กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 793

สรุปบท บทที่ 793.2 เวทคาถาเซียนเหริน: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 793.2 เวทคาถาเซียนเหริน – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 793.2 เวทคาถาเซียนเหริน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ผู้ฝึกตนหนุ่มของนครดอกบัวที่ลงมือช่วยเหลือตามหลังอวี๋เยว่มาติดๆ มีสีหน้าเคร่งเครียดมากเป็นพิเศษ

การเดินลงบ่อน้ำขุ่นบนภูเขา อันที่จริงมักจะมีปัญหาตามมานับไม่ถ้วนได้เสมอ

หากรู้แต่แรกว่าอีกฝ่ายสามารถมองเมินกระบี่บิน ‘จิงเหนี่ยว’ ของอวี๋เยว่ได้ เมื่อครู่นี้เขาจะไม่มีทางบุ่มบ่ามลงมือเด็ดขาด

ทว่านครดอกบัวของเกราะทองทวีปมีความสัมพันธ์อันดีกับหอเซียนจิ่วเจินของราชวงศ์ต้ายงแผ่นดินกลางมาทุกยุคทุกสมัย เรื่องการค้าก็ยิ่งมีการไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ตามเหตุตามผลแล้วก็ควรต้องลงมือ

ในอดีตทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน ทว่าศึกที่เกราะทองทวีปในครานั้น แม้ว่านครดอกบัวจะรักษาภูเขาเอาไว้ได้อย่างยากลำบาก แต่กระนั้นก็สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล ความเสียหายสาหัสสากรรจ์ เป็นเหตุให้เจ้านครบ้านตนจำต้องผิดคำสาบานออกจากนครดอกบัวไปเป็นครั้งแรก ข้ามทวีปไกลไปเยือนแผ่นดินกลาง เป็นฝ่ายไปหาซ่งจื่อจัวลู่ที่เดิมทีนางสาบานว่าจะไม่ไปพบเจอเขาอีกชั่วชีวิต

ผู้ฝึกกระบี่หญิงที่มาจากสำนักกระบี่เหมยซาน มือหนึ่งกำแท่นฝนหมึกตรงเอวไว้แน่น มือหนึ่งทำมุทรากระบี่ ใช้เสียงในใจเอ่ยกับสหายทั้งกลุ่ม “คือผู้ฝึกกระบี่ที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง วิธีการตัดขาดฟ้าดินเมื่อครู่นี้ของอีกฝ่ายมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นค่ายกลกระบี่บ่อสายฟ้าที่เซียนกระบี่หลิ่วแห่งภูเขาเจ๋อเซียนถนัดที่สุด วิชายันต์ก่อนหน้านี้คือเวทอำพรางตาของคนผู้นี้”

เทพธิดาแห่งอารามดอกเหมยที่มีเตียวน้อยคายสมบัตินอนหมอบอยู่บนไหล่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เสียงที่พูดก็สั่นเครืออย่างห้ามไม่ได้ “ต้องให้ข้าเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำหรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้คนผู้นี้ลงมืออย่างไร้ความยำเกรง ออกกระบี่สังหารคนไปทั่ว?”

บุรุษของนครดอกบัวถอนหายใจ “อย่าราดน้ำมันลงบนกองเพลิงเด็ดขาด พวกเราแค่นิ่งเฉยรอดูสถานการณ์ไปก่อน ลืมแล้วหรือ? เซียนกระบี่สังหารคนไม่ยำเกรงกฎเกณฑ์มากที่สุดแล้ว”

ผู้ฝึกตนหญิงของอารามดอกเหมยเอ่ยเสียงเบา “นี่อยู่ใกล้กับศาลบุ๋นนะ เซียนกระบี่คงไม่กล้าฆ่าคนตามใจชอบหรอกกระมัง”

บุรุษรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ได้แต่อธิบายอย่างอดทน “กระบี่บินของเซียนกระบี่ แน่นอนว่าสามารถใช้หนึ่งกระบี่ฟันหัวคน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาผลลัพธ์ที่ต้องได้ผลทันตาเห็นนี่นา แค่ทิ้งปราณกระบี่สองสามขุมให้ซุกซ่อนอยู่ในเส้นชีพจรของผู้ฝึกตน มองดูเหมือนบาดเจ็บเล็กน้อย แต่อันที่จริงกลับเป็นวิธีการอำมหิตที่สะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะของผู้ฝึกตน อีกทั้งหากปราณกระบี่แทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณ ขอแค่ถูกมันปั่นคว้านเพียงเล็กน้อย ต่อให้สะพานแห่งความเป็นอมตะจะไม่ขาดสะบั้น แต่จะยังพูดถึงอนาคตในการฝึกตนอะไรได้อีกเล่า”

ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของสำนักกระบี่เหมยซานพยักหน้าเอ่ย “เหมือนค่ายกลกระบี่ของเซียนเหรินหลิ่วโจวจริงๆ”

หลิ่วโจวเชี่ยวชาญการใช้กระบี่บินจินสุ้ยวาดบ่อสายฟ้าเป็นพื้นที่ต้องห้าม เมื่อผู้ฝึกลมปราณตกเข้าไปอยู่ในนั้นก็จะถูกปราณกระบี่สยบกำราบฟ้าดิน ผู้ฝึกลมปราณเจอกับผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตเท่ากัน เดิมทีก็กินแรงมากอยู่แล้ว หากมีค่ายกลมาพันธนาการอีก สิ่งหนึ่งดับสิ่งหนึ่งเกิด ยิ่งเป็นดั่งการเพิ่มเกล็ดน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ

หรือว่าเซียนกระบี่ ‘หนุ่ม’ ผู้นี้มาจากสำนักเดียวกันกับเซียนเหรินหลิ่วโจวที่ชอบเล่นหมากล้อม? หรือว่าจะเป็นบรรพจารย์บางท่านของภูเขาเจ๋อเซียนที่ไม่ค่อยชอบปรากฎตัว?

หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็ล้วนอธิบายได้แล้ว

การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าในจุดที่เล็กละเอียดของทุกคน

เฉินผิงอันล้วนจดจำเอาไว้แล้ว

หลายๆ ครั้ง ในสายตา ในจุดที่เล็กละเอียดบนใบหน้าของคนคนหนึ่งก็คือคำพูดที่ยังไม่ได้เอ่ยออกมา กลับกลายเป็นว่าใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่ายามเปิดปากเอื้อนเอ่ยเสียอีก

เฉินผิงอันชำเลืองตามองผู้เฒ่าร่างผอมแห้งคนหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล ดูเหมือนจะเป็นเค่อชิงของสกุลชิวอวี๋โจวแห่งหลิวเสียทวีป เขานั่งอยู่ข้างกายคนรุ่นเยาว์สองคน ก่อนหน้านี้ชมทัศนียภาพของเกาะยวนยางอยู่ตลอด ข้างฝ่ามือมีกล่องใบไม้หนึ่งที่เปิดอ้าอยู่ ด้านในบรรจุมีดแกะสลักที่ไม่มีลวดลายอะไรไว้จนเต็ม ไม่ได้ตกปลา แต่คอยแกะสลักก้อนหินแกะสลักหยกอยู่ตลอดเวลา วิธีการที่ใช้เป็นการแกะสลักขุนเขาสายน้ำลายนูนแบบตื้น หลังจากที่เฉินผิงอันใช้ปราณกระบี่สร้างฟ้าดินเล็กบ่อสายฟ้าสีทองขึ้นมาบ่อหนึ่ง ผู้ฝึกตนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเวทคาถาหรือสภาพจิตใจ แค่ปราณกระบี่แตะสัมผัสก็แหลกสลาย ทุกคนต่างก็พากันถอยร่นเมื่อรู้ว่าเผชิญหน้ากับความยากลำบาก มีเพียงผู้เฒ่าคนนี้ที่สามารถสัมผัสค่ายกลกระบี่บ่อสายฟ้าได้โดยที่ไม่ถอยร่น บิดข้อมือหนึ่งครั้ง มีดแกะสลักขยับเล็กน้อย มีร่องรอยคล้ายต้องการสาวเส้นไหม เพียงแต่เพราะมีเงื่อนไขว่าผู้เฒ่าต้องเหลือพละกำลังมากพอ ดังนั้นเพียงไม่นานเขาจึงละทิ้งการกระทำที่เป็นการ ‘ถามกระบี่’ นี้ไป

เวลานี้สัมผัสได้ถึงสายตามองประเมินของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ ใช้เสียงในใจเอ่ยขออภัย “การฝ่าค่ายกลเมื่อครู่เป็นการกระทำที่เกิดจากความเคยชิน ขอเซียนกระบี่อย่าได้คิดมาก หลังจบเรื่องข้าจะใช้ตราประทับสุยสิง (คือตราประทับที่แกะสลักไปตามรูปร่างดั้งเดิมของวัตถุดิบที่นำมาทำเป็นตราประทับ) ที่แกะสลักเป็นรูปขุนเขาสายน้ำนูนต่ำซึ่งกำลังจะแกะเสร็จชิ้นนี้มอบให้เป็นของขวัญขอขมา”

เฉินผิงอันใช้เสียงในใจตอบ “ไม่มีผลงานไม่กล้ารับรางวัล อาจารย์เองก็ไม่ต้องคิดมาก พบเจอกันโดยบังเอิญท่ามกลางขุนเขาสายน้ำ น้ำใจคนบางเบาเหมือนการแกะสลักตื้นๆ หยุดเมื่อพอสมควรย่อมดีที่สุด”

เดินบนภูเขา อันที่จริงหลายๆ ครั้งล้วนไม่ต้องถอยหนึ่งก้าว บางทีขอแค่มีคนเป็นฝ่ายยอมเบี่ยงตัว เส้นทางสะพานไม้แคบๆ ก็จะกลายเป็นเส้นทางกว้างขวางได้

ผู้เฒ่าตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ายิ้มเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหินทองด้วย โชคดีที่ได้พบกัน ข้าน้อยหลินชิง อาจารย์คือหยางเสวียน”

ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายวาบ เปลี่ยนใจทันที “ตราประทับสุยสิงของอาจารย์หลินชิ้นนั้น ข้าก็ขอยิ้มรับไว้แล้ว”

ไม่เคยได้ยินชื่อหลินชิง แต่ชื่อหยางเสวียนนี้กลับเป็นดั่งฟ้าผ่าที่ดังข้างหูเฉินผิงอัน คนผู้นี้มีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลเหล่าเคิง ชอบแกะสลักตัวอักษร ‘เสวียน’ ไว้บนผลงานชิ้นที่ภาคภูมิใจ มีมูลค่าเท่าทองพันชั่ง

พื้นที่มงคลเหล่าเคิงของหยางเสวียนที่อยู่ใต้อาณัติของสำนักฝูลู่อวี๋เสวียนนั้น ก็เหมือนตระกูลเฉาที่รับหน้าที่ดูแลห้องตัวอย่างของสกุลเจียงในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา

ล้วนถือว่าเป็นความสำเร็จที่มีร่วมกัน

ย่างซื่อเฉาเป็นตระกูลผู้ก่อสร้างมาหลายยุคหลายสมัย คนแต่ละรุ่นล้วนรับหน้าที่สร้างทัศนียภาพสิบแปดแห่งของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ส่วนหยางเสวียนนั้นก็อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวช่วยทำให้หินหยกหลายชนิดที่มีเฉพาะในพื้นที่มงคลเหล่าเคิงกลายเป็นหนึ่งในของจำเป็นที่ต้องมีในบรรดาของประดับห้องหนังสือของใต้หล้าไพศาล

การสร้างภูเขาลูกหนึ่งต้องอาศัยตบะ ขอบเขตและเครือข่ายคนรู้จักของบรรพจารย์ผู้เปิดภูเขา

แต่รากฐานที่แท้จริงของสำนักแห่งหนึ่งยังคงต้องดูว่ามีอ่างเก็บสมบัติอย่างพวกหยางเสวียน ย่างซื่อเฉาอยู่กี่คน

ภูเขาลั่วพั่วบ้านตน ทุกวันนี้มีแล้วหนึ่งคนครึ่ง

เพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหูของพื้นที่มงคลรากบัวยังถือว่าเป็นแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น

ส่วน ‘หนึ่งคน’ ที่ว่า แน่นอนว่าต้องเป็นผู้คุมกฎฉางมิ่งที่มีวิชาอภินิหารติดกาย

เฉินผิงอันเป็นฝ่ายเอ่ยว่า “หากมีโอกาสหวังว่าจะได้ไปเยี่ยมเยือนอาจารย์หยางสักครั้ง ขอทำหน้าหนาไปเยือนถึงบ้าน จะได้ขอภูเขาหยกมาสักสองสามชิ้น เอาไว้ใช้สยบฮวงจุ้ยของที่บ้าน”

เพราะในตำราเทพเซียนที่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือภูเขาห้อยหัวเล่มนั้น เฉินผิงอันเคยอ่านเจอบันทึกของหยางเสวียนผู้นี้ แน่นอนว่าตัวอักษรที่เขียนถึงเขามีไม่มาก แต่สำหรับช่างคนหนึ่งแล้วก็ถือว่าเป็นเกียรติอันใหญ่หลวงมากแล้ว

เพราะเฉินผิงอันอยากจะเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายต่อจากนี้

น้ำสกปรกที่มีอยู่เต็มท้องแกว่งไปส่ายมา สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะมีความกล้ามากพอให้ประคับประคองจิตใจที่เลวทราม

เมื่อจิตใจที่เลวทรามแหลกสลายอย่างสิ้นเชิง กลายมาเป็นน้ำขมๆ ท่วมเต็มท้อง คนเลวก็มักจะว่าง่ายขึ้นเยอะ

ในเมื่อส่งข่าวไปแจ้งอาจารย์ผู้มีพระคุณได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนดีเยี่ยม หนุ่มทัดบุปผาจึงลุกขึ้นนั่ง

หลี่ชิงจู๋กลับคืนมามีสีหน้าปกติได้อย่างรวดเร็ว มาดสง่างามคงเดิม แล้วยังมีอารมณ์ผ่อนคลายพอให้จับประคองกิ่งดอกเหมยที่ปักไว้บนมวยผมด้วย

จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย บาดเจ็บไม่เบา ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งวุ่นวายราวกับปมเชือกพันกันยุ่งเหยิง ลำพังเพียงแค่รักษาบาดแผลและพักฟื้นให้ดี เกรงว่าคงต้องทั้งสิ้นเปลืองเงินทองและเรี่ยวแรง ไม่ถึงสองสามปีก็อย่าหวังว่าจะหายดี เจ้าคนตรงหน้าผู้นี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!

บุรุษยังคงยิ้มบางๆ “วันนี้ได้รับความอัปยศ ต้องตอบแทนอย่างหนักแน่นอน”

เฉินผิงอันยื่นมือออกมา ยิ้มตาหยี “เอามา”

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่มาจากหอเซียนจิ่วเจินรู้สึกคลางแคลงไม่เข้าใจ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พูดเรื่องเงินจะทำร้ายความรู้สึก แต่พวกเราสองคนไม่มีความรู้สึกอะไรให้ถูกทำร้ายได้ รีบเอาเงินมาสิ ควักเงินซื้อค่าผ่านทาง ในหลายๆ ครั้งก็คือเงินซื้อชีวิตนะ”

สายตาคนผู้นั้นลุกวาว หัวเราะร่าเสียงดัง “เงินซื้อชีวิต?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของข้า ตอนนี้ก็อยู่บนเกาะยวนยางนี่แหละ! ข้ากลัวเจ้ามีชีวิตเอาไป แต่ไม่มีชีวิตได้ใช้เงินน่ะสิ”

ความกล้าหาญของเขาเปี่ยมล้น หลังจากลุกขึ้นยืนช้าๆ ก็ใช้มือหนึ่งตบฝุ่นที่อยู่บนร่าง ยื่นมืออีกข้างออกมา “เอามา ถึงคราวเจ้าแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ปักบุปผาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่บนศีรษะปักดอกเหมย กลับไม่ค่อยจะเหมาะแล้ว เพราะง่ายที่จะเจอเรื่องซวย” (เป็นคำพ้องเสียงกับประโยคต่าวเหมย 倒霉 ที่แปลว่าดวงซวย)

หลี่ชิงจู๋ยิ้มบางๆ “ดีมาก คำพูดประโยคนี้มีความรู้ซ่อนอยู่ ข้าจะต้องช่วยนำความของเจ้าไปบอกแก่เหนียงเนียงเทพีบุปผาท่านนั้นแน่นอน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดูท่าจะยังไม่รู้จักจำ ควบคุมปากไม่ได้ จำไว้ว่าพูดแล้วต้องทำให้ได้ หลังจบเรื่องเอาคำพูดประโยคนี้ไปบรรยายให้เทพีบุปผาเจ้าชะตาฟังด้วยล่ะ”

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!