กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 796

เจิ้งจวีจงชี้ไปที่หัวของกู้ช่าน “การเข่นฆ่าที่แท้จริง จริงๆ แล้วอยู่ในนี้”

“หญิงชราอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงวางแผงขายของ สามารถเก็บเงินจากคนหนุ่มแข็งแรงได้ เด็กสาวอายุน้อยกล้าเดินไปตามตรอกซอกซอยเพียงลำพัง เพราะเหตุใด?”

ฟู่จิ้นตอบ “ฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายบรรทัดฐาน”

ส่วนเรื่องที่อาจารย์ได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างเงียบเชียบนั้น ฟู่จิ้นไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าในใจไม่มีริ้วคลื่นใดๆ ปรากฏด้วยซ้ำ

เจิ้งจวีจงส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “นี่จะพอเสียที่ไหน”

ฟู่จิ้นเริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง การถ่ายทอดความรู้ของนครจักรพรรดิขาวไม่ได้มีแค่เรื่องมรรคกถาเท่านั้น

กู้ช่านพลันถามว่า “อาจารย์เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วหรือ?”

นี่คือเรื่องใหญ่เทียมฟ้าที่สามารถช่วงชิงโชคชะตาของเปลี่ยวร้างมาได้เลยนะ!

ก็เหมือนกับที่หลิวชาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ในใต้หล้าไพศาล เหตุใดผู้ฝึกกระบี่เคราดกผู้นี้ไม่อาจกลับคืนไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้เด็ดขาด? ก็เพราะว่าหลิวชาช่วงชิงเอาโชคชะตาของไพศาลไปมากเกินไป

มิน่าเล่าศาลบุ๋นและหลี่เซิ่งถึงได้ต้องมองเจิ้งจวีจงเสียใหม่ ผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากนี่ไม่ใช่คุณความชอบทางการสู้รบแล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นคุณความชอบด้านการสู้รบ?

เจิ้งจวีจงยิ้มเอ่ย “ขั้นตอนอันตรายอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์กลับไม่ผิดไปจากที่คาด”

กู้ช่านกุมหมัดเอ่ย “ขอแสดงความยินดีกับอาจารย์ด้วย”

มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคงอาศัยช่วงเวลาที่บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่อยู่ที่ซากปรักร่องเจียวหลง ประลองตบะกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่อยู่บนยอดเขาสุ้ยซาน มหาสมุทรความรู้โจวมี่อยู่ที่ใบถงทวีป ประลองเวทคาถาอยู่กับชุยฉาน ฉีจิ้งชุน

หันเชี่ยวเซ่อเอ่ยสัพยอก “โชคดีที่หลิ่วชื่อเฉิงไม่รู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ดีใจเหมือนบุปผาผลิบานเลยหรือ”

หลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้ไม่ได้เสียสติธรรมดา ขอบเขตของศิษย์พี่ก็คือขอบเขตของข้า นครจักรพรรดิขาวของศิษย์พี่ก็คือนครจักรพรรดิขาวของข้า ใครกล้ามาขวางทางก็จะเอาหัวโหม่งให้ตายไปเลย

เจิ้งจวีจงพูดคุยถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง “ตำราที่อาจารย์ลี่หมินเป็นคนเขียน พวกเจ้าน่าจะเคยอ่านกันแล้ว”

หันเชี่ยวเซ่อที่นั่งอยู่บนธรณีประตูยกมือข้างหนึ่งขึ้น “ข้าไม่เคยอ่านนะ ไม่แม้แต่จะเคยได้ยินมาก่อน”

เจิ้งจวีจงมองแผ่นหลังของศิษย์น้องหญิง

เป็นเพราะตนไม่ได้ถ่ายทอดวิชาให้นานเกินไป นางก็เลยเริ่มไม่รู้จักหนักเบาแล้วอย่างนั้นหรือ? ยังรู้สึกว่าอยู่กับศิษย์พี่อย่างตนแล้วพูดจาไร้ความยำเกรง ก็จะสามารถช่วงชิงความรู้สึกดีๆ มาจากกู้ช่านได้แล้ว?

หันเชี่ยวเซ่อรู้สึกเสียวสันหลังวาบ รีบพูดทันทีว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะไปกินตำราเล่มนั้น”

แน่นอนว่ากินจริงๆ เป็นความหมายตามตัวอักษร

ปีนั้นศิษย์พี่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เห็นว่าการฝึกตนของนางยากที่จะพัฒนาไปได้อีกขั้น จึงเคยแบ่งดวงจิตไปช่วย ‘ปกป้องมรรคา’ ให้นางในตลาดแห่งหนึ่งเป็นเวลาสามร้อยปี มองดูนางคลุกเปื้อนธุลี ไม่รู้อะไรสักอย่าง มึนๆ งงๆ พูดถึงแค่ช่วงไม่กี่สิบปีสุดท้ายนั้น หันเชี่ยวเซ่อคือคุณหนูตระกูลชั้นสูงที่พลอดรักกับบัณฑิตตกอับหน้าบุปผาใต้แสงจันทร์ คือสตรีชาวเรือที่ชาติกำเนิดน่าสงสาร คือคนขายของข้างทาง คือคนฆ่าสัตว์ก้นใหญ่ คือคนชันสูตรศพ คือคนบอกเวลายามค่ำคืน คือปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่งที่สติปัญญาเพิ่งเปิดออก

จากนั้นเพียงชั่วพริบตา ชายหญิงและภูตเหล่านี้ก็มารวมตัวกันในนาทีใดนาทีหนึ่ง ชั่ววินาทีที่นางฟื้นตื่นขึ้นมา เป็นหันเชี่ยวเซ่อเหมือนกัน มองดู ‘หันเชี่ยวเซ่อ’ เหล่านั้น

นอกจากมองหน้ากันเองตาปริบๆ แล้ว จะยังมีผลลัพธ์เป็นแบบใดได้อีก

ศิษย์พี่ที่ความรู้เลิศล้ำผู้นี้ ดูเหมือนว่าชีวิตของการฝึกตนหลายพันปีคงจะ ‘เบื่อหน่าย’ เกินไปหน่อย ระหว่างนั้นยังเคยเสียเวลาไปนานหลายปีเพื่อถามเองตอบเองในเรื่องหนึ่ง

นั่นคือคำถามที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางคิดถึง

จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเจิ้งจวีจงไม่ใช่มรรคาจารย์เต๋า…

ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนที่เคยอ่านหนังสือเล่มนั้นมาแล้ว ต่างคนต่างก็มีคำตอบ เพียงแต่ว่าไม่ค่อยกล้าแน่ใจมากนัก

ฟู่จิ้นเอ่ย “ความรู้ในบทความยังขาดข้อพิถีพิถัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนเป็นฌานสุนัขจิ้งจอก เป็นมารนอกรีต?”

กู้ช่านเอ่ย “จูจื่ออธิบายคัมภีร์ เรื่องของการเข้าข้างตัวเอง คนรุ่นหลังหูตาคับแคบ ไม่เกี่ยวอะไรกับจื่อจูหรือ?”

เจิ้งจวีจงส่ายหน้า เอ่ยเตือนลูกศิษย์สองคนไปประโยคหนึ่ง “บทที่สี่สิบแปด”

ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนต่างก็กระจ่างแจ้ง ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว

ในตำรามีคนบอกว่าต้องเรียบเรียงตำราสามเล่มให้ได้ หนึ่งคือตำราระเบียบพิธีการ หนึ่งคือตำราตัวอักษร หนึ่งคือตำราขนบพื้นบ้าน

ฟู่จิ้นครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็พยักหน้า “ก็จริง บัณฑิตในใต้หล้านี้มีไม่น้อย แต่คนที่ไม่รู้ตัวอักษรกลับมีมากยิ่งกว่า”

สถานที่มากมายของใต้หล้าไพศาล อันที่จริงแล้วหลักการเหตุผลไม่ใช่หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำรา แต่เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของพื้นบ้านและกฎระเบียบประจำตระกูล

หันเชี่ยวเซ่อที่นั่งอยู่บนธรณีประตูฟังด้วยความปวดหัว ใช้ปิ่นเล็กบางแต้มชาดทาปาก เอามาแตะบนริมฝีปากเบาๆ เข้ากับจุดสีที่แต้มอยู่ข้างลักยิ้มอย่างมาก

กู้ช่านเปิดปากเอ่ยเตือน “สามารถเลียนแบบสตรีชั้นสูงใน ‘ภาพต่าวเลี่ยน’ ที่ตรงหว่างคิ้ววาดเป็นดอกไม้ลักษณะคล้ายหยดน้ำได้ เมื่อเทียบกับการแต้ม ‘ลายอักษรหัวใจ (心)’ และลายดอกเหมยแล้ว ยังน่าดูยิ่งกว่า จะทำให้การแต่งหน้าครั้งนี้เหมือนถูกแต้มนัยน์ตามังกร”

หันเชี่ยวเซ่อคลี่ยิ้มหวาน พยักหน้าเบาๆ นางเชื่อมั่นในสายตาของกู้ช่าน

บนม้วนภาพ การต่อสู้ที่ควรเกิดขึ้น การต่อสู้ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ล้วนสิ้นสุดลงแล้ว

เจิ้งจวีจงมองถัวเหยียนฮูหยินกับเทพีบุปผาดอกเฟิ่งเซียนแล้วถามว่า “หากพวกเจ้าคือเฉินผิงอัน จะยินดีช่วยหรือไม่ จะช่วยอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะทำให้เทพีบุปผาเฟิ่งเซียนไม่ถึงขั้นระดับถดถอยกลายเป็นอีมิ่งขั้นเก้า โดยที่เฉินผิงอันเองก็ได้ผลประโยชน์สูงที่สุด?”

เรื่องนี้คือการประเมินที่ร้อยปีจะเกิดขึ้นสักครั้งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา เนื่องจากก่อนหน้านี้จางเหวินเฉียนหนึ่งในสี่บัณฑิตที่เป็นลูกศิษย์ของซูจื่อได้ดูแคลนดอกเฟิ่งเซียนอย่างหนัก ไม่ชอบความงามที่ธรรมดาสามัญของดอกไม้ชนิดนี้ เหยียดหยามว่าเป็นดอกไม้ชั้นต่ำ และจางเหวินเฉียนผู้นี้ก็เป็นคนที่แข็งกระด้างตรงไปตรงมา เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต ก่อนจะเดินขึ้นเขามาฝึกตนได้เป็นขุนนางเล็กๆ ในพื้นที่หนึ่งมาหลายสิบปี ชื่อเสียงดีเยี่ยม ความรู้ความสามารถก็สูงยิ่งกว่า ดังนั้นคำวิจารณ์ของ ‘เฝยเซียน’ ผู้นี้ สำหรับเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนแล้วจึงแทบจะเป็นหายนะเอาชีวิตที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้าใส่

ถัวเหยียนฮูหยินที่มาจากสวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัวยินดีสานสะพานความสัมพันธ์ให้กับเด็กสาวเทพีบุปผา มาขอให้อิ่นกวานหนุ่มช่วยเหลือ

หันเชี่ยวเซ่อที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูคิดว่าในเมื่อเสียเปรียบกับเรื่องหนังสือ ก็ควรจะทวงคืนกลับมาจากนอกหนังสือ

นางเปิดปากก่อนด้วยการถามหยั่งเชิงว่า “จ่ายเงินซื้อบทความบางส่วนมาช่วยดอกเฟิ่งเซียนนั่นสร้างชื่อเสียสิ ทุกวันนี้ทางฝั่งของศาลบุ๋นไม่ได้ขาดแคลนบัณฑิตที่มีบทกวีเต็มท้องเสียหน่อย เฉินผิงอันยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งด้วย หาเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษามาสักสองสามคนแล้วขอกลอนสักสามสี่บทมาก็คงไม่ยากกระมัง ไม่ต้องจ่ายเงินด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นกลอนพรรณนาบุปผาที่ฝืนใจแต่งออกมา มาตรฐานไม่สูงพอ แต่ขอแค่มีจำนวนมากหน่อย อีกทั้งยังแพร่ไปจากทางฝั่งของศาลบุ๋น ถึงอย่างไรก็ยังได้ผลทันตาเห็นอยู่ดี”

“หากไม่ได้จริงๆ เฉินผิงอันก็ไปหาเฝยเซียนนั่นสิ พูดจาโน้มน้าวดีๆ สักหน่อย ไม่ใช่ว่าอยากเป็นคนหนุ่มหรอกหรือ ออกกระบี่ได้ แสร้งทำเป็นทวงความไม่เป็นธรรมแทนเด็กสาวเทพีบุปผา ก็มีเหตุผลทั้งหมด เรื่องของการคัดเลือกเทพีบุปผาของพื้นที่มงคล เป็นเรื่องที่อาจารย์ป๋ายซาน จางอี้และโจวฝูชิงสามคนเป็นคนจัดการ ดูเหมือนว่าทุกวันนี้จางอี้จะอยู่ที่ภูเขาอ๋าวโถว ต่อให้เฉินผิงอันไปชนตอที่จางเหวินเฉียน แล้วก็ไม่ได้ถามกระบี่ ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาจางอี้ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เคารพเลื่อมใสในความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าที่สุดแล้ว”

“ไม่อย่างนั้นก็ไปหาซูจื่อเสียเลย ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเฉินผิงอันมีเงินร้อนน้อยเหรียญนั้น? ซูจื่อใจกว้าง เห็นเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นแล้ว เกินครึ่งก็น่าจะยินดีพูดจาดีๆ สองสามประโยค ไม่แน่ว่าดื่มเหล้าไปแล้วอาจยกกลอนพรรณนาบุปผาให้กับเทพีบุปผาเฟิ่งเซียน สยบข่มคำวิจารณ์ของลูกศิษย์ตัวเองโดยตรงเลยก็เป็นได้”

กู้ช่านส่ายหน้าเบาๆ

ได้ไม่คุ้มเสีย

หันเชี่ยวเซ่อจึงรู้ว่าตัวเองพูดผิดอีกแล้ว

เจิ้งจวีจงกล่าว “ยินดีใช้สมอง ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่ใช้สมองเสียเลย”

หันเชี่ยวเซ่อพรูลมหายใจยาวเหยียด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!