ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยยันตัวเอง “ ‘ไท่ซ่างสุ่ยเซียน’ อะไรกัน ฟังแล้วเหมือนด่าคนเลยนะ ก็แค่ขี้ขลาด โชคดี เป็นคนโชคดีที่รอดพ้นจากหายนะสงคราม”
โชคดีเพราะไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ขุนเขาสายน้ำจมดิ่งอย่างใบถงทวีป ฝูเหยาทวีป
ขี้ขลาดเพราะไม่มีความกล้าหาญพอที่จะกระโจนเข้าสู่สนามรบอย่างอวี๋เซียน โจวเสินจือ ดังนั้นจึงไม่เจอกับหายนะจากสงครามครานั้น โชคดีที่หลบพ้นภัยพิบัติมาได้ การหลบภัยเลี่ยงหายนะ หากว่ากันถึงที่สุดแล้ว สำหรับผู้เฒ่าท่านนี้ อันที่จริงก็คือการหลบหนีอย่างหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แต่ละคนมีโชควาสนาเป็นของตัวเองไม่จำเป็นต้องอิจฉาใคร ต่างคนต่างทุ่มเทไม่ต้องละอายใจ”
ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “โอ้โห เจ้าเด็กนี่พูดจาไพเราะนัก แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิต”
เฉินผิงอันเองก็รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ด่าคน
แต่ในฐานะผู้เยาว์ ทั้งยังได้มาเจอกับคนที่เคารพเลื่อมใส ก็จงรับไว้แต่โดยดีแล้วกัน โอกาสที่จะได้พูดคุยกับ ‘คนในตำรา’ ที่ทำให้คนเลื่อมใสถึงเพียงนี้ช่างหาได้ยาก ได้คุยเล่นแค่ไม่กี่ประโยคก็ยังถือเป็นกำไร
ผู้เฒ่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนยิ้มถามว่า “ทำไม เคยอ่าน ‘ตำราภาพขุนเขาทะเล’ ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เคยอ่านอย่างละเอียดมาก่อน”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “อ่านหนังสือ? ไม่ใช่เปิดหนังสือ?”
เฉินผิงอันเกาหัว มีสีหน้าเขินอายอย่างที่หาได้ยาก “ทั้งสองอย่าง”
ผู้เฒ่าพ่นควันขโมง คิดแล้วก็พึมพำเหมือนคุยกับตัวเอง “ปลาในบ่อมีประมาณร้อยตัวกว่า”
เฉินผิงอันรออยู่พักใหญ่ เห็นว่าอาจารย์ผู้เฒ่าลี่ไม่ได้พูดต่อ ดูเหมือนว่ากำลังทดสอบตน? จึงเอ่ยรับคำว่า “ล้วนเหมือนว่ายวนอยู่กลางอากาศ ไม่มีอะไรให้พึ่งพา”
“หนึ่งภูเขาขวางสายน้ำ สายน้ำต้องไหลอ้อมผ่าน”
“เทพลำคลองผู้ยิ่งใหญ่ มือโบกเท้าเตะ แยกออกเป็นสอง เส้นทางน้ำลึก หันมองยังคงเดิม จนวันนี้รอยประทับมือเท้ายังคงอยู่”
ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที พยักหน้าเอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนความจำดี ไม่ใช่เรื่องแปลก หนังสือเล่มนั้นของข้าแค่พลิกอ่านไปมาก็พอแล้ว”
เดิมทีนึกว่าเป็นคนฉลาดที่จะมาประจบตีสนิท คนหนุ่มหากวางตัวสุขุมเยือกเย็นเกินไป เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเกินไปก็ไม่ดี
ผู้เฒ่าชอบเอาจริงเอาจัง หากเป็นเช่นนี้จริง วันนี้จะต้องให้เจ้าเด็กนี่หาทางลงไม่ได้ ข้าผู้อาวุโสคือคนง่ายๆ สบายๆ ที่สนใจแต่ภูเขาสายน้ำ ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอริยะปราชญ์คนไหนของศาลบุ๋นหรือเป็นทายาทของแซ่ใด
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มผู้นี้จะเคยอ่านผลงานของตนมาอย่างละเอียดจริงๆ ไม่ใช่แค่การอ่านแก้เบื่อที่แค่เหลือบดูไม่กี่ทีหรือแค่หยิบมาเปิดดูครั้งเดียวอย่างที่คิดไว้
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนทุกคนล้วนความจำดี แต่หากไม่ตั้งใจเปิดอ่านตำราก็ไม่มีทางจดจำเนื้อหาทั้งหมดได้อยู่ดี ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ไม่ยินดีจะทำ ขี้เกียจ หรือไม่ก็ดูแคลนที่จะทำ
เฉินผิงอันนั่งเบี่ยงตัวหันหน้าเข้าหาอาจารย์ผู้เฒ่าอยู่ตลอด “อาจารย์ของข้าเคยบอกว่าตัวอักษรของอาจารย์ลี่มองดูเหมือนเรียบง่ายสบายๆ แต่แท้จริงแล้วกลับต้องใช้ทักษะอย่างมาก ตัวอักษรคมชัด แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ปราดเปรื่องอย่างยิ่ง”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “คำพูดดีๆ แบบนี้ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เอามาพูดเป็นบทนำเล่า”
เฉินผิงอันฉีกยิ้มกว้าง “หากรีบพูดแต่เนิ่นๆ ก็อาจกลายเป็นที่ต้องสงสัยว่าคิดประจบสอพลอ ข้ากลัวว่าอาจารย์ลี่จะไล่ข้าไปโดยตรง”
ผู้เฒ่ายื่นมือมาลูบหัว พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เจ้าตัวดี สวมหมวกสูงให้ข้าอีกแล้วหรือ?”
เจ้าเด็กนี่ใช้ได้เลยนี่นา คือคนหนุ่มที่เข้าใจพูดจริงๆ แล้วยังมีมารยาทอีกด้วย
แต่ก็คร้านจะถามว่าสรุปแล้วศิษย์พี่ของเจ้าเด็กนี่คือใครกันแน่ ถ้อยคำที่เอ่ยยกยอคุยโวโอ้อวดประเภทนี้ ทั้งในและนอกหนังสือ ชั่วชีวิตนี้ได้ยินได้เห็นมาน้อยนักหรือ?
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ขอถามอาจารย์ลี่เกี่ยวกับเรื่องบางอย่างในหนังสือได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าโบกมือ “อย่าเลยดีกว่า ข้ามาหลบซ่อนตัวเพื่อความสงบ เรียบเรียงหนังสือราชการเป็นเรื่องสิ้นเปลืองแรงใจที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันจึงพยักหน้า ไม่เอ่ยอะไรอีก หันตัวกลับมา หยิบกาเหล้าออกมากาหนึ่ง ย้ายสมาธิไปสังเกตเหตุการณ์ที่เกาะยวนยางต่ออีกครั้ง แม้จะแบ่งหนึ่งออกเป็นสาม แต่จิตวิญญาณเชื่อมโยงถึงกัน สิ่งที่เห็นและได้ยินล้วนสื่อตรงถึงกันได้อย่างไม่มีปัญหา
ผู้เฒ่าเหลือบมองคนหนุ่มที่ดื่มเหล้า ยิ่งมองก็ยิ่งประหลาดใจ ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าหนุ่ม เคยขึ้นไปบนเรือราตรีมาก่อนหรือ?”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา พยักหน้า “เหตุใดอาจารย์ลี่ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ขึ้นเรือง่ายลงเรือยาก เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่?”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า
ผู้เฒ่าพลันเบิกตากว้าง สำลักควันจนไอไม่หยุด จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าประหลาด “เคยได้ยินคำว่าโพ่จื่อลิ่งมาก่อนหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “เป็นชื่อสือไผ (ชื่อช่วงทำนองของโคลงประกอบดนตรี) เคยได้ยินมาก่อน”
ผู้เฒ่าเอากระบอกยาสูบเคาะกับขั้นบันได ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ แต่พูดถึงโพ่จื่อลิ่ง (แปลตรงตัวว่าคำสั่งไขคำ) ทำลายกรงขังตัวอักษรของเรือราตรีลำนั้น เรือราตรีลำนั้นมีแต่ความรู้ รากฐานของความรู้ยังคงเป็นตัวอักษร ดังนั้นจึงกลัวในเรื่องนี้มากที่สุด”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ผู้เยาว์ไม่เคยฝึกคาถาของลัทธิขงจื๊อ”
แต่ในใจกลับเริ่มวางแผนไว้แล้วว่าเดี๋ยววันหน้าจะต้องถามเรื่องโพ่จื่อลิ่งจากอาจารย์สักหน่อย
ผู้เฒ่าเห็นว่าคนหนุ่มไม่เหมือนพูดโกหก จึงยิ่งรู้สึกสงสัย ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ เหตุใดถึงสามารถทำให้หลี่เซิ่งเอ่ยประโยคหนึ่งกับตนโดยเฉพาะได้?!
ผู้เฒ่าพลันกระจ่างแจ้ง รู้แล้ว คงจะเป็นอิ่นกวานหนุ่มของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้นสินะ?
พอคิดอีกที ศิษย์พี่ของเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ใช่จั่วโย่วคนนั้นหรอกหรือ? สรุปก็คือไม่ค่อยมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นซิ่วหู่ผู้นั้น เจ้าตะพาบเฒ่าคนนี้คอยจับผิด ‘ตำราภาพขุนเขาและทะเล’ อย่างยิ่ง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนรู้กัน
ท้ายที่สุดพอด่าคนแล้วยังเอ่ยมาอีกประโยคหนึ่งว่า ตำราเล่มอื่นๆ ล้วนคู่ควรให้ชุยฉานเปิดอ่าน เขียนคำอรรถาธิบายเช่นนี้หรือ?
ผู้เฒ่าจึงได้แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้สถานะของอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะบอกลา หมายจะไปที่อำเภอพ่านสุ่ยก่อนแล้วค่อยไปที่ภูเขาอ๋าวโถว
……
การประชุมในศาลบุ๋น
จิงเซิงซีผิงที่อยู่ตรงหน้าประตูพลันเปิดปากเอ่ยว่า “สำนักศึกษาอวิ๋นเปียน สำนักศึกษาหลันไถ สำนักศึกษาหูเหลี่ยน สำนักศึกษาชุนโซว สำนักศึกษาถงลี่ เจ้าขุนเขาห้าท่าน นับแต่นี้ไปจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าขุนเขาอีก สถานะวิญญูชนก็ถูกถอดถอนออกจากศาลบุ๋นไปพร้อมกันด้วย”
ทุกคนในห้องพลันอึ้งตะลึง บรรยากาศเงียบกริบจนแม้แต่เข็มตกก็คงได้ยินกันทั่ว
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทั้งห้าท่าน สามคนในนั้นล้วนเป็นเจ้าขุนเขาผู้เฒ่าของสำนักศึกษาตัวเอง ศึกษาหาความรู้และถ่ายทอดวิชาความรู้อยู่ในตำแหน่งของเจ้าขุนเขามานานหลายปี ซื่อสัตย์ชวนให้คนประทับใจ ลูกศิษย์ลูกหาของแต่ละคนมีอยู่ทั่วขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป หนึ่งในนั้นมีรองเจ้าขุนเขาที่ถือโอกาสได้เลื่อนเป็นเจ้าขุนเขา สุดท้ายคือวิญญูชนผู้เที่ยงตรงของสถานศึกษาคนหนึ่งที่ได้เลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาชุนซัว
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาถงลี่ลุกขึ้นยืนช้าๆ ประสานมือคารวะจิงเซิงซีผิงก่อน จากนั้นก็ถามเสียงดังกังวานว่า “เพราะเหตุใด?!”
หยวนพางเงยหน้าขึ้น สีหน้าเคร่งเครียด
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาห้าคนที่อยู่ดีๆ ก็สูญเสียตำแหน่งไป มีทุกสายของศาลบุ๋น สายของหลี่เซิ่ง สายของหย่าเซิ่ง และยังมีลูกศิษย์ของเจ้าลัทธิหลักและรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นอีกสองคน
ฮว่อหลงเจินเหรินเองก็ตกใจมาก จึงถามว่า “ตาเฒ่าอวี๋ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
อวี๋เสวียนส่ายหน้า “ข้าไม่สนิทกับศาลบุ๋นสักหน่อย เรื่องในบ้านของศาลบุ๋น ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาท่านนั้นไม่ได้แค้นเคืองเดือดดาล เพียงแค่ถามย้ำว่า “เพราะเหตุใด?!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!