สรุปตอน บทที่ 809.3 เสียงในใจ – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 809.3 เสียงในใจ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ผลคือเฉินผิงอันเพิ่งจะส่งฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป เพียงแค่เริ่มตั้งท่าหมัดเท่านั้น เผยเฉียนก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้ว
หนิงเหยารู้สึกว่าวันนี้คงจะเรียนหมัดกันไม่ได้แล้ว
เฉินผิงอันยิ่งสงสัย “เผยเฉียน?”
เผยเฉียนก้มหน้า พูดเสียงเบาราวเสียงยุง “ข้าไม่กล้าออกหมัด”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ทำไม กังวลว่าขอบเขตตัวเองจะสูงเกินไป ปณิธานหมัดหนักเกินไป ไม่ทันระวังหมัดเดียวต่อยให้อาจารย์พ่อบาดเจ็บ สองหมัดต่อยให้ร่อแร่ปางตายรึ?”
เผยเฉียนเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นดิน ส่ายหน้าแต่ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉินผิงอันมองไปทางหนิงเหยา นางส่ายหน้าแสดงให้รู้ว่าควรเปลี่ยนวิธี อย่าได้บังคับฝืนใจ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็หันไปเรียกเด็กชายผมขาว “เจ้ามานี่ มาช่วยกันหน่อย”
เด็กชายผมขาวเต้นผาง “จ่ายเงินเป็นข้า โดนซ้อมก็เป็นข้าอีก บรรพบุรุษอิ่นกวานท่านยังมีคุณธรรมในยุทธภพอยู่บ้างหรือไม่?!”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือ “ไม่รีบร้อน ต่อจากนี้แค่มองดูอาจารย์พ่อออกหมัดอย่างละเอียดก็พอ”
หนิงเหยากวักมือเรียกเผยเฉียน
เผยเฉียนเดินไปหา หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร”
เผยเฉียนพยักหน้า
หนิงเหยาเห็นว่าบนหน้าผากนางมีเหงื่อซึมออกมาก็ช่วยเช็ดเหงื่อให้เผยเฉียนด้วยท่าทางอ่อนโยน
เผยเฉียนเขินอายอยู่บ้าง
เด็กชายผมขาวตั้งท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน จากนั้นสะบัดไหล่ สองมือขยับขึ้นลงราวกับน้ำกระเพื่อม ตวาดเสียงดังหนึ่งทีแล้วเริ่มขยับเท้าวนอ้อมไปรอบกายเฉินผิงอัน “บรรพบุรุษอิ่นกวาน หมัดเท้าไร้ตา ล่วงเกินแล้ว!”
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม เกือบจะหมดอารมณ์ลงมือเสียแล้ว
หมี่ลี่น้อยนั่งยองอยู่ห่างไปไกล เก็บลูกพลับที่หล่นอยู่บนพื้นมาได้หอบใหญ่ กินได้หนึ่งคำก็คือหนึ่งคำ กินแล้วไม่เห็นว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรเลย
เด็กชายผมขาวเดินวนครบรอบไปแล้วหนึ่งรอบก็กระโดดผลุงขึ้น ตั้งท่าไก่ทองยืนขาเดียว ฝ่ามือสองข้างตวัดจิ้มมาด้านหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ฝ่ามือนี้ของข้าคือหมัดตั๊กแตน ต้องระวังตัวให้ดีนะ!”
เฉินผิงอันวาดเท้าออกไปโดยตรง เด็กชายผมขาวถูกแตะเข้าที่ก้านคอ ศีรษะเอียงไปด้านหนึ่ง เด้งกระดอนอยู่บนพื้นสองสามที ระหว่างนั้นยังมีการพลิกตัวด้วย
สุดท้ายเด็กชายผมขาวก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น โบกมือพูดอย่างมีใจแต่ไร้กำลังว่า “ไม่สู้แล้วๆ หมี่ลี่น้อยจำไว้ว่าจดค่ายาลงบัญชีด้วย แค่สองสามตำลึงเงินก็พอ กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะไปเบิกเอาจากเทพแห่งโชคลาภเหวยเอง”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ “จริงจังหน่อย”
เด็กชายผมขาวทอดถอนใจ กระโดดผลุงขึ้นมา ปัดฝุ่นบนร่าง “ก็ได้ๆ”
การประลองฝีมือของคนทั้งสองต่อจากนั้น เทวบุตรมารนอกโลกที่เป็นขอบเขตบินทะยานตนนี้ได้ใช้กระบวนท่าหมัดของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้ามืดสลัว ส่วนเฉินผิงอันใช้หมัดที่ ‘เบาแต่แม่นยำ’ คล้ายหมัดเท้าของสตรี ทว่าแค่มองดูเหมือน ‘ละมุนละม่อม’ เท่านั้น แท้จริงแล้วกลับว่องไวเฉียบคมอย่างยิ่ง
เผยเฉียนมองดูอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่วิถีแห่งการออกหมัดหรือกระบวนท่าที่ผ่านตาแล้วไม่ลืมเท่านั้น นางยังสามารถมองเห็นร่องรอยการไหลรินของปณิธานหมัดอาจารย์พ่อได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
ไม่เพียงแค่การลงมือของเฉินผิงอันเท่านั้น แม้แต่วิชาหมัดและโครงท่าของแต่ละสำนักที่เชื่อมโยงกันได้อย่างดีเยี่ยมของเด็กชายผมขาวก็ล้วนถูกเผยเฉียนเก็บมาไว้ในคลองจักษุทั้งสิ้น
อันที่จริงหลังจากที่อู๋ซวงเจี้ยงขึ้นเรือราตรีมาพบเจอกับจิตมารคู่รัก เนื่องจากช่วยนางคลายตราผนึกมากมายอย่างลับๆ ดังนั้นทุกวันนี้เด็กชายผมขาวจึงเท่ากับเป็นคลังยุทโธปกรณ์ เป็นถ้ำเทพเซียนที่เดินได้แห่งหนึ่ง วิชาอภินิหาร เวทกระบี่และวิชาหมัดส่วนใหญ่ที่อู๋ซวงเจี้ยงรู้มา อย่างน้อยที่สุดนางก็รู้เจ็ดแปดส่วน และบางทีในเจ็ดแปดส่วนนี้อาจขาดไปในเรื่องจิตวิญญาณหรือท่วงทำนองบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่าจะเพียงพอสำหรับเฉินผิงอันกับเผยเฉียน คู่อาจารย์และศิษย์ที่เดินทางร่วมกับนางแล้ว
บางทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นของขวัญตอบแทนที่ใหญ่สุดที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้กับภูเขาลั่วพั่วจากการค้าขายครั้งนั้น
อู๋ซวงเจี้ยงจงใจไม่พูดถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าเพราะมั่นใจว่า ‘หมาไร้บ้านที่กินอิ่มก็วิ่งหนีไป’ อย่างเฉินผิงอันผู้นี้ต้องสามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้แน่นอน
ดังนั้นเฉินผิงอันที่แรกเริ่มแค่อยากให้เผยเฉียนมองดูหมัด ยิ่งออกหมัดก็ยิ่งจริงจัง มีกลิ่นอายของการประลองฝีมือบ้างแล้ว
เด็กชายผมขาวร้องโหวกเหวกพลางปล่อยหมัดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าหมัดที่ว่านี้กลับเป็นท่าไม้ตายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของใต้หล้ามืดสลัว
เผยเฉียนจดจำไว้ทีละอย่าง
หมี่ลี่น้อยยุ่งอยู่กับการกินลูกพลับ ลูกแล้วลูกเล่า แล้วก็พลันตัวสั่นเยือก แรกเริ่มแค่รู้สึกว่าฝาดเล็กน้อย เวลานี้ดูเหมือนว่าปากจะเริ่มชาด้วยแล้ว
หนิงเหยามองคนชุดเขียวที่ออกหมัดราวเมฆคล้อยน้ำไหลก็ให้รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นการถามหมัดที่ศาลบุ๋นกับตาตัวเอง
จำได้ว่าปีนั้นตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง ดูเหมือนว่าเขาจะต่อยเฉาสือไม่โดนแม้แต่หมัดเดียว?
ทุกวันนี้การออกหมัดของเฉินผิงอันมีมาดของยอดฝีมือแล้วจริงๆ
เหตุผลก็เรียบง่ายยิ่ง ดูดีไงล่ะ
มิน่าเล่าปีนั้นพวกตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธที่หลบอยู่ในคฤหาสน์หลบหนาวถึงได้พากันดูแคลนวิชาหมัดของอาเหลียง รอกระทั่งภายหลังได้เจิ้งต้าเฟิงมาสอนหมัดก็ยังไม่รู้สึกอะไร ต่างก็พูดกันว่ายังคงเป็นหมัดของใต้เท้าอิ่นกวานที่ทั้งน่าดูทั้งใช้ประโยชน์ได้จริง ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสายสิงกวาน เนื่องจากแรกเริ่มสุดคือเด็กกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นสายนี้กับสายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อนจึงมีความใกล้ชิดกันอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกยุทธอายุน้อยที่คุณสมบัติดีเยี่ยมกลุ่มนั้นที่ไม่ว่าจะชายหรือหญิงที่ต่างก็นับถือเลื่อมใสในตัว ‘เถ้าแก่เฉินอิ่นกวานคนก่อน’ ยิ่งกว่าใคร
หนิงเหยาเม้มริมฝีปาก ยิ้มจนตาหยี
ไม่รู้ว่าวันหน้าเขาไปนครบินทะยานจะเป็นภาพเหตุการณ์ที่ครึกครื้นถึงเพียงใด
ช่วงเวลาที่เฉินผิงอันไม่อยู่บนเรือข้ามฟาก นอกจากจะคุยเล่นกับหมี่ลี่น้อยเป็นประจำแล้ว อันที่จริงหนิงเหยาก็เคยพูดคุยความในใจกับเผยเฉียนเป็นการส่วนตัว
บางทีอาจเป็นเพราะได้ดื่มเหล้าร่วมกับอาจารย์แม่ เผยเฉียนดื่มไปดื่มมาถึงเหล่าเรื่องมากมายที่ซ่อนอยู่ในใจมานานหลายปี แม้แต่ตอนอยู่กับพี่หญิงหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยบนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนก็ยังไม่เคยพูดถึงมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่นนางคิดถึงตอนที่เป็นเด็กอย่างมาก ตอนที่ไปช่วยขายของที่ตรอกฉีหลง ทุกวันจะต้องไปเรียนที่โรงเรียน แม้ว่าจะไม่ได้เรียนจนได้ความรู้อะไรมา เพราะทุกวันเอาแต่สนใจเรื่องการโดดเรียนและนั่งเหม่อ แต่มาถึงภายหลัง เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก็จะรู้สึกขอบคุณความหวังดีของอาจารย์พ่อและพ่อครัวเฒ่าอย่างมาก จะดีจะชั่วก็เคยไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนมาก่อน ข้างกายเคยมีเสียงท่องตำราดังอย่างแท้จริงมาก่อน
เคยมีอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนของเมืองเล็กคนหนึ่งที่คงจะรู้สึกว่าแม่นางน้อยถ่านดำชอบใจลอยเกินไป จึงโมโหที่นางไม่เอาไหน มีครั้งหนึ่งจึงบอกให้เผยเฉียนเรียกพ่อของนางมา
แม่นางน้อยถ่านดำที่เอ้อระเหยลอยชายจึงบอกไปว่าพ่อข้ายุ่งมาก ออกจากบ้านเดินทางไกลไปแล้ว แต่ในใจกลับเอ่ยว่าไม่มีความรู้กะผายลมอะไรทั้งนั้น ยังสู้พ่อครัวเฒ่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คิดจะสอนข้า? บางครั้งที่เจ้าท่องหนังสือยังอ่านผิดคำ ข้ากลับไม่มีทางเป็นเช่นนั้น
เฉินผิงอันสะบัดชุดเขียวหนึ่งที สลายฝุ่นจากรอยเท้าทั้งหลายออกไป ควงสะบัดแขน โดยเฉพาะตรงหลังมือที่รู้สึกชาเล็กน้อย เจ้าตัวดี ถึงกับสะสมความแค้นไว้เต็มท้อง ฉวยโอกาสตอนที่ตนกดขอบเขตสอนวิชาหมัดให้เผยเฉียนมาแก้แค้น กระบวนท่าบางอย่างล้วนพุ่งมาที่หน้าเขาทั้งสิ้น
เวลานี้ถึงเพิ่งจะเริ่มล้อมคอกเมื่อวัวหาย? สายไปหน่อยหรือไม่?
คนทั้งกลุ่มเดินเท้ากันไปต่อ หมี่ลี่น้อยและเด็กชายผมขาวเล่นสนุกกันไปตลอดทาง ทั้งสองคนหาเวลาว่างถามหมัดกันไปรอบหนึ่ง ตกลงกันไว้แล้วว่าทั้งสองฝ่ายจะยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ หมี่ลี่น้อยหลับตา ผินตัวเบี่ยงข้าง ออกหมัดไม่หยุด เด็กชายผมขาวก็รับหมัดอีกฝ่ายอย่างรีบร้อน ต่างคนต่างเกาให้กัน? ถามหมัดสิ้นสุด สบตากันหนึ่งที คนสองคนที่ต่างก็ตัวไม่สูงต่างก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือยอดฝีมือ
สุดท้ายคนทั้งกลุ่มมาปรากฏตัวที่หัวเรือของเรือราตรี
พอจะมองเห็นเค้าโครงของแผ่นดินทางทิศใต้สุดของอุตรกุรุทวีปได้อย่างเลือนราง
ต้นหยางต้นหลิวสีเขียว ดอกท้อสีแดง ดอกบัวดอกกุ้ยบานสะพรั่ง โลกมนุษย์สงบสุขปลอดภัย
เฉินผิงอันหลับตาลง จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ภายใน เปิดม้วนภาพแห่งกาลเวลาภาพสุดท้ายที่ไม่เคยกล้ามองดูจุดจบนั้น
ในตรอกที่ไม่รู้ว่าอยู่แห่งใดของใบถงทวีป มีแม่นางน้อยคนหนึ่งเดินถือร่มกลับบ้าน นางกระโดดโลดเต้นไปตลอดทาง แม่นางน้อยเคาะประตู เจอหน้าพ่อแม่ นั่งลงกินข้าวด้วยกัน บุรุษคีบกับข้าวให้ลูกสาว สตรีคลี่ยิ้มหวานอบอุ่น คนทั้งครอบครัวนั่งร่วมโต๊ะพร้อมหน้าพร้อมตา แสงตะเกียงอบอุ่นน่าใกล้ชิด
เฉินผิงอันเหมือนยืนอยู่ในตรอกเล็กนอกประตู มองดูภาพนั้นอย่างเหม่อลอย สายตาของเขาพร่าเลือน ยืนอยู่นานมากถึงได้หมุนตัวจากไป พอหันกลับไปช้าๆ ก็ดูเหมือนว่าด้านหลังมีเด็กคนหนึ่งเดินตามมา พอเฉินผิงอันหันกลับไปมองข้างหลัง เด็กชายที่หน้าตาน่ารักสดใสก็หยุดเท้า เบิกตากว้างมองเฉินผิงอัน และปลายสุดอีกด้านหนึ่งของตรอกก็มีเด็กชายที่อายุมากหน่อยเดินมาอย่างเร่งร้อน เรือนกายของเขาผ่ายผอม ผิวดำเกรียม สะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ บนร่างพกถุงใส่อุปกรณ์เย็บผ้าใบหนึ่งที่ปะแล้วชุนอีก เขาวิ่งตะบึงมา ตอนที่วิ่งสวนไหล่กับเฉินผิงอันก็พลันหยุดยืนนิ่ง เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ลูบศีรษะของเด็กที่อายุน้อยที่สุด พึมพำหนึ่งประโยค พอยืดตัวขึ้นก็ขยับเชือกที่ร้อยเข้ากับตะกร้าไม้ไผ่ซึ่งรัดอยู่บนไหล่ของเด็กชายที่โตหน่อยคนนั้นเบาๆ
ต่อจากนี้ฝึกหมัดจะลำบากมาก
แต่ตอนเป็นเด็กที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง เดินอยู่ใต้แสงแดดแผดเผา ทุกครั้งที่เหงื่อออก ไหล่จะปวดแสบปวดร้อนอย่างมาก
ดวงจิตของเฉินผิงอันสลายไป สายตาพร่าเลือน จำต้องออกไปจากที่แห่งนี้ ถอยออกไปจากม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่ประหลาดอย่างถึงที่สุดภาพนี้
พริบตานั้นก็สังเกตเห็นว่าเด็กชายที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่หมุนตัวกลับเดินไปในตรอก จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งยอง สีหน้าซีดขาว สองมือกุมท้อง สุดท้ายปลดตะกร้าลงวางไว้มุมกำแพงแล้วเริ่มกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น
นาทีถัดมาข้างหูของเฉินผิงอันกับเด็กคนนั้นก็คล้ายมีเสียงรัวกลองสายฟ้าดังสนั่น คล้ายมีคนกำลังพูด พูดสองคำซ้ำไปซ้ำมา อย่าตาย
ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ลืมตาขึ้นบนเรือราตรี สีหน้าเลื่อนลอย
เวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ คนผู้นั้นคือใคร มองเห็นได้ไม่ชัดเจน น้ำเสียงนั้น ทั้งๆ ที่ได้ยิน แต่กลับจำไม่ได้ดุจเดียวกัน
หนิงเหยาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเฉินผิงอันก็ถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรไป?”
เฉินผิงอันจับมือของนางขึ้นมากุมไว้เบาๆ ส่ายหน้ากล่าว “ไม่รู้เหมือนกัน ประหลาดมาก แต่ว่าไม่เป็นไร”
หนิงเหยาไม่ได้ถามอีก
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “รอให้กลับจากอุตรกุรุทวีปไปยังบ้านเกิด ข้าจะพาเจ้าไปพบพวกผู้อาวุโสในยุทธภพ”
หนิงเหยาไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ นางแค่หน้าแดงระเรื่อ
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!