หลังจากที่หนันกวงจ้าวถูกงม ‘ขึ้นฝั่ง’ มาแล้วก็ยังคงหมดสติไม่ฟื้นตื่น ร่างของเขากลิ้งตลบไปหลายรอบ มากพอจะแสดงให้เห็นถึงการลงมืออย่างโหดเหี้ยมรุนแรงของนักพรตเนิ่น
ชั่วเวลานั้นยังคงไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปใกล้หนันกวงจ้าว จึงถูกเหยียนเก๋อชิงตัดหน้า เขาทะยานลมว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ ชายแขนเสื้อใหญ่ม้วนตลบหนึ่งทีก็เก็บหนันกวงจ้าวมาไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี เหยียนเก๋อถึงกับเรียกยันต์สีทองสองแผ่นออกมาอย่างไม่เสียดาย หดย่อพื้นที่หนีห่างไปจากเกาะยวนยาง มุ่งหน้าไปยังภูเขาอ๋าวโถวอย่างว่องไว
ฉินจ่าวกลอกตามองบน
เทียนหนีเอ่ยสัพยอก “เผาเตาเย็นไปเตาใหญ่เลยรึ” (ศัพท์ด้านการพนันหมายถึงลงเดิมพันม้ามืด หรือเหตุการณ์ที่พลิกผันไม่ทันคาดคิด)
นักพรตเนิ่นรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่บ้าง จึงยิ้มเอ่ยกับอิ่นกวานหนุ่มว่า “ไม่ต้องขอบคุณแล้ว คุณชายบ้านข้าต้องเรียกใต้เท้าอิ่นกวานว่าอาจารย์อาน้อย ถ้าอย่างนั้นทุกคนต่างก็ไม่ใช่คนนอกต่อกัน”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ได้เลย”
เฉินผิงอันได้รับเสียงในใจเป็นประโยคว่า “หลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้ ยังไม่ต้องไปสนใจเขา ข้าจะจัดการเอง”
เป็นหลี่ซีเซิ่ง
เฉินผิงอันกลับมาบนฝั่ง ใช้เสียงในใจเอ่ยกับหลี่เป่าผิง “ทางฝั่งของเจี่ยงหลงเซียงบนภูเขาอ๋าวโถว อาจารย์อาน้อยคงไม่พาเจ้าไปด้วยแล้ว เพราะจะต้องเกิดเรื่องใหญ่”
เฉินผิงอัน ‘สามคน’ เหมือนดอกไม้สามดอกที่ต่างก็ผลิบานบนกิ่งของตัวเอง ล้วนมีเรื่องให้ต้องทำ
หลี่เป่าผิงพยักหน้า “ไม่เป็นไร อาจารย์อาน้อยแค่จำไว้ว่าให้รวมส่วนของข้าไปด้วยก็พอ”
หลิ่วชื่อเฉิงคลี่ยิ้มตามเฉินผิงอัน
กับอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ข้างกายผู้นี้ คือสหายเก่าแก่ที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมาอย่างแท้จริง
อวิ๋นเหมี่ยวเอื้อมมือคว้าจับง่ายๆ ก็งมเอาหลี่ชิงจู๋ลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจออกมาจากใต้น้ำ ยัดลูกเจี๊ยบตกน้ำตัวนี้ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ อวิ๋นเหมี่ยวยังคงหวาดผวาไม่คลาย ทว่าสีหน้ากลับผ่อนคลาย ก่อนจะจากไปยังทิ้งคำอาฆาตเอาไว้ว่า “ภูเขาไม่เคลื่อนย้ายสายน้ำไม่แปรเปลี่ยน วันหน้าย่อมต้องได้พบกันใหม่ หอเซียนจิ่วเจินจะรอคอยการถามกระบี่”
หลิ่วชื่อเฉิงได้ยินก็ปิติยินดีเป็นยิ่งยวด “น้องเฉิน ไม่สู้ให้ข้าได้ถือโอกาสนี้ทำความดีชดใช้ความผิดดีไหม?!”
เอาชนะอวิ๋นเหมี่ยวไม่ได้แล้วอย่างไร อวิ๋นเหมี่ยวจะกล้าลงมือใส่ตนหรือ? ข้าผู้อาวุโสนอนอยู่บนพื้นขวางทางไปของอวิ๋นเหมี่ยว อวิ๋นเหมี่ยวก็ไม่กล้าขยับเท้าเดินข้ามด้วยซ้ำ
ขอบเขตสูง? เซียนเหรินคนหนึ่ง ดูเจ้าทำวางมาดเข้าสิ แน่จริงก็ไปแข่งกับศิษย์พี่ของข้าเลยสิ
ไม่ยินยอมรึ? แน่จริงเจ้าอวิ๋นเหมี่ยวก็ยกศิษย์พี่ออกมาสิ อย่าว่าแต่ศิษย์พี่เลย บรรพบุรุษแต่ละยุคแต่ละสมัยของหอเซียนจิ่วเจินก็ให้กระโดดออกจากโลงกันมาให้หมด มาประลองกับข้าผู้แซ่หลิ่ว?
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น นักพรตเนิ่นเองก็ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ สายตาฉายประกายแวววาว รีบร้อนใช้เสียงในใจสอบถาม “เฉินผิงอัน ทำเรื่องดีไม่รังเกียจว่าจะมากเกิน วันนี้ข้าจะจัดการกับเซียนเหรินชุดขาวนี่ไปพร้อมกันเลยแล้วกัน ไม่ต้องขอบคุณข้า จะเกรงใจกันไปทำไม วันหน้าขอแค่เจ้าดีกับคุณชายของข้ามากหน่อย ข้าก็พอใจแล้ว”
เฉินผิงอันแยกตอบพวกเขาไปทีละคนว่า
“ไม่ต้อง อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบศิษย์พี่ของเจ้า”
“ผู้อาวุโสเถาถิง ควรหยุดเมื่อพอสมควร แค่พอประมาณก็พอแล้ว”
หลิ่วชื่อเฉิงจึงหุบปากทันที
นักพรตเนิ่นก็ยิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก
ได้ยินมาว่าบนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้น บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่เคยพูดกับเจ้าเด็กนี่ประโยคหนึ่งว่า ‘หยุดเมื่อพอสมควร’ ?
นักพรตเนิ่นหันไปพูดคุยกับเจ้าคนที่สวมชุดเต๋าสีชมพู “สหายท่านนี้ แต่งกายได้ดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ ทำให้คนอื่นที่ได้เห็นลืมความธรรมดาสามัญ เดินอยู่บนภูเขาก็ลดทอนปัญหายุ่งยากที่ต้องบอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองไปได้เลย”
หลิวชื่อเฉิงกระตุกมุมปาก “ใช่ที่ไหนกัน ไม่คิดว่าพี่ใหญ่เนิ่นจะองอาจห้าวหาญถึงเพียงนี้ ขโมยฟ้าสลับตะวันเช่นนี้ วันหน้าเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์กับฮว่อหลงเจินเหรินมาพบเจอพี่ใหญ่เนิ่นเข้า คงต้องเดินอ้อมไปอีกทางเลยกระมัง”
นักพรตเนิ่นยิ้มบางๆ “สหาย ด้วยรากฐานนี้ของเจ้าก็สามารถเตร็ดเตร่ไปทั่วใต้หล้าไพศาลได้ตามสบายแล้ว ช่างร้ายกาจเสียจริง มีความเกี่ยวข้องอะไรกับกวอโอ่วทิงของภูเขาต้นไม้เหล็กล่ะ? เป็นบิดาเจ้า หรือว่าเป็นบรรพจารย์บ้านเจ้ากัน”
หลิ่วชื่อเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “กวอโอ่วทิง? ภูเขาต้นไม้เหล็กเลี้ยงเหล้าข้า ข้ายังไม่อยากจะไปเลย”
หลิ่วชื่อเฉิงย้อนถาม “แล้วพี่ใหญ่เนิ่นล่ะ? ไม่ได้เหมือนข้าหรอกหรือ? ฝึกตนมานานหลายปี กว่าจะปีนมาถึงขอบเขตนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถูกคนดูแคลนเหยียดหยาม ต้องลำบากยากเข็ญมาไม่น้อยเหมือนกันกระมัง?”
นักพรตเนิ่นหัวเราะหยัน “ไม่บังเอิญเลย ข้าผู้อาวุโสมาจากภูเขาใหญ่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ในภูเขามีอิสระเสรีเต็มที่ ไม่ต้องส่ายหางขอความสงสารจากใคร”
หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะร่า ใช้สองนิ้วกระตุกคอเสื้อชุดเต๋า “ที่แท้ก็เป็นคนต่างถิ่นนี่เอง มิน่าเล่าถึงไม่รู้จักข้าผู้แซ่หลิ่ว”
จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็อึ้งตะลึง พูดขึ้นมาพร้อมกันแต่ต่างประโยคว่า
“เถาถิงแห่งภูเขาใหญ่แสนลี้?!”
“หลิ่วเต้าฉุนแห่งนครจักรพรรดิขาว?!”
แล้วพวกเขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น กอดคอพูดคุย เพียงพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน
เฉินผิงอันไม่สนใจคนสองคนที่มีสมองมีปัญหานี้ หันไปถามหลี่ไหวว่า “บนเกาะนกแก้วมีร้านผ้าห่อบุญอยู่ร้านหนึ่ง ไปดูด้วยกันไหม?”
หลี่ไหวพูดอย่างอ่อนระโหยไร้ความสดชื่น “ช่างเถิด เฉินผิงอันเจ้าอย่าพาข้าไปด้วยเลย ปีนั้นเดินทางไกลไปอุตรกุรุทวีปกับเผยเฉียน ซื้อของส่งเดชบนเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาจนเกือบจะทำให้เผยเฉียนต้องขาดทุน ได้แต่รักษาต้นทุนไว้ได้เท่านั้น”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ทำไมเผยเฉียนถึงได้บอกข้าว่าพวกเจ้าได้กำไรเยอะเลยล่ะ? หลังจบเรื่องแบ่งกันคนละห้าส่วน พวกเจ้าสองคนต่างก็ได้กำไรมาไม่น้อย”
ในเรื่องของการหาเงินได้นี้ เผยเฉียนไม่มีทางพูดเหลวไหล ถ่านดำน้อยตอนเป็นเด็ก หลังจากเรียนรู้กฎเกณฑ์ของภูเขาสายน้ำไปจากเฉินผิงอัน ทุกครั้งที่ขึ้นเขาลงห้วยก็จะต้องใช้วิธีการพิเศษเฉพาะของตนมาทำความเคารพพื้นดินของสถานที่ต่างๆ …ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะมีเทพภูเขาเซียนวารีหรือไม่ ก็ล้วนจะต้องใช้ต้นหญ้าหรือไม่ก็กิ่งไม้มาแทนควันธูป ก่อนจะ ‘จุดธูป’ อย่างจริงใจในแต่ละครั้งจะต้องท่องพึมพำก่อน บอกว่าตอนนี้นางเป็นเด็กตัวใหญ่เท่าก้น ไม่มีเงินเลยจริงๆ ธูปขุนเขาสายน้ำสามดอกที่แสดงความเคารพต่อท่านปู่เทพภูเขา ใต้เท้าเซียนวารีในวันนี้ เป็นของขวัญเบาแต่หนักที่น้ำใจ ต้องคุ้มครองให้นางหาเงินได้เยอะๆ นะ
หลี่ไหวเบิกตากว้าง “อะไรนะ?!”
ไม่ได้รู้สึกว่าเผยเฉียนหลอกเขา เพราะไม่จำเป็น หลี่ไหวไม่มีทางคิดถึงเผยเฉียนไปในทางนี้ ด้วยมิตรภาพระหว่างพวกเขาสองคน ฟ้าดินเป็นพยานได้ เพียงแต่ว่าหลี่ไหวคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อทั้งๆ ที่พวกเขาสองคนต่างก็ได้กำไรมาแล้ว ทำไมตลอดเส้นทางเดินทางไกลในช่วงหลัง ทุกครั้งที่มีการหยุดพัก นางถึงมักจะหยิบเอาของชิ้นหนึ่งออกมาแล้วทอดถอนใจใส่อยู่เป็นประจำ ทำราวกับว่าขาดทุนอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็จะเหล่ตามองเขา ทำเอาหลี่ไหวกระวนกระวายไปตลอดทาง รู้สึกราวกับว่าติดเงินเผยเฉียนก้อนใหญ่อยู่ทุกวัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!