สำนักกระบี่ไท่ฮุย ยอดเขาเพียนหราน
คนที่ฝึกตนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ทุกวันนี้เหลือแค่ป๋ายโส่วคนเดียวเท่านั้น
เพราะป๋ายโส่วได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองแล้ว บวกกับที่หลิวจิ่งหลงเป็นเจ้าสำนัก จึงย้ายไปอยู่ที่ภูเขาบรรพบุรุษ ดังนั้นสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่จัดพิธีเปิดขุนเขาง่ายๆ ไปครั้งหนึ่ง ยอดเขาเพียนหรานก็กลายมาเป็นสถานที่ฝึกตนของป๋ายโส่วแล้ว
ขอแค่ตัวป๋ายโส่วเองยินดี อันที่จริงก็เริ่มสามารถรับลูกศิษย์ได้แล้ว
เพียงแต่ว่าช่วงนี้ป๋ายโส่วไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ทุกครั้งที่ว่างจากการฝึกกระบี่ก็มักจะนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
อันที่จริงเขาไม่ชอบดื่มเหล้า ดื่มไม่ชิน ดังนั้นทุกครั้งจึงเพียงแค่หิ้วกาเหล้าเอาไว้ แต่ไม่เคยดื่มหมดเลยสักครั้ง
ก่อนหน้านี้ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์พร้อมกับพวกผู้ฝึกตนสำนักเดียวกัน ไปที่แคว้นหลันฝาง เปิดฉากเข่นฆ่าที่ริมชายแดนของด่านที่มีชื่อว่าเถี่ยจู้ไปรอบหนึ่ง มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มเล็กของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอาละวาดก่อคดีอยู่ที่นั่น การล้อมสังหารครั้งนั้นเนื่องจากขอบเขตของผู้ฝึกตนเปลี่ยวร้างกลุ่มนั้นต่างก็ไม่สูง แพ้ชนะจึงไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น ผู้ฝึกตนจากสำนักต่างๆ ซึ่งมีสำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นหนึ่งในนั้นแทบจะไม่มีความเสียหายอะไร คนที่บาดเจ็บก็ยังมีไม่มาก
เพียงแต่ว่านอกจากนี้ยังมีการพบเจอกันบนทางแคบที่ไม่ว่าจะสำหรับฝ่ายศัตรูหรือฝ่ายคนกันเองก็ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน นั่นคือผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง แล้วยังมีผู้ฝึกตนผีคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการหลบซ่อนอำพราง ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต่างก็ไม่สามารถอาศัยกุยซวีบนทะเลหนีกลับไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ กลับกลายเป็นว่าต้องอยู่ต่อในอุตรกุรุทวีป เก็บตัวเงียบมานานหลายปี เพียงแค่เพื่อจะฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นก่อกำเนิดจึงถึงกับทำร้ายคนหลายสิบคนในพรรคเล็กของยุทธภพแห่งหนึ่ง วิธีการที่ใช้ชั่วร้ายอีกทั้งยังลึกลับอำพราง เหยื่อทุกคนล้วนถูกมันจับมาหลอมเป็นศพเดินได้ หากไม่เป็นเพราะตอนนั้นป๋ายโส่วอาศัยสัมผัสที่เฉียบคมจากชาติกำเนิดนักฆ่าของตนจึงสัมผัสได้ถึงเบาะแสเสี้ยวหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจคลาดกับเผ่าปีศาจตนนี้
การเข่นฆ่าที่มีอันตรายรายล้อมอยู่รอบด้านครั้งนั้น ป๋ายโส่วออกแรงมากที่สุด แล้วก็เพราะการโจมตีเอาชีวิตของตนถึงสามารถสังหารศัตรูได้สำเร็จ ตัดหัวของฝ่ายตรงข้ามมาได้ กระบี่บินทำลายโอสถทองของผู้ฝึกตนผีตนนั้น ทว่าศิษย์หลานคนหนึ่งของยอดเขาอื่นในสำนัก เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร แม้ว่าลำดับศักดิ์จะต่ำกว่าป๋ายโส่วหนึ่งระดับ แต่อันที่จริงกลับอายุมากกว่าป๋ายโส่วมากนัก เขากลับได้รับบาดเจ็บท่ามกลางการต่อสู้ครั้งนั้น ถูกเวทคาถาบทหนึ่งของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจโจมตีเข้าที่ช่องโพรงหัวใจ ผู้ฝึกกระบี่ที่มีหวังจะได้เป็นเซียนดินกลับต้องหมดหวังไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
หลังจากป๋ายโส่วกลับมาถึงยอดเขาเพียนหราน เขาที่เดิมทีเงียบขรึมพูดน้อยก็ยิ่งไม่พูดอะไรอีกเลย
ต่อให้เจ้าคนแซ่หลิวและศิษย์หลานคนนั้นจะขึ้นมาบนภูเขาเพื่อโน้มน้าวเขา แต่ในใจของป๋ายโส่วก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่เหมือนเดิม โดยเฉพาะเมื่อศิษย์หลานคนนั้นเป็นฝ่ายมาเยือนถึงยอดเขาเพียนหราน มาดื่มเหล้ากับอาจารย์อาอย่างป๋ายโส่ว บอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ อาจารย์อาป๋ายไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจ
ตอนที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ ผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตถดถอยมีสายตาจริงใจ บนใบหน้ายังมีรอยยิ้ม สุดท้ายเอ่ยประโยคหนึ่งว่าหากรู้สึกผิดจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยคิดคำนวณขอบเขตของเขาเข้าไปด้วย วันหน้าหากท่านป๋ายโส่วยังไม่ได้เป็นขอบเขตหยกดิบก็คงไม่เข้าท่าแล้วจริงๆ ถึงเวลานั้นเขาจะมาดักทางด่าคนที่ยอดเขาเพียนหรานทุกวัน
เวลานี้ป๋ายโส่วเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก จะไม่เก็บมาใส่ใจได้อย่างไร? จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร?
เหล้าไม่อร่อย
ในใจยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม
และความใจกว้างของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น แท้จริงแล้วกลับทำให้ป๋ายโส่วรู้สึกแย่ที่สุด
เข่นฆ่าสังหารอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานหลายปี ยังไม่เคยขอบเขตถดถอย เหตุใดกลับมาบ้านเกิดแล้วกลับต้องมาขอบเขตถดถอยในสถานที่เล็กๆ เช่นนั้น
อีกทั้งยังเกิดขึ้นใต้เปลือกตาของเขาป๋ายโส่ว อีกฝ่ายเป็นแค่สัตว์เดรัจฉานคอขวดขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งเท่านั้น ตนเป็นขอบเขตเดียวกับอีกฝ่าย อีกทั้งข้าป๋ายโส่วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง!
ก่อนหน้านี้ลงจากเขาไปสังหารปีศาจ ระหว่างทางที่ไปด่านเถี่ยจู้ บนโต๊ะอาหารในวันนั้น ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นได้ยินป๋ายโส่วบอกว่าเขาเป็นสหายที่เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องกับเฉินผิงอัน ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อ บอกว่าเว้นเสียจากคราวหน้าอิ่นกวานมาเป็นแขกที่ยอดเขาเพียนหรานแล้วท่านสามารถพูดแนะนำ ให้เขาพูดคุยกับอิ่นกวานหนุ่มสองสามประโยคได้ ถึงจะยอมเชื่อ ตอนนั้นป๋ายโส่วตบอกรับรองบอกว่าเรื่องเล็ก
คนแซ่หลิวผู้นั้นก็ยิ่งเกินกว่าเหตุ ครั้งที่สองที่มายอดเขาเพียนหรานถึงกับสั่งสอนตนด้วยคำพูดแรงแสกหน้า บอกว่าหากแม้แต่หลักการเหตุผลน้อยนิดแค่นี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ นั่นก็หมายความว่าเจ้ายังไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างแท้จริง
เจ้าคนแซ่หลิวพูดจาระยำจบก็จากไป
ป๋ายโส่วไม่ได้เอ่ยอะไร อธิบายเหตุผลอะไรกัน ไหนเลยจะพูดชนะอาจารย์ที่เป็นหนอนหนังสือคนนั้นได้
ป๋ายโส่วขยี้ใบหน้าตัวเองแรงๆ ถอนหายใจหนักหน่วง ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้แล้วปล่อยหมัดอุตลุดส่งเดช
จู่ๆ ก็พลันยืนนิ่ง สองนิ้วประกบกันชี้ไปข้างหน้า จินตนาการว่าห่างไปไม่ไกลมีเจ้าถ่านดำคนหนึ่งยืนอยู่แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “นี่! เจ้าถ่านดำนั่น จงฟังข้าให้ดี หากเจ้ายังตอแยไม่ยอมเลิกรา นายท่านใหญ่จะออกหมัดแล้วนะ!”
ป๋ายโส่วเปลี่ยนนิ้วเป็นฝ่ามือ โบกซ้ายโบกขวาคล้ายกำลังตบบ้องหูคน “อธิบายเหตุผลกับเจ้าดีๆ ไม่ฟังใช่ไหม? คราวนี้ต้องเจ็บตัวแล้วไหมล่ะ? วันหน้าจำไว้ว่าหากเจอนายท่านใหญ่ป๋ายโส่วของเจ้าอีกก็หัดเคารพกันเสียบ้าง!”
กลางอากาศห่างจากยอดเขาเพียนหรานมาแค่หนึ่งลี้ คนกลุ่มหนึ่งทะยานลมหยุดลอยนิ่ง แต่บางคนได้ร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้
ใบหน้าเด็กชายผมขาวเต็มไปด้วยสีหน้าชื่นชม เอ่ยยกย่องจากใจจริง “สมกับเป็นลูกผู้ชาย! อีกเดี๋ยวข้าจะต้องดื่มสุราคารวะวีรบุรุษท่านนี้สักจอกให้จงได้”
เงื่อนไขคือเจ้าหมอนี่ต้องดื่มเหล้าเป็นด้วย
หลิวจิ่งหลงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงเอ่ยเตือนลูกศิษย์ของตน
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก สีหน้าไร้อารมณ์
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม เหลือบมองเผยเฉียนอย่างระมัดระวัง ดูจากท่าทางแล้วคงไม่มีโอกาสให้แก้ตัวแล้วนะนี่
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “เป็นวิชาหมัดที่ดีจริงๆ”
ป๋ายโส่วหมุนเอวบิดตัวกลางอากาศ คิดไปเองว่าเท้าที่เตะออกไปนั้นสง่างามอย่างมาก พอพลิ้วกายลงพื้นก็ปัดมือ “ไม่ส่งนะ”
ต่อมาคนทั้งกลุ่มก็พากันปรากฏตัวด้วยการพลิ้วกายลงพื้น
ป๋ายโส่วหลับตาลง แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลงแล้วลืมขึ้นอีกครั้ง เอาล่ะ ข้าผู้อาวุโสสามารถเผ่นได้แล้ว
ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปาดนิ้วออกไปหนึ่งที กระบี่ยาวที่แขวนบนผนังในห้องออกจากฝักดังเช้ง ป๋ายโส่วเหยียบอยู่บนกระบี่ยาวขี่กระบี่ออกไปจากยอดเขาเพียนหรานอย่างรีบร้อน
เผยเฉียนมองอาจารย์พ่อแวบหนึ่ง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ควรรำลึกความหลังกันเสียหน่อย”
เผยเฉียนจึงมองไปทางหลิวจิ่งหลง ฝ่ายหลังยิ้มเอ่ย “แค่กะน้ำหนักให้ดีก็พอ”
เผยเฉียนปลดหีบหนังสือ ส่งไม้เท้าเดินป่าให้กับหมี่ลี่น้อย เรือนกายหายวูบไป พุ่งไปเร็วราวสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ตามไปทันป๋ายโส่วที่ขี่กระบี่
ป๋ายโส่วเร่งขี่กระบี่หนีสุดชีวิต สตรีที่อยู่ข้างกายเขามีสีหน้านิ่งสงบเป็นธรรมชาติ คอยติดตามมาด้านข้างอยู่ตลอดเวลา ป๋ายโส่วจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ เอ่ยว่า “บังเอิญจัง มาเป็นแขกหรือ”
เผยเฉียนเพียงแค่ทะยานไปข้างกายป๋ายโส่ว ไม่พูดอะไร ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ อันเป็นสีหน้าประจำตัว จากนั้นเหล่ตาเหลือบมองมา
ป๋ายโส่วที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ชีวิตนี้กลับกลัวสีหน้านี้ของเผยเฉียนที่สุด
ป๋ายโส่วพูดอย่างคนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว “ข้าไม่ตอบโต้คืนหรอกนะ”
เผยเฉียนปล่อยหมัดแสกหน้ามาทันควัน
ป๋ายโส่วพร้อมกับกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าดิ่งลงพื้นเป็นเส้นตรง
มุมปากกระตุก ร่างสั้นเทิ่ม เรือนกายเกินครึ่งทิ่มอยู่ในดินโคลนบนภูเขา ไม่ได้สลบเหมือดไป ก็แค่เจ็บปวดอย่างมาก สู้หลับไปแล้วพอฟื้นขึ้นมาเจ้าถ่านดำที่ใจดำอำมหิตผู้นั้นก็ไปจากยอดเขาเพียนหรานแล้วไม่ได้เลยจริงๆ
เผยเฉียนยืนอยู่ด้านข้าง ถามว่า “ต่อจากนี้จะเอาอย่างไร? จะให้ข้ายอมต่อให้สามกระบวนท่าตอนถามหมัดหรือไม่?”
ป๋ายโส่วเอ่ยเสียงสั่น “ยอมแค่กระบวนท่าเดียวก็พอแล้ว!”
เผยเฉียนยกฝ่ามือแล้วบิดหมุนข้อมือ ดึงร่างทั้งร่างของป๋ายโส่วออกมาจากดิน จากนั้นก็ผลักออกไปด้านหลังสองก้าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!