คนทั้งสามจากไปทิ้งไว้เพียงเฉินผิงอันที่ถือเป็นคนนอกของสำนักซานไห่ให้นั่งอยู่ริมหน้าผามองไปยังทิศไกลอยู่เพียงลำพัง
ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างหน้าผาและทะเลของโลกมนุษย์ แสงภูเขาสะท้อนเข้ากับแสงน้ำ คนชุดเขียวสะพายกระบี่เดินทางไกล ลมเย็นดวงจันทร์กระจ่างล้วนอยู่ในการควบคุมของข้า
ในประวัติศาสตร์สำนักซานไห่เคยเปลี่ยนชื่อสำนักมาก่อน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนแค่คำเดียว จากเหอเป็นไห่ ทว่าผู้ฝึกตนมีอายุของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับยังคงเคยชินที่จะเรียกว่าสำนักซานเหอ
น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ได้พบเจอบรรพจารย์หญิงท่านนั้น ว่ากันว่านางคือลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของน่าหลันเซียนซิ่วเจ้าสำนักอีกที ไม่อย่างนั้นก็จะมีโอกาสรู้แล้วว่าสรุปแล้วนางชอบศิษย์พี่คนใดกันแน่
ไม่ว่าจะชอบชุยฉานหรือจั่วโย่ว ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่คนใดก็ล้วนสายตาดีทั้งสิ้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน รอการมาถึงของเรือราตรีลำนั้น อย่างมากสุดอีกหนึ่งก้านธูปก็น่าจะขึ้นเรือได้แล้ว
ตรงริมหน้าผา คนชุดเขียวยืนองอาจอย่างเดียวดาย
หวนนึกถึงคำพูดประโยคนั้นของหลี่เซิ่ง ความคิดของเฉินผิงอันก็ล่องลอยออกไปไกล เขาปล่อยให้ความคิดที่มากมายซับซ้อนผุดขึ้นผุดลง ประหนึ่งสายลมพัดผ่านทะเลสาบหัวใจจนเกิดริ้วกระเพื่อม
อ่านตำราไม่รู้ว่าการเอาคัมภีร์มานั้นยากแค่ไหน ส่วนใหญ่มักจะมองคัมภีร์อย่างง่ายๆ
จำได้ว่าตรงกอดอกเฟิ่งเซียนหน้าบ้านหลิวเสี้ยนหยาง มีครั้งหนึ่งฝนตกกระหน่ำ ร่องคูน้ำทุกแห่งของเมืองเล็กล้วนเกิดน้ำท่วม ดอกไม้จึงถูกน้ำซัดหายไป เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าเสียดายอย่างมาก ทว่าหลิวเสี้ยนหยางที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงกลับไม่ได้เสียใจมากมายขนาดนั้น บอกว่าหายแล้วก็หายไป กลับเป็นกู้ช่านที่เสียดายที่สุด ระหว่างที่เดินกลับบ้านก็บ่นเฉินผิงอันมาตลอดทาง บอกว่าหากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรกก็ไม่สู้ย้ายไปอยู่ที่บ้านของเขาแล้วไม่ต้องย้ายกลับมาอีก ไม่แน่ว่าเวลานี้ดอกไม้อาจจะยังบานงดงามอยู่เหมือนเดิมก็เป็นได้
หวนนึกถึงแม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายที่ใช้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ผู้นั้น เฉินผิงอันก็นึกไปถึงในบ้านบรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางอย่างเป็นธรรมชาติ ด้านในนั้นยังมีชั้นวางขนาดใหญ่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษอยู่อีกชั้นหนึ่ง ฝีมือประณีตอย่างยิ่ง เป็นของเก่าแก่ที่วาดเป็นรูปดอกไม้ลงลายสีทอง ด้านหลังชั้นวางยังฝังภาพผืนหนึ่งเอาไว้ มีต้นกุ้ยสีทองที่ออกดอกบานสะพรั่ง เหนือกิ่งคือดวงจันทร์เต็มดวงหนึ่งดวง เฉินผิงอันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องแบบนี้จะอธิบายด้วยเหตุผลอย่างไร? ด้ายหนึ่งเส้นเชื่อมโยงวาสนาครองคู่ไกลพันลี้? โชคชะตากำหนดมาไว้แล้ว ต่อให้หลิวเสี้ยนหยางกับเซอเยว่จะอยู่ไกลกันโดยมีหนึ่งใต้หล้ากั้นขวางก็ยังได้มาครองคู่อยู่ด้วยกันอย่างนั้นหรือ? หวังว่าพวกเขาสองคนที่พบเจอกันด้วยดีแล้วจะไม่แยกย้ายกันไปอีก ได้ผูกบุญสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
หันเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาวซื้ออาวุธหนักของผู้ฝึกตนผีชิ้นหนึ่งไปจากร้านผ้าห่อบุญบนเกาะนกแก้ว ตอนนั้นเฉินผิงอันที่อยู่ในสวนกงเต๋อได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ไม่สอบถามสถานการณ์การซื้อขายของร้านผ้าห่อบุญจากอาจารย์ซีผิงทุกๆ สามวันห้าวันอีก
และชีวิตของเฉินผิงอันเองก็ไม่ถูกลำธารสายหนึ่งที่น้ำท่วมทะลักกั้นขวางไว้อีกต่อไปแล้ว
เฉินผิงอันพลันหันหน้ากลับไปด้วยความประหลาดใจอย่างมาก นางไม่ได้ไปยังสถานที่ฝึกกระบี่ที่นอกฟ้า แล้วยังเพิ่งจะหวนกลับมายังไพศาลด้วย?
สตรีชุดขาวถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว มองไปยังทิศไกล ยิ้มเอ่ยว่า “เพียงแค่กะพริบตา หนึ่งหมื่นปีผ่านไปแล้วก็เป็นอีกหนึ่งหมื่นปี”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ราวกับว่าแค่กะพริบตาจากห้าขวบก็กลายมาเป็นสี่สิบเอ็ดปีแล้ว”
นางถาม “นายท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่เคยมีเวทคาถาที่ค่อนข้างสำคัญบทหนึ่งร่วงหล่นลงมา?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นจากในเอกสารของคฤหาสน์หลบร้อน ตอนอยู่ศาลบุ๋นก็ไม่เคยได้ยินอาจารย์และศิษย์พี่พูดถึง”
นางบอกความจริงเรื่องหนึ่งที่ถูกฝุ่นเกาะมานานให้เฉินผิงอันฟังคร่าวๆ สถานที่อย่างสำนักซานไห่นี้เคยเป็นซากปรักสนามรบยุคบรรพกาลแห่งหนึ่ง คือสถานที่ปิดฉากศึกช่วงชิงระหว่างน้ำและไฟ นี่จึงเป็นเหตุให้มีปณิธานแห่งมรรคาแฝงอยู่ไร้ที่สิ้นสุด เวทคาถาพังทลายหล่นร่วงลงมายังโลกมนุษย์ ท่วงทำนองที่จำแลงออกมาก็คือโชควาสนาตระกูลเซียนของผู้ฝึกลมปราณในยุคหลัง
เพียงแต่ว่าเรื่องประเภทนี้ ทางฝั่งของศาลบุ๋นมีบันทึกไว้ไม่มาก มีเพียงอริยะปราชญ์ที่มีรูปปั้นของแต่ละยุคสมัยเท่านั้นที่สามารถเปิดอ่านได้ เป็นเหตุให้ต่อให้เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้เรื่องนี้
นางยิ้มเอ่ย “ในอนาคตใต้หล้าห้าสีแห่งนั้นจะต้องมีตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่เกิดมาก็สามารถข่มหนิงเหยาได้โดยธรรมชาติ แต่ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อย่างแน่นอน จะมีการช่วงชิงบนมหามรรคากับหนิงเหยา ดังนั้นบอกหนิงเหยาว่าอย่าได้ประมาท อย่าได้รู้สึกว่ากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานแล้วก็จะสามารถนอนหนุนหมอนสูงได้อย่างสบายใจหายห่วงแล้ว นางที่อยู่ในใต้หล้าห้าสีไม่มีทางไร้ศัตรูทัดเทียมไปได้ตลอดเวลา”
เฉินผิงอันถาม “คนผู้นี้ใช่หนึ่งในโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดของใต้หล้าห้าสีหรือไม่? กองกำลังของลัทธิเต๋าที่มีป๋ายอวี้จิงเป็นหนึ่งในนั้นมีโอกาสได้คนผู้นี้ไปครองมากที่สุดใช่หรือไม่?”
ต่อให้มีคนผู้นี้อยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นเหนิงเหยา เขาเฉินผิงอันหรือนครบินทะยานที่ต่อให้รู้ว่าจะมีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้านี้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่มีทางวางแผนบนภูเขาที่อาศัยหยินหยางจำแลงไปอนุมานมหามรรคาแล้วทำการตัดรากถอนโคนอย่างแน่นอน
นางพยักหน้า “ดูจากตอนนี้ โอกาสของลัทธิเต๋าค่อนข้างมาก แต่สุดท้ายแล้วบุปผาจะหล่นลงที่บ้านใด ก็ไม่ใช่เรื่องตายตัวเสมอไป คนและเทพอยู่ร่วมกัน เรื่องประหลาดเกิดขึ้นได้มากมาย ทุกวันนี้ชะตาฟ้ายังคงมืดสลัวมองเห็นไม่ชัด ดังนั้นโชควาสนาใหญ่อย่างอื่นๆ ที่เหลือจะเป็นอะไรกันแน่จึงยังไม่อาจบอกได้ในเวลานี้ อาจเป็นวัตถุบางอย่างที่จำแลงจากมหามรรคาของฟ้าอำนวย ใครที่ได้ไปก็จะได้รับการปกป้องจากมหามรรคาของใต้หล้า แล้วก็อาจจะเป็นดินอวยพรบางอยาง ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่ป๋ายเหย่และซิ่วไฉเฒ่ายังไม่ค้นพบ สามารถประคับประคองให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งฝึกตนประสบความสำเร็จได้ เอาเป็นว่าการที่หนิงเหยาสังหารเจ้าตาเดียวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงไปได้ ก็ถือว่าได้โชควาสนาหนึ่งในนั้นไปครองแล้ว อย่างน้อยที่สุดในเวลาหลายร้อยปีนางก็ยังสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งของบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้อย่างมั่นคง นี่ก็ควรจะรู้จักพอได้แล้ว ช่วงเวลาระหว่างนี้ หากนางยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขต ถูกคนแย่งตำแหน่งบุคคลอันดับหนึ่งไปก็โทษคนอื่นไม่ได้”
นางพลันหัวเราะ “จอมปราชญ์น้อยท่านนั้นไม่ได้พูดเรื่องพวกนี้กับนายท่านหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หลี่เซิ่งไม่ได้พูดคุยเรื่องพวกนี้ ข้าเองก็ไม่กล้าถามมาก”
นางกล่าว “สมกับเป็นจอมปราชญ์น้อยจริงๆ ไม่ใจกว้างเอาเสียเลย”
คำเรียกว่าจอมปราชญ์น้อยนี้ แรกเริ่มสุดเป็นฉายาที่ป๋ายเหย่ตั้งให้หลี่เซิ่ง
มีเพียงผู้ฝึกตนที่เขียนปฏิทินเหลือง ไม่ใช่คนที่เปิดปฏิทินเหลืองเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเรียกหลี่เซิ่งเช่นนี้
ยกตัวอย่างเช่นนางที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน อดีตหนึ่งในห้าผู้มีตำแหน่งสูงสุดของสรวงสวรรค์อย่าง ผู้ครองกระบี่
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยอย่างรู้กาลควร “ผู้สวมเสื้อเกราะถูกท่านสังหารที่นอกฟ้า ดับสูญไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะในซากปรักสรวงสวรรค์ได้มีผู้สวมเสื้อเกราะคนใหม่แล้วใช่หรือไม่”
พูดภาษาบ้านๆ หน่อยก็คือ ยิ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงก็ยิ่งเป็นหัวไชเท้าหนึ่งหัวกับหลุมหนึ่งหลุม
ลูกศิษย์คนสุดท้ายของบรรพจารย์ใหญ่ภูเขาทัวเยว่อย่างหลีเจิน อดีตผู้ฝึกกระบี่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ กวนจ้าว
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเขา แม่น้ำแห่งกาลเวลา ลี้ลับมหัศจรรย์เกินไป เป็นเหตุให้เกิดมาหลีเจินก็เหมาะกับการรับตำแหน่งผู้สวมเสื้อเกราะคนใหม่มากที่สุด
ตอนที่พูดเรื่องพวกนี้เฉินผิงอันไม่ได้เรียกนกในกรงออกมา ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้ใช้เสียงในใจ แต่อยากพูดอะไรก็พูดออกมาโดยตรง
เพราะมีนางอยู่
ใครจะกล้ามาลอบฟังที่แห่งนี้?
นางอืมรับหนึ่งที ใช้ฝ่ามือตบด้ามกระบี่เบาๆ เอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริง โจวมี่สนับสนุนกวนจ้าวขึ้นมา เป็นเหตุให้ตำแหน่งเทพของเพื่อนเก่าข้าคนนั้นไม่มั่นคง บวกกับที่ก่อนหน้านี้โจมตีไพศาล ได้ต่อสู้กับหลี่เซิ่งอย่างดุเดือดไปรอบหนึ่ง จึงส่งผลต่อพลังการสู้รบของเขา แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงที่เขาถูกข้าสังหาร พลังพิฆาตของเขาสู้ข้าไม่ได้ ทว่าในด้านการป้องกันของเขากลับแข็งแกร่งมิอาจทำลายอย่างแท้จริง แม้จะบาดเจ็บ ต่อให้กระบี่หนึ่งของข้าจะฟันออกไป เศษซากร่างทองของเขาแตกกระจัดกระจาย ก็ยังสามารถจำแลงออกมาเป็นธารดวงดาวหลายเส้นนอกฟ้าได้อยู่ดี แต่หากคิดจะฆ่าเขาอย่างแท้จริงกลับยากมาก เว้นเสียแต่ว่าข้าไล่ฆ่าเขาไปตลอดร้อยปีพันปี แต่ข้าก็ไม่มีความอดทนเช่นนี้”
อันที่จริงหลังจากการเข่นฆ่าครั้งหนึ่งผ่านไปแล้ว ตรงจุดที่ห่างไปไกลอย่างยิ่งของนอกฟ้าได้ปรากฎธารดวงดาวสีทองใหม่เอี่ยมที่ทอดยาวไปไม่รู้กี่พันกี่หมื่นลี้ขึ้นมาสายหนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!