป กากเดนแทบทั้งหมดที่เหลืออยู่ ทุกวันนี้ก็ล้วนกลายมาเป็น ‘ขุนพลที่รัก’ ใต้บัญชาการณ์ของเจ้านครจักรพรรดิขาวทั้งหมดแล้ว เผ่าปีศาจสังหารปีศาจ
และสำนักกุยหยก เหวยอิ๋งผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบก็รับปากว่าครึ่งหนึ่งของใบถงทวีปโดยนับจากทิศใต้ของราชวงศ์ต้าเฉวียนลงไป จะกลายมาเป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกตนสำนักของตนทยอยกันลงภูเขาไปหาประสบการณ์ สิบปีถึงสามสิบปี จะพยายามกวาดล้างผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่ให้สิ้นซากในรวดเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!