กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 796

สรุปบท บทที่ 796.2 มรสุมกลางสุราผ่านไปอีกครั้ง: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอน บทที่ 796.2 มรสุมกลางสุราผ่านไปอีกครั้ง จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 796.2 มรสุมกลางสุราผ่านไปอีกครั้ง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

หลังจากที่หนันกวงจ้าวถูกงม ‘ขึ้นฝั่ง’ มาแล้วก็ยังคงหมดสติไม่ฟื้นตื่น ร่างของเขากลิ้งตลบไปหลายรอบ มากพอจะแสดงให้เห็นถึงการลงมืออย่างโหดเหี้ยมรุนแรงของนักพรตเนิ่น

ชั่วเวลานั้นยังคงไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปใกล้หนันกวงจ้าว จึงถูกเหยียนเก๋อชิงตัดหน้า เขาทะยานลมว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ ชายแขนเสื้อใหญ่ม้วนตลบหนึ่งทีก็เก็บหนันกวงจ้าวมาไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี เหยียนเก๋อถึงกับเรียกยันต์สีทองสองแผ่นออกมาอย่างไม่เสียดาย หดย่อพื้นที่หนีห่างไปจากเกาะยวนยาง มุ่งหน้าไปยังภูเขาอ๋าวโถวอย่างว่องไว

ฉินจ่าวกลอกตามองบน

เทียนหนีเอ่ยสัพยอก “เผาเตาเย็นไปเตาใหญ่เลยรึ” (ศัพท์ด้านการพนันหมายถึงลงเดิมพันม้ามืด หรือเหตุการณ์ที่พลิกผันไม่ทันคาดคิด)

นักพรตเนิ่นรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่บ้าง จึงยิ้มเอ่ยกับอิ่นกวานหนุ่มว่า “ไม่ต้องขอบคุณแล้ว คุณชายบ้านข้าต้องเรียกใต้เท้าอิ่นกวานว่าอาจารย์อาน้อย ถ้าอย่างนั้นทุกคนต่างก็ไม่ใช่คนนอกต่อกัน”

เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ได้เลย”

เฉินผิงอันได้รับเสียงในใจเป็นประโยคว่า “หลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้ ยังไม่ต้องไปสนใจเขา ข้าจะจัดการเอง”

เป็นหลี่ซีเซิ่ง

เฉินผิงอันกลับมาบนฝั่ง ใช้เสียงในใจเอ่ยกับหลี่เป่าผิง “ทางฝั่งของเจี่ยงหลงเซียงบนภูเขาอ๋าวโถว อาจารย์อาน้อยคงไม่พาเจ้าไปด้วยแล้ว เพราะจะต้องเกิดเรื่องใหญ่”

เฉินผิงอัน ‘สามคน’ เหมือนดอกไม้สามดอกที่ต่างก็ผลิบานบนกิ่งของตัวเอง ล้วนมีเรื่องให้ต้องทำ

หลี่เป่าผิงพยักหน้า “ไม่เป็นไร อาจารย์อาน้อยแค่จำไว้ว่าให้รวมส่วนของข้าไปด้วยก็พอ”

หลิ่วชื่อเฉิงคลี่ยิ้มตามเฉินผิงอัน

กับอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ข้างกายผู้นี้ คือสหายเก่าแก่ที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมาอย่างแท้จริง

อวิ๋นเหมี่ยวเอื้อมมือคว้าจับง่ายๆ ก็งมเอาหลี่ชิงจู๋ลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจออกมาจากใต้น้ำ ยัดลูกเจี๊ยบตกน้ำตัวนี้ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ อวิ๋นเหมี่ยวยังคงหวาดผวาไม่คลาย ทว่าสีหน้ากลับผ่อนคลาย ก่อนจะจากไปยังทิ้งคำอาฆาตเอาไว้ว่า “ภูเขาไม่เคลื่อนย้ายสายน้ำไม่แปรเปลี่ยน วันหน้าย่อมต้องได้พบกันใหม่ หอเซียนจิ่วเจินจะรอคอยการถามกระบี่”

หลิ่วชื่อเฉิงได้ยินก็ปิติยินดีเป็นยิ่งยวด “น้องเฉิน ไม่สู้ให้ข้าได้ถือโอกาสนี้ทำความดีชดใช้ความผิดดีไหม?!”

เอาชนะอวิ๋นเหมี่ยวไม่ได้แล้วอย่างไร อวิ๋นเหมี่ยวจะกล้าลงมือใส่ตนหรือ? ข้าผู้อาวุโสนอนอยู่บนพื้นขวางทางไปของอวิ๋นเหมี่ยว อวิ๋นเหมี่ยวก็ไม่กล้าขยับเท้าเดินข้ามด้วยซ้ำ

ขอบเขตสูง? เซียนเหรินคนหนึ่ง ดูเจ้าทำวางมาดเข้าสิ แน่จริงก็ไปแข่งกับศิษย์พี่ของข้าเลยสิ

ไม่ยินยอมรึ? แน่จริงเจ้าอวิ๋นเหมี่ยวก็ยกศิษย์พี่ออกมาสิ อย่าว่าแต่ศิษย์พี่เลย บรรพบุรุษแต่ละยุคแต่ละสมัยของหอเซียนจิ่วเจินก็ให้กระโดดออกจากโลงกันมาให้หมด มาประลองกับข้าผู้แซ่หลิ่ว?

แทบจะเวลาเดียวกันนั้น นักพรตเนิ่นเองก็ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ สายตาฉายประกายแวววาว รีบร้อนใช้เสียงในใจสอบถาม “เฉินผิงอัน ทำเรื่องดีไม่รังเกียจว่าจะมากเกิน วันนี้ข้าจะจัดการกับเซียนเหรินชุดขาวนี่ไปพร้อมกันเลยแล้วกัน ไม่ต้องขอบคุณข้า จะเกรงใจกันไปทำไม วันหน้าขอแค่เจ้าดีกับคุณชายของข้ามากหน่อย ข้าก็พอใจแล้ว”

เฉินผิงอันแยกตอบพวกเขาไปทีละคนว่า

“ไม่ต้อง อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบศิษย์พี่ของเจ้า”

“ผู้อาวุโสเถาถิง ควรหยุดเมื่อพอสมควร แค่พอประมาณก็พอแล้ว”

หลิ่วชื่อเฉิงจึงหุบปากทันที

นักพรตเนิ่นก็ยิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรอีก

ได้ยินมาว่าบนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้น บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่เคยพูดกับเจ้าเด็กนี่ประโยคหนึ่งว่า ‘หยุดเมื่อพอสมควร’ ?

นักพรตเนิ่นหันไปพูดคุยกับเจ้าคนที่สวมชุดเต๋าสีชมพู “สหายท่านนี้ แต่งกายได้ดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ ทำให้คนอื่นที่ได้เห็นลืมความธรรมดาสามัญ เดินอยู่บนภูเขาก็ลดทอนปัญหายุ่งยากที่ต้องบอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองไปได้เลย”

หลิวชื่อเฉิงกระตุกมุมปาก “ใช่ที่ไหนกัน ไม่คิดว่าพี่ใหญ่เนิ่นจะองอาจห้าวหาญถึงเพียงนี้ ขโมยฟ้าสลับตะวันเช่นนี้ วันหน้าเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์กับฮว่อหลงเจินเหรินมาพบเจอพี่ใหญ่เนิ่นเข้า คงต้องเดินอ้อมไปอีกทางเลยกระมัง”

นักพรตเนิ่นยิ้มบางๆ “สหาย ด้วยรากฐานนี้ของเจ้าก็สามารถเตร็ดเตร่ไปทั่วใต้หล้าไพศาลได้ตามสบายแล้ว ช่างร้ายกาจเสียจริง มีความเกี่ยวข้องอะไรกับกวอโอ่วทิงของภูเขาต้นไม้เหล็กล่ะ? เป็นบิดาเจ้า หรือว่าเป็นบรรพจารย์บ้านเจ้ากัน”

หลิ่วชื่อเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “กวอโอ่วทิง? ภูเขาต้นไม้เหล็กเลี้ยงเหล้าข้า ข้ายังไม่อยากจะไปเลย”

หลิ่วชื่อเฉิงย้อนถาม “แล้วพี่ใหญ่เนิ่นล่ะ? ไม่ได้เหมือนข้าหรอกหรือ? ฝึกตนมานานหลายปี กว่าจะปีนมาถึงขอบเขตนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถูกคนดูแคลนเหยียดหยาม ต้องลำบากยากเข็ญมาไม่น้อยเหมือนกันกระมัง?”

นักพรตเนิ่นหัวเราะหยัน “ไม่บังเอิญเลย ข้าผู้อาวุโสมาจากภูเขาใหญ่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ในภูเขามีอิสระเสรีเต็มที่ ไม่ต้องส่ายหางขอความสงสารจากใคร”

หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะร่า ใช้สองนิ้วกระตุกคอเสื้อชุดเต๋า “ที่แท้ก็เป็นคนต่างถิ่นนี่เอง มิน่าเล่าถึงไม่รู้จักข้าผู้แซ่หลิ่ว”

จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็อึ้งตะลึง พูดขึ้นมาพร้อมกันแต่ต่างประโยคว่า

“เถาถิงแห่งภูเขาใหญ่แสนลี้?!”

“หลิ่วเต้าฉุนแห่งนครจักรพรรดิขาว?!”

แล้วพวกเขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น กอดคอพูดคุย เพียงพบหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน

เฉินผิงอันไม่สนใจคนสองคนที่มีสมองมีปัญหานี้ หันไปถามหลี่ไหวว่า “บนเกาะนกแก้วมีร้านผ้าห่อบุญอยู่ร้านหนึ่ง ไปดูด้วยกันไหม?”

หลี่ไหวพูดอย่างอ่อนระโหยไร้ความสดชื่น “ช่างเถิด เฉินผิงอันเจ้าอย่าพาข้าไปด้วยเลย ปีนั้นเดินทางไกลไปอุตรกุรุทวีปกับเผยเฉียน ซื้อของส่งเดชบนเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาจนเกือบจะทำให้เผยเฉียนต้องขาดทุน ได้แต่รักษาต้นทุนไว้ได้เท่านั้น”

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ทำไมเผยเฉียนถึงได้บอกข้าว่าพวกเจ้าได้กำไรเยอะเลยล่ะ? หลังจบเรื่องแบ่งกันคนละห้าส่วน พวกเจ้าสองคนต่างก็ได้กำไรมาไม่น้อย”

ในเรื่องของการหาเงินได้นี้ เผยเฉียนไม่มีทางพูดเหลวไหล ถ่านดำน้อยตอนเป็นเด็ก หลังจากเรียนรู้กฎเกณฑ์ของภูเขาสายน้ำไปจากเฉินผิงอัน ทุกครั้งที่ขึ้นเขาลงห้วยก็จะต้องใช้วิธีการพิเศษเฉพาะของตนมาทำความเคารพพื้นดินของสถานที่ต่างๆ …ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะมีเทพภูเขาเซียนวารีหรือไม่ ก็ล้วนจะต้องใช้ต้นหญ้าหรือไม่ก็กิ่งไม้มาแทนควันธูป ก่อนจะ ‘จุดธูป’ อย่างจริงใจในแต่ละครั้งจะต้องท่องพึมพำก่อน บอกว่าตอนนี้นางเป็นเด็กตัวใหญ่เท่าก้น ไม่มีเงินเลยจริงๆ ธูปขุนเขาสายน้ำสามดอกที่แสดงความเคารพต่อท่านปู่เทพภูเขา ใต้เท้าเซียนวารีในวันนี้ เป็นของขวัญเบาแต่หนักที่น้ำใจ ต้องคุ้มครองให้นางหาเงินได้เยอะๆ นะ

หลี่ไหวเบิกตากว้าง “อะไรนะ?!”

ไม่ได้รู้สึกว่าเผยเฉียนหลอกเขา เพราะไม่จำเป็น หลี่ไหวไม่มีทางคิดถึงเผยเฉียนไปในทางนี้ ด้วยมิตรภาพระหว่างพวกเขาสองคน ฟ้าดินเป็นพยานได้ เพียงแต่ว่าหลี่ไหวคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อทั้งๆ ที่พวกเขาสองคนต่างก็ได้กำไรมาแล้ว ทำไมตลอดเส้นทางเดินทางไกลในช่วงหลัง ทุกครั้งที่มีการหยุดพัก นางถึงมักจะหยิบเอาของชิ้นหนึ่งออกมาแล้วทอดถอนใจใส่อยู่เป็นประจำ ทำราวกับว่าขาดทุนอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็จะเหล่ตามองเขา ทำเอาหลี่ไหวกระวนกระวายไปตลอดทาง รู้สึกราวกับว่าติดเงินเผยเฉียนก้อนใหญ่อยู่ทุกวัน

แน่นอนว่าเป็นแค่ข้ออ้าง เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวเทพีบุปผาไม่กล้าไปพบหน้าเซียนกระบี่อารมณ์ร้ายผู้นั้น

ถัวเหยียนฮูหยินไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน ยื่นมือไปกระชากแม่นางน้อย ไม่ให้นางหนีไป เจ้ากลัว แล้วข้าไม่กลัวงั้นรึ?

เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนั่นรอตนอยู่ที่ริมลำคลอง หากพวกเราสองพี่น้องไม่อยู่เฉยๆ ก็ต้องแข็งใจบากหน้าไปพบเขา มาเปลี่ยนใจกะทันหันแบบนี้ได้อย่างไร

……

ทางศาลบุ๋นยังคงประชุมกันต่อ

ส่วนเฉินผิงอันที่ถูกหลี่เซิ่งโยนออกมาไว้นอกห้องที่เรียงต่อกันเป็นแถวยาวก็เดินเล่นต่ออีกครั้ง

ระหว่างทางเจอเข้ากับผู้เฒ่าร่างผอมแห้งคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนขั้นบันได ตรงกระบอกยาสูบเก่าๆ ห้อยถุงยาสูบเอาไว้ พ่นควันขโมง

เฉินผิงอันหยุดเดิน ลังเลว่าควรจะเอ่ยอะไรสักสองสามคำดีหรือไม่ เขามองกระบอกยาสูบเก่าแก่นั้น สีหน้าก็พลันเลื่อนลอยไปเล็กน้อย

ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมา เป็นฝ่ายยิ้มถามว่า “มองดูแล้วไม่คุ้นหน้าเลย อายุน้อยๆ เป็นขุนนางใหญ่หรือว่าเป็นทายาทจวนอริยะล่ะ? มาช่วยพวกอริยะศาลบุ๋นตรวจสอบความก้าวหน้าของแต่ละห้องหรือ?”

นักปราชญ์วิญญูชนบางคนของลัทธิขงจื๊อมักจะมีตำแหน่งขุนนางเฉพาะของศาลบุ๋นนอกเหนือจากเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งต่างๆ ด้วย

เฉินผิงอันประสานมือคารวะ พอยืดเอวขึ้นตรงแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ผู้เยาว์ขอรบกวนอาจารย์ผู้เฒ่าสักครู่ได้หรือไม่? ตลอดทางที่เดินมานี้โดนคนตีหน้าเย็นชากลอกตาใส่ตลอดเลย”

ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน ผายมือไปทางด้านข้าง “เชิญนั่งได้ตามสบาย ศาลบุ๋นไม่ใช่บ้านของข้าสักหน่อย หากเป็นบ้านข้า เจ้าหนูอย่างเจ้าก็ยิ่งสามารถทำตัวตามสบายได้”

ในห้องแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกลมีคนหนุ่มผู้หนึ่งโผล่หัวออกมาตะโกนเรียก “อาจารย์ลี่ ลำคลองเย่ลั่วมีความกว้างและแคบของแม่น้ำช่วงหนึ่งที่ในเอกสารเดิมของศาลบุ๋นกับบันทึกใหม่ที่ทางเจ้านครเจิ้งมอบให้คล้ายจะไม่ตรงกัน ต้องให้ท่านผู้อาวุโสมาช่วยดู ช่วยยืนยันให้แน่ใจสักหน่อย”

“เว้นเอาไว้ก่อน ให้ข้าสูบยาสูบถุงนี้หมดก่อน จะให้ลาเอาแต่หมุนแท่นโม่อย่างเดียวโดยไม่ป้อนหญ้าให้กินคงไม่ได้กระมัง”

ผู้เฒ่าโบกมือ พูดบ่นว่า “ก็มีแต่เด็กอย่างพวกเจ้านี่แหละที่เรื่องมาก ยังจะกล้ารังเกียจว่ากลิ่นยาสูบแรงเกินไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางมีเรื่องแบบนี้หรอก”

เฉินผิงอันเพิ่งจะนั่งลง สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ พอได้ยินก็อดไม่ไหวหันหน้าไปมอง มือสองข้างดึงออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนหัวเข่าเบาๆ เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “อาจารย์ผู้เฒ่า ท่านคงไม่ใช่อาจารย์ลี่ ‘ไท่ซ่างสุ่ยเซียน’ หรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันได้ออกจากบ้านเดินทางไกล พอเดินทางไปไกลขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น ในใจย่อมเคารพเลื่อมใสคนบางคนไปโดยธรรมชาติ ส่วนใหญ่ล้วนเป็น ‘คนในตำรา’ ยกตัวอย่างเช่นหลี่สือหลางของเรือราตรีลำนั้น และยังมีตราประทับของอาจารย์ผู้เฒ่าหวังหยวนจางที่ช่วยบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ให้กับเส้นทางการแกะสลักหินทองในใต้หล้า และท่านที่ถูกขนานนามว่า ‘ไท่ซ่างสุ่ยเซียน’ ผู้นี้ก็ยิ่งเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เฉินผิงอันเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด คืออริยะปราชญ์ที่สมคำเล่าลือในใจของเฉินผิงอัน

เพราะอาจารย์ผู้เฒ่าลี่ท่านนี้สามารถอ่านตำราได้หมื่นเล่ม เดินทางไปทั่วเส้นทางภูเขาสายน้ำในใต้หล้าได้จริงๆ สุดท้ายจึงเรียบเรียง ‘ตำราภาพขุนเขาทะเล’ ที่ถูกขนานนามว่า ‘ในใต้หล้ายอมให้ไร้หนึ่งแต่ไม่ยอมให้มีสอง’ ส่วน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ‘จารึกเสริม’ ที่เรียบเรียงขึ้นหลังจากนั้น อันที่จริงล้วนถือว่าเป็น ‘ศิษย์ลูกศิษย์หลาน’ ของหนังสือเล่มนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเนื้อหาหรือลายมือก็ล้วนเป็นรองกว่าเยอะมาก และบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของภูเขาสุ่ยจิงอุตรกุรุทวีปท่านนั้นก็เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณที่เลื่อมใสอาจารย์ผู้เฒ่าลี่อย่างถึงที่สุด

ในความเป็นจริงแล้วเจ้าของเรือราตรีท่านนั้นก็เคยวิจารณ์เรื่องบันทึกขุนเขาสายน้ำของคนโบราณ มีคำกล่าวที่ว่า ‘ไท่ซ่างลี่ รองลงมาหลิ่ว ยุคใหม่คือหยวน’ แซ่สามแซ่ บัณฑิตสามคนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า ตอนนี้เฉินผิงอันยังคงไม่ค่อยแน่ใจ อาจารย์ผู้เฒ่าสองคนหลัง บันทึกขุนเขาสายน้ำและบทกวีของฝ่ายแรก ก็คือรากฐานมหามรรคาที่ตัวอักษรคือกรงขังของเรือราตรี ถูกเจ้าของเรือนำไปปรับใช้ ส่วนฝ่ายหลังก็คือรองเจ้านครของนครเถียวมู่ อาจารย์ผู้เฒ่าผมขาวที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่สือหลาง ผู้รอบรู้ท่านหนึ่งที่สามารถเอ่ยประโยคว่า ‘สามารถควบคุมจิตใจตัวเอง สามารถปรับใช้วิธีของคนโบราณ’

การที่หลี่เซิ่งโยนเฉินผิงอันมาไว้ที่นี่ นอกจากจะให้เฉินผิงอันเข้าใจแผนการของทางฝั่งศาลบุ๋นมากขึ้นแล้ว ก็อยากจะให้เจ้าเด็กนี่ลองมาเสี่ยงดวงด้วยตัวเอง พลาดไปก็ไม่เป็นไร แต่หากคว้าจับไว้ได้ย่อมดียิ่งกว่า

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!