เด็กชายร้องอ้อหนึ่งที แล้วถามว่า “ศิษย์พี่ สำนักแห่งนี้ของพวกเราสามารถแต่งภรรยาได้หรือไม่?”
“ได้สิ”
“ถ้าอย่างนั้นรอให้ข้าขึ้นเขาไปสักสี่ห้าปีก็จะลงจากภูเขาไปสู่ขอเด็กโง่ข้างบ้านคนนั้น นางเรียนหนังสือโง่มาก ตัวอักษรก็เขียนบิดๆ เบี้ยวๆ มักจะเลื้อยออกไปนอกช่องเสมอ อาจารย์เห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ”
หากถึงเวลานั้นนางไม่ได้หน้าตางดงามเหมือนตอนเด็กแล้วก็ค่อยว่ากันอีกที
เด็กชายดีดลูกคิดรางเล็กๆ ดังป้อกๆ แป้กๆ
เขากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด ถามเสียงเบาว่า “เป็นศิษย์พี่ไปทำไม ไม่สู้ท่านมาเป็นอาจารย์ของข้าเลยดีกว่า?”
ยังคงดีดลูกคิดรางเล็กนั้น เจ้าคนที่อยู่ข้างกายผู้นี้มองดูแล้วเป็นคนใจเย็นนิสัยดี เป็นศิษย์พี่ไม่อาจดูแลอะไรได้ วันหน้าหากทำความผิด โดนด่าโดนตีก็ไม่สามารถปกป้องตนได้ แต่หากเป็นอาจารย์ของตน หึหึ “ใช่ไหม ศิษย์พี่ ข้าเห็นว่าท่านดูเป็นคนดี นิสัยดี พูดจาน่าฟัง ดีอย่างมากเลยล่ะ วันหน้าอาจารย์ของข้าก็คือท่านแล้ว พวกเราควรเกี่ยวก้อยสัญญากันก่อนหรือไม่…”
จ้าวเหวินหมิ่นรู้สึกปวดหัวแปลบ สายตาในการเลือกลูกศิษย์ของอาจารย์ปู่ยังคงเหมือนในอดีต…เจ้าเล่ห์นัก
อันที่จริงปีนั้นที่เขาสามารถขึ้นเขาไปฝึกตนได้ก็เพราะอาจารย์ปู่ช่วยลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเองรับลูกศิษย์ผู้สืบทอด
ครั้งนี้ถือว่าตนใช้หนี้ให้แล้วหรือไม่?
นักพรตเฒ่าสวมชุดสีม่วงตรงเอวห้อยกาเหล้าพลันมาปรากฏตัวอยู่ข้างกาย จ้าวเหวินหมิ่นเตรียมจะลุกขึ้นยืนคารวะ นักพรตเฒ่าโบกมือ พิธีการไร้สาระ ไม่รำคาญบ้างหรือไร
อวี๋เสวียนหาข้ออ้างกับทางฝั่งของศาลบุ๋นออกมาผ่อนคลายอารมณ์
การประชุมครั้งนี้ใช้เวลานานเกินไป ช่างอืดอาดทรมานคนเสียจริง
ตอนนี้ได้รับลูกศิษย์คนใหม่มาไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงอย่างไรก็ควรจะมาดูให้เห็นกับตาสักหน่อย
อวี๋เสวียนคิดแล้วก็กระแอมหนึ่งที ตีหน้าเคร่งวางมาดของเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขาอย่างที่หาได้ยาก
จ้าวเหวินหมิ่นเอ่ยเตือนเสียงเบา “อาจารย์ของเจ้ามาแล้ว”
เด็กชายเงยหน้าขึ้น แค่มองก็เห็นใบหน้าแก่ๆ ที่มองดูแล้วน่าจะพูดคุยด้วยยากอย่างถึงที่สุด ต่างอะไรกับอาจารย์ในโรงเรียนของตนที่ต่อให้หลับตาก็ใช้ถ่านขว้างโดนผู้นั้นตรงไหน?
เด็กชายยู่หน้า น้อยเนื้อต่ำใจจนอยากร้องไห้ คราวนี้ไม่ได้แสดงแล้ว แต่กลัวจริงๆ ความคิดของเด็กชายเรียบง่ายอย่างมาก ถึงอย่างไรโรงเรียนก็อยู่ใกล้บ้าน ไปอยู่บนภูเขาแล้วจะหนีอย่างไร? ต้องกินให้อิ่มมากแค่ไหนถึงจะมีแรงวิ่งกลับมาถึงบ้านรวดเดียวได้โดยที่ไม่หิว?
อวี๋เสวียนรีบทรุดตัวลงนั่งยอง ถลึงตาใส่เจ้าคนที่แค่เรื่องเล็กๆ อย่างรับอาจารย์อาน้อยมาก็ยังทำได้ไม่ดีดุๆ จากนั้นเอ่ยปลอบใจเด็กชาย “จิ่งเซียวอ่า ข้าคืออาจารย์เอง”
เด็กชายอึ้งตะลึง เหตุใดถึงได้เหมือนตาแก่นักต้มตุ๋นที่แม้แต่ถังหูลู่ก็ยังซื้อกินเองไม่ได้นักเล่า?
เขาควักเงินเหรียญทองแดงกำหนึ่งออกมาอย่างอิดออด เกือบจะเป็นสมบัติทั้งหมดที่มีแล้ว เหลือไว้แค่เงินสำหรับซื้อถังหูลู่เท่านั้น ส่วนที่เหลือล้วนมอบให้ศิษย์พี่คนนั้น “มีเงินแค่นี้แล้ว เจ้าเอาให้เขา ข้ากลับบ้านล่ะ เดี๋ยวจะไปเอาเงินมาให้พวกเจ้ามากกว่าเดิม พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่แหละ ข้าจำทางได้ ไม่ต้องไปส่ง…”
ยัดเงินเหรียญทองแดงใส่มือของนักพรตแล้วเด็กชายก็วิ่งหนีทันที
นักพรตปากอ้าตาค้าง มองอาจารย์ปู่อย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง
อวี๋เสวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องขัดขวาง แค่รออยู่ตรงนี้ก็พอ
เด็กชายเดินถอยหลัง จากนั้นจึงหมุนตัวเดินไปด้วยฝีเท้าไม่เร็ว หันกลับมามองอยู่สองสามที แล้วถึงได้ชักเท้าวิ่งตะบึงหนีไป
เพียงแต่ว่าวิ่งออกไปไกลมากแล้ว เด็กชายถึงได้หยุดฝีเท้า หอบหายใจพลางหันมามองนักพรตวัยกลางคนแวบหนึ่ง
เด็กชายเกาหัว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ยังไม่กล้าพอจึงหมุนตัวกลับแล้ววิ่งหนีไปต่อ
นักพรตสองคนที่ลำดับอาวุโสห่างกันหนึ่งชั้นยืนเคียงบ่ากันอยู่ริมน้ำ
จ้าวเหวินหมิ่นถามเสียงเบา “อาจารย์ปู่ ไม่สู้ให้ข้าอำพรางตนคุ้มครองอาจารย์อาน้อยกลับไปบ้านรอบหนึ่งดีไหม?”
อวี๋เสวียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครเป็นอาจารย์ของเขา? เป็นหน้าที่ของเจ้าหรือ? ผู้ฝึกตนต้องมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี เรื่องการประจบสอพลอนั้นไม่ควรทำ!”
ในที่สุดก็มีโอกาสได้ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋าอย่างถูกระเบียบต่ออาจารย์ปู่เสียที พอจ้าวเหวินหมิ่นยืดตัวขึ้นแล้วก็เอ่ยว่า “เกือบจะลืมคำสั่งสอนของอาจารย์ปู่ไปแล้ว พฤติกรรมของคนก็คือแก่นแห่งยันต์ ความเคารพจริงใจในใจก็คือรากฐานของมรรคกถา”
อวี๋เสวียนหรี่ตายิ้มเอ่ย “เหวินหมิ่น ครั้งนี้ช่วยข้ารับลูกศิษย์มาคนหนึ่งจะต้องจดบันทึกคุณความชอบของเจ้าหนึ่งครั้ง กลับไปก็ไปรับรางวัลจากอาจารย์อาที่ดูแลเงินของอารามจิงเหว่ยเจ้า อย่างน้อยต้องเป็นอาวุธกึ่งเซียน ระดับขั้นไม่สูง รูปลักษณ์แย่ไป ย่อมไม่เข้าท่า เจ้าบอกกับเขาไปเลยว่าไม่ใช่คำสั่งของข้า เขาสามารถตัดสินใจเอาเองได้ ส่วนอาจารย์อาของเจ้าจะเอาไปบอกใคร ถึงอย่างไรอีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปที่ธารดวงดาวนอกฟ้าแล้ว ยิ่งไม่สามารถควบคุมดูแลเรื่องจุกจิกยิบย่อยของพวกเจ้าได้”
จ้าวเหวินหมิ่นคารวะอีกรอบ
อารามจิงเหว่ยของเขาคือผู้ที่ยากจนข้นแค้นด้านทรัพย์สินเงินทองที่สุดในบรรดาสายเต๋าทั้งหลายของอาจารย์ปู่ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ที่ชอบร้องทุกข์บอกว่าตัวเองยากจนเก่งที่สุดคืออารามจิงเหว่ย’
ฟังจากความหมายของอาจารย์ปู่ก็คืออยากให้ตนไปแสดงความสามารถของอารามจิงเหว่ยที่ภูเขาบรรพบุรุษของอาจารย์ตนอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็จะทำตามคำสั่งของอาจารย์ปู่แล้ว เสียงของอาจารย์อาในศาลบรรพจารย์ต้องไม่เบาอย่างแน่นอน
อวี๋เสวียนถาม “เหวินหมิ่น แม้จะบอกว่าทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลมีสันติสุขแล้ว แต่เจ้ายินดีจะลงจากเขาออกเดินทางไกลไปสังหารโจรร้ายหรือไม่?”
จ้าวเหวินหมิ่นยิ้มเอ่ย “อาจารย์ปู่ เดิมทีศิษย์ก็อยากกลับอารามจิงเหว่ยแล้วขอจดหมายฉบับหนึ่งมาจากภูเขาบรรพบุรุษ ไม่สนใจแล้วว่าทางฝั่งนั้นจะตอบตกลงหรือไม่ ศิษย์ก็จะต้องไปใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้จงได้ พวกอาจารย์อาอาจารย์ลุงทั้งหลายที่อยู่บนภูเขาบรรพบุรุษคงไม่ถึงขั้นไปจับตัวข้ากลับมาอารามจิงเหว่ยหรอก ส่วนเรื่องเจ้าอาราม ในใจศิษย์ก็มีตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่แล้ว จะไม่ถ่วงรั้งเรื่องของการสืบทอดอย่างแน่นอน ในเมื่อวันนี้พูดเรื่องนี้กับอาจารย์ปู่แล้ว กลับอารามจิงเหว่ยครั้งนี้ก็สามารถลดเรื่องของการส่งจดหมายไปได้”
อวี๋เสวียนพยักหน้า “ขอเทียนจุนอำนวยพร”
นักพรตเฒ่าชำเลืองตามองจ้าวเหวินหมิ่นที่ยืนนิ่งไม่ขยับ “มัวยืนอึ้งอยู่ทำไม ยังไม่รีบไปช่วยคุ้มกันอาจารย์อาน้อยของเจ้าอีก จิ่งเซียวเป็นเด็กตัวเล็กแค่นั้น เจ้าที่เป็นศิษย์หลานจะวางใจได้หรือ หา?!”
จ้าวเหวินหมิ่นยิ้มแล้วขอตัวลาจากไป
อวี๋เสวียนเงยหน้ามองท้องฟ้า
ปลดน้ำเต้าสีชาดตรงเอวลงมา นักพรตเฒ่าดื่มเหล้าไปหนึ่งอึก
ลืมเลือนทั้งวัตถุและตัวข้าเอง หล่อหลอมธารดวงดาว พร้อมใจเดินเข้าสู่บ้านเกิดแห่งเต๋า
อวี๋เสวียนถอนสายตากลับมา มารดามันเถอะ เจ้าพวกตะพาบเฒ่าทั้งหลายในใต้หล้าเปลี่ยวร้างชอบรุมซ้อมคนอื่นกันนักไม่ใช่หรือ ยืดคอยาวๆ ออกมารอกันได้เลย สักวันหนึ่งจะต้องมีธารดวงดาวเส้นหนึ่งกระแทกลงบนหัวแน่
……
มีคนเริ่มทยอยกันเดินออกมาจากศาลบุ๋น ครั้งนี้ไม่ได้ออกมาดื่มเหล้าแก้เบื่อแล้ว แต่เป็นเพราะการประชุมของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้ว
คนหนึ่งในนั้นก็มีเฉาผู่ราชครูของราชวงศ์เส้าหยวนที่พาลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างหลินจวินปี้ออกมาด้วย
เฉาผู่กล่าว “ทางฝั่งของฝ่าบาท เรื่องที่จะให้เจ้ามารับหน้าที่เป็นราชครูก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ปัญหาน้อยใหญ่นอกจากนั้น ทั้งในทางมืดและทางสว่างล้วนต้องให้เจ้าแก้ไขด้วยตัวเอง”
อันที่จริงเดิมทีควรต้องรอไปอีกสักยี่สิบสามสิบปี ช่วยปูทางให้กับลูกศิษย์มากกว่านี้ถึงจะมั่นคง เพียงแต่เวลาไม่คอยใคร ไม่อาจถ่วงเวลาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หลินจวินปี้สามารถขัดเกลาฝีมือได้มากขึ้น
ส่วนตัวเฉาผู่เองต้องเดินทางไปยังทวีปอื่นทันที รับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง ใช้สถานะของผู้ฝึกตนบนภูเขาเต็มตัวมาวางแผนให้กับทวีปหนึ่ง
จำต้องยอมรับว่าตนเดินบนทางเส้นเก่าที่ซิ่วหู่ชุยฉานเคยเดิ นผ่านไปแล้ว
ส่วนระดับความสูงในท้ายที่สุด ในเมื่อคนทำสุดความสามารถแล้วที่เหลือก็ต้องฟังลิขิตจากสวรรค์
หลินจวินปี้พยักหน้า “จะพยายามไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวัง”
เฉาผู่เอ่ยเตือน “สามารถเรียนรู้จากเฉินผิงอันให้มากๆ ได้ แต่อย่าได้กลายเป็นเฉินผิงอันคนที่สอง อันที่จริงในเรื่องนี้ เจ้าควรจะเรียนรู้มาจากเขามากที่สุด”
หลินจวินปี้กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ “แน่นอน”
ฮว่อหลงเจินเหรินเดินออกมาจากประตูใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้จากไปไหน
แทบทุกคนที่เดินผ่านมาล้วนเป็นฝ่ายมาทักทายเจินเหรินผู้เฒ่าคนนี้ก่อน พูดคุยตามมารยาทกับเขาสองสามประโยค
รอกระทั่งตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ที่มีฉายาว่าชิงจงเดินออกมาพร้อมกับเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา เห็นแผ่นหลังของฮว่อหลงเจินเหริน นางก็รีบเตรียมจะอ้อมเดินไปลงบันไดทางอื่นทันที
คิดไม่ถึงว่าฮว่อหลงเจินเหรินจะหันหน้ามามองสตรีร่างอ้วนฉุ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ฝีเท้าของตั้นตั้นฮูหยินหนักแน่น ผินเต้าอุดหูก็ยังได้ยิน”
ตั้นตั้นฮูหยินกระชากแขนเสื้อของเหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผาให้มาพบฮว่อหลงเจินเหรินด้วยกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!