เทพีบุปผาเฟิ่งเซียนบอกว่าไม่ได้เจอ แต่ได้ยินมาว่าอาเหลียงผู้นั้นมีบารมีอย่างยิ่ง คว้าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานฉายาว่าชิงมี่คนหนึ่งไปด้วยกัน สวบทีเดียวก็หายวับไปแล้ว ตรงไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลย เด็กสาวที่ในมือถือพัดใบกล้วยฟังด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
อวี๋เยว่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ในฐานะที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสกุลเซี่ยมี่อวิ๋น เพราะมีภาระหน้าที่ติดตัวจึงจำเป็นต้องคุ้มกันคุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นกลับมายังธวัลทวีป เพียงแต่พอไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ในนามของตระกูล อวี๋เยว่ก็ออกเดินทางต่อทันที นั่งเรือโดยสารข้ามทวีปไปเพียงลำพัง ไปยังท่าเรือแนวเส้นที่อยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป
ต้องการไปยังภูเขาลั่วพั่วของอิ่นกวานหนุ่มเพื่อคัดเลือกลูกศิษย์! จะสำเร็จหรือไม่ต้องดูที่โชควาสนาระหว่างตนกับว่าที่ลูกศิษย์ในอนาคต ครั้งนี้ไม่สำเร็จก็ไปเยือนหลายๆ ครั้งหน่อยแล้วกัน
พูดถึงแค่การคัดเลือกตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ ใต้หล้านี้ใครเล่าจะมีคุณสมบัติทัดเทียมอิ่นกวานท่านนั้นได้?
ผลคือพอขึ้นเรือก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ถึงกับเป็นคุณชายสกุลเซี่ยผู้นั้นที่แอบติดตามมา เจ้าเด็กนี่บอกว่าจะไปเที่ยวที่ภูเขาพีอวิ๋นที่ตั้งของขุนเขาเหนือแห่งทวีปสักรอบหนึ่ง ได้ยินว่าที่นั่นมีงานเลี้ยงท่องราตรีที่แต่ละครั้งจัดได้น่าสนใจอย่างยิ่ง
ราชวงศ์เส้าหยวนมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งที่เกิดอุบัติเหตุทำให้แขนขาดอย่างถงจิ่ง
ทุกวันนี้อยู่ในยุทธภพบ้านเกิด ยามนั่งอยู่บนโต๊ะสุรา ไม่ว่าเจอใครถงจิ่งก็จะบอกว่าตัวเองคือคนที่เคยถามหมัดกับอิ่นกวานหนุ่มมาก่อน!
อีกทั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับศาลบุ๋นนั่นเอง เคยประลองฝีมือถามหมัดกันอย่างจริงจังมาแล้วครั้งหนึ่ง!
สะบัดไหล่ที่แขนข้างนั้นห้อยลู่ลงมา บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้เอง แน่นอนว่าเรื่องเป็นอย่างไรก็เล่าไปตามนั้น เกี่ยวข้องกับการที่ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้ลงมืออำมหิตต่อข้า
ไม่รู้จักอิ่นกวาน? ไม่เคยได้ยินตำแหน่งนี้? อ้อ ก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไรละ เซียนกระบี่ชุดเขียวท่านนี้อ่อนเยาว์ยิ่งนัก ทุกวันนี้เพิ่งจะอายุสี่สิบกว่าปีเท่านั้น
ยังไม่รู้จักอีก? ก็คือปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางที่สองสามหมัดต่อยให้หม่าฉวีเซียนขอบเขตถดถอย จากนั้นก็ทำให้เฉาสือถึงกับเป็นฝ่ายไปถามหมัดถึงที่สวนกงเต๋ออย่างไรล่ะ!
มีคนถามว่าอิ่นกวานผู้นี้ วิชาหมัดเป็นอย่างไร?
ก็สูงส่งน่ะสิ ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก? เขาแค่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ไม่ขยับ ปณิธานหมัดก็ใหญ่เหมือนเขาพระสุเมร คนที่เป็นศัตรูกับเขาแน่นอนว่าก็เหมือนมดตัวน้อยตรงตีนเขาที่ได้แต่แหงนหน้ามองฟ้า!
ดังนั้นสองสามหมัดที่ข้าปล่อยออกไปนั้นถือว่าสละชีวิตลืมตายแล้วจริงๆ
ดังนั้นใต้เท้าอิ่นกวานไม่สังหารข้า เข้าใจแล้วหรือยัง? นี่ก็คือการแสดงความเคารพอย่างให้เกียรติที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมีต่อกัน ขอบเขตต่างกันเป็นเรื่องจริง แต่อิ่นกวานมองข้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน แน่นอนว่าผู้ที่มีความสามารถย่อมต้องมาก่อน ผู้ที่เดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดก่อนต้องเป็นผู้อาวุโส เขาคือผู้อาวุโส ข้าคือผู้เยาว์ พูดแบบนี้ ข้าไม่ละอายใจแม้แต่น้อย สำหรับอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ ข้ายอมรับนับถือทั้งกายและใจ วันหน้าอยู่ในยุทธภพใครกล้าพูดจาไม่น่าฟังเกี่ยวกับใต้เท้าอิ่นกวานแม้เพียงครึ่งคำล่ะก็ หึหึ
ขอโทษด้วย!
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับถามหมัดต่อข้าผู้แซ่ถงแล้ว
สวี่รั่วติดตามจวี้จื่อแห่งสำนักโม่มาถึงท่าเรือแห่งหนึ่ง ต่อให้ก่อนหน้านี้จวี้จื่อจะไปจากที่นี่ ไปเข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋น นครแห่งนี้ก็ยังเติบโตไปได้ด้วยตัวเอง
ต่อให้ตัวของสวี่รั่วเองจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักโม่ ได้เห็นนครแห่งนี้กับตาของตัวเองก็ยังมีความรู้สึกเพียงอย่างเดียว อึ้งตะลึง
เจินเหรินผู้เฒ่าท่านหนึ่งคุ้มกันอวี้พ่านสุ่ยและฮ่องเต้เด็กหนุ่มไปถึงราชวงศ์เสวียนมี่แล้วก็หดย่อพื้นที่มาถึงทางเข้ากุยซวีแห่งหนึ่ง จากนั้นเพียงไม่นานก็มาโผล่ที่เปลี่ยวร้าง เดินทางไกลไปไม่รู้กี่หมื่นลี้ ตลอดทางไม่เจอใครที่ต่อสู้เก่งสักคน สุดท้ายจับตัวคนที่ดูเหมือนขอบเขตจะไม่เลวมาได้ ผลคือพอเพ่งสายตามอง มารดามันเถอะ ไม่ใช่ปีศาจใหญ่บินทะยาน เจินเหรินผู้เฒ่าพลิกเปิดแผนที่ออกดู โอ้โห ดูเหมือนว่าจะเป็นภูเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างมากเสียด้วย ว่ากันว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ไปโจมตีใบถงทวีปก็ต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจังฮึกเหิมยิ่ง
ดังนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าจึงร่ายเวทอัคคีและเวทวารี
พื้นที่ในรัศมีพันลี้ สายน้ำกว้างใหญ่อยู่บนฟ้า พระเพลิงโหมกระหน่ำปูแผ่เต็มพื้นดิน น้ำเป็นม่านฟ้าไฟเป็นพื้นดิน
เจินเหรินผู้เฒ่าลูบหนวดพยักหน้า พึมพำกับตัวเองว่า “แก่แล้วแต่ยังแข็งแรง เวทคาถาพอใช้ได้”
เงียบไปพักหนึ่ง ฮว่อหลงเจินเหรินก็งึมงำขึ้นมาอีก “ออกแรงเยอะไปหน่อยหรือเปล่านะ?”
ฮว่อหลงเจินเหรินถามเองตอบเอง “ต่อสู้ไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องมาดองอาจ แล้วยังจะต่อสู้กันไปไย?”
ในยุทธภพของอุตรกุรุทวีป มีคนผู้หนึ่งปิดบังใบหน้าท่าทางลับๆ ล่อๆ หลังจากสำรวจเส้นทางเสร็จเรียบร้อยก็ฉวยโอกาสที่ฟ้ามืดลมแรงปีนข้ามกำแพง ขยับเขยื้อนเรือนกายว่องไวปราดเปรียว บุกเข้าไปในห้อง แสงดาบเปล่งวาบหนึ่งที โจมตีครั้งหนึ่งสำเร็จ โจรร้ายที่ถือดาบในมือก็พลิ้วกายลอยจากไปไกลคล้ายนกโบยบิน
หลายปีมานี้ท่องอยู่ในยุทธภพล้วนเอาอย่างผู้อาวุโสคนดี การลงมืออย่างลึกลับเอาพรางเช่นนี้ทำให้เขาตั้งฉายาให้กับตัวเองว่า ตู้หวังดี ตู้จากตู้อวี๋ หวังดีจากคำว่าทำความดีไม่ทิ้งนาม
ทุกครั้งที่ตู้อวี๋ลงมือจะต้องประเมินสถานการณ์และกำลังของตนไว้ก่อนแล้ว ทำเสร็จก็เผ่นหนี ราวกับกลัวคนอื่นจะรู้ว่าเขาคือใคร
โลกมนุษย์ที่กว้างใหญ่ ตรงนี้ฟ้าใสตรงนั้นฝนตก ตรงนี้ดอกไม้ในภูเขาไม่ขยับ ตรงนั้นลมพัดโชย
ระหว่างที่ทะยานลมเดินทางขึ้นเหนือ กลุ่มของเฉินผิงอันมีหยุดพักบ้างเป็นระยะ ไม่กำหนดแน่ชัดว่าจะบนหรือล่างภูเขา ดูจากทัศนียภาพที่พบเจอ แล้วก็เปลี่ยนไปตามโอกาสเวลาและสถานที่
มีทั้งขุนเขาสูงตระหง่านโอบล้อมร้อยลี้ ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ไอหมอกลอยอวล ศาลบนยอดเขาส่องประกายแสงสีทองเรื่อเรืองท่ามกลางม่านราตรี ประหนึ่งโคมดวงใหญ่ที่ลอยแขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
มีทั้งจุดพักม้าที่ฝนตกในช่วงเวลาของต้นเหมย ลมพัดดอกบัวส่งความกลัดกลุ้มของคนให้ลอยจากไปไกล มีทั้งริมแม่น้ำสายใหญ่ ที่ว่าการสร้างหอยันต์เหลืองเพื่อไว้ขอพรขจัดเคราะห์ ยามที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นทางทิศตะวันออก แสงอรุณเรืองรองสาดส่อง มีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งเดินทางเคลื่อนไปตามก้อนเมฆ ในบรรดานั้นมีเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ท่องคาถาประจำสำนักเสียงดังไปพร้อมกับเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก ป่าวประกาศว่าจะต้องจับสามอสุภะตัวเป็นๆ เผารังผีให้มอดไหม้ จับหกโจรร้ายทลายรังคนชั่ว
มีช่างที่ขึ้นเขาไปเก็บก้อนหิน ภายใต้แสงแดดแผดเผาติดต่อกันหลายวัน น้ำในถ้ำลดลงหินผุดขึ้นมา ภายใต้การตรวจตราของขุนนางจากที่ว่าการ จึงมีการสกัดเจาะหินงามจากในหลุมหินเก่าแก่ แล้วใช้ฟางหญ้าห่อหุ้มเอาไว้อย่างระมัดระวัง อิงตามธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาทุกยุคทุกสมัย ทุกคนนั่งยองอยู่หน้าประตูหลุมหินเก่าแก่ จำเป็นต้องรอให้ดวงอาทิตย์ลงจากภูเขาไปก่อนถึงจะพาหินออกจากหลุมลงภูเขาไปได้ ไม่ว่าจะช่างแก่หรือเด็ก ผิวพรรณล้วนถูกแดดเผาจนไหม้เกรียมเป็นมันเลื่อม พวกเขารวมตัวอยู่ด้วยกัน ยิ้มคุยกันด้วยภาษาถิ่น พูดคุยถึงเรื่องสัพเพเหระทั่วไป คนที่บ้านมีเงินหน่อย หรือคนที่ในบ้านยากจนแต่ลูกหลานกลับเอาการเอางานหน่อยมักจะพูดเยอะกว่าใคร เสียงก็ดังกว่าทุกคน
ไปถึงยอดเขาพาตี้
จางซานเฟิงยังคงมีโฉมหน้าอ่อนเยาว์ไม่ต่างจากปีนั้นสักเท่าไร เพียงแต่ว่าอยู่บนภูเขาได้กินดีอยู่ดี ไม่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ระหกระเหินเร่ร่อนอยู่เพียงลำพัง จึงไม่ได้ดูยากจนตกอับขนาดนั้นแล้ว
เด็กชายผมขาวกวาดตามองไปรอบด้านอยู่ตลอดเวลา นี่ก็คือสถานที่ฝึกตนของฮว่อหลงเจินเหรินหรือ?
รู้ว่าสตรีผู้นั้นก็คือหนิงเหยา จางซานเฟิงก็ประสานมือก้มหัวคารวะ ยิ้มเอ่ยว่า “สวัสดีแม่นางหนิง นักพรตน้อยจางซานเฟิง ตอนนี้ยังไม่มีฉายา”
หนิงเหยายิ้มเอ่ย “คารวะจางเจินเหริน”
จางซานเฟิงเขินอายจนวางหน้าไม่ถูก
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ได้ยินเจินเหรินผู้เฒ่าบอกว่าเจ้าเป็นเซียนดินแล้ว!”
จางซานเฟิงทำหน้าอึ้งตะลึง “อาจารย์พูดผิดไปหรือเจ้าฟังผิดไปกันแน่? ข้าเพิ่งจะเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรเองนะ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าขอบเขตอะไรแล้ว?”
จางซานเฟิงถามหยั่งเชิง “ขอบเขตเซียนเหริน? หรือว่าบินทะยานล่ะ?”
เฉินผิงอันสะอึกอึ้งไปเล็กน้อย “ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
จางซานเฟิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กล้ามาประลองกับข้า เจ้าหนูเจ้ายังอ่อนหัดเกินไปหน่อย
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ไป จะสอนหมัดให้เจ้า”
จางซานเฟิงถอนหายใจ “เหลวไหล”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ได้ล้อเจ้าเล่น หลายปีที่ข้าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เรียนวิชาหมัดของเจ้ามาโดยตลอด แต่ไม่ว่าจะฝึกอย่างไรก็คล้ายว่าจะไม่ถูกต้อง ให้ตายอย่างไรก็ไม่อาจฝึกจนได้…ปณิธานหมัดของเจ้าในปีนั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!