เฉินผิงอันกล่าว “เงินฝนธัญพืชแค่สองเหรียญจะพอได้อย่างไร ว่ามาเถอะ หลายปีมานี้จ่ายเงินเทพเซียนไปให้ข้าเท่าไร ข้าจะชดเชยให้เอง”
ปีนั้นเฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าตัวเองไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วจะต้องอยู่นานไม่อาจได้กลับคืนมายังบ้านเกิดเช่นนั้น เดิมทีนึกว่าอย่างมากสุดแค่ไม่กี่ปีก็จะได้กลับมาเยือนอุตรกุรุทวีป หวนคืนกลับมายังสำนักมังกรน้ำอีกครั้ง
เดิมทีหลี่หยวนคิดจะปฏิเสธ เงินเทพเซียนน้อยนิดแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ เพียงแต่พอถึงคิดถึงว่านี่เกี่ยวพันกับกฎเกณฑ์ของการเซ่นไหว้จึงยอมบอกจำนวนไปคร่าวๆ บอกให้เฉินผิงอันควักเงินฝนธัญพืชออกมาอีกสิบเหรียญ มีแต่จะมากไม่มีน้อย ไม่ต้องกังวลว่าจะมอบให้เขาน้อยไปแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว เฉินผิงอันจึงมอบเงินฝนธัญพืชให้ยี่สิบเหรียญโดยตรง หลี่หยวนจึงถามว่าเรื่องนี้จะให้ทำต่อไปอีกประมาณกี่ปี เฉินผิงอันบอกว่าน่าจะอีกสักประมาณหนึ่งร้อยปี
หากมีการกลับมาเกิดใหม่ พูดถึงล่างภูเขา มนุษย์ธรรมดาอายุเจ็ดสิบปีก็ถือว่าเป็นชาติหนึ่งแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเอาเวลาร้อยปีมาคำนวณได้พอดี หากมีใครที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้วยังสามารถฝึกตนบนภูเขาต่อได้อีก เฉินผิงอันก็หวังว่าหากมีวาสนาจะได้พบเจอกัน
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบเอายันต์สีทองที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วออกมาสิบแผ่น มาจากบันทึกใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ บอกให้หลี่หยวนช่วยเผาให้ในงานพิธีกรรมยันต์ทองคราวหน้า ทุกปีเผาหนึ่งแผ่น
แรกเริ่มหลี่หยวนไม่ได้สนใจอะไร กระทั่งมาอยู่ในมือแล้วมองอีกทีสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด หลังจากเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็มองไปยังเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ทำอะไรโดยใช้อารมณ์เกินไปอย่างเหม่อลอย ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ไยเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย?! นี่จะผลาญโชควาสนาบุญบารมีของตัวเองได้นะ! อีกทั้งหนึ่งปีเผาหนึ่งแผ่น ถี่เกินไปแล้ว เมื่อเทียบกับการผลาญตบะของผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว นี่ยังเป็นการละเมิดข้อห้ามยิ่งกว่าอีก หากไม่เป็นเพราะเจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว ข้าคงต้องด่าเจ้าว่าเสียสติไปแล้วหรือไร”
สายตาเฉินผิงอันฉายประกายแจ่มจ้า เอ่ยว่า “ข้าก็แค่หวังว่าหากมีความจริงใจความศักดิ์สิทธิ์ก็จะบังเกิด”
หลี่หยวนถอนหายใจเบาๆ ในใจ เอ่ยอย่างจนใจว่า “เหตุใดข้าถึงมีสหายอย่างเจ้าได้นะ”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองนอกห้อง ยิ้มเอ่ยว่า “คาดว่าก่อนพวกเราจะจากไป เกาะเป็ดน้ำคงต้องต้อนรับแขกอีกครั้ง”
หลี่หยวนพยักหน้า “เกินครึ่งคงเป็นเส้าจิ้งจือ ในเรื่องอย่างการต้อนรับขับสู้นี้ นางยินดีทุ่มเทความคิดจิตใจมากกว่าซุนเจี๋ยแห่งสำนักเหนือ”
แล้วก็จริงดังคาด เส้าจิ้งจือแห่งสำนักใต้กับหญิงชราถือไม้เท้าหัวมังกรคนหนึ่งจับมือกันมาเยี่ยมเยือนเจ้าของเกาะเป็ดน้ำคนใหม่
เส้าจิ้งจือคือผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ มีเวทคงความเยาว์วัย ลักษณะจึงเหมือนสตรีโตเต็มวัยที่ยังอ่อนเยาว์ นางสวมชุดคลุมอาคมที่เรียบง่าย เป็นชุดจี่ฝู (ชุดมงคลของนางในสมัยโบราณ) ปักลายบุปผาด้วยวิธีการปักแบบน่าซาของสือชิงตี้ มวยผมหลวมๆ ปักด้วยปิ่นหยก แต่งหน้าอ่อนบาง
หญิงชราเป็นขอบเขตก่อกำเนิด หากอิงตามลำดับศักดิ์จะถือว่าเป็นอาจารย์อาหญิงของซุนเจี๋ยเจ้าสำนัก ก่อนที่นางจะข้ามธรณีประตูเข้ามาได้จงใจหยุดชะงักไปชั่วครู่ นางยกมือขึ้นจัดเส้นผมตรงจอนหู แต่กลับได้แค่ใช้นิ้วมือที่เหี่ยวแห้งปัดผ่านหิมะขาว
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเดินมาที่ขั้นบันไดนอกประตูเพียงลำพัง เขายืนยิ้มกุมหมัดรอต้อนรับอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว
เส้าจิ้งจือนำของขวัญแสดงความยินดีชิ้นหนึ่งมามอบให้ คนที่ต้องการซื้อเกาะเป็ดน้ำถึงกับเป็นเจ้าสำนักที่จริงแท้แน่นอนคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลบรรพจารย์ทำให้นางตกตะลึงอย่างมาก
เพราะตอนที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ หลี่หยวนกลับเห็นคนนอกดีกว่า เด็กหนุ่มชุดดำที่เปลี่ยนจากสุ่ยเจิ้งมาเป็นหลงถิงโหวพูดไม่มาก แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น ประโยคหนึ่งในนั้นก็บอกว่าสหายของตนคนนี้คือเจ้าสำนักของสำนักหนึ่งบนภูเขา ดังนั้นตามหลักแล้วพวกเจ้าซุนเจี๋ย เส้าจิ้งจือสองคน ควรจะต้องไปรอต้อนรับที่ท่าเรือมู่หนูโน่น
จากนั้นเส้าจิ้งจือก็รู้ว่าภูเขาของคนผู้นี้เพิ่งจะเลื่อนเป็นสำนักได้ไม่นาน เหตุผลที่เส้าจิ้งจือมาเป็นแขกที่นี่ก็เพื่อนำของขวัญที่ถือเป็นของวิเศษธาตุน้ำชิ้นหนึ่งมามอบให้กับเจ้าสำนักเฉิน มีชื่อว่าเมี่ยเหมิ่ง ลักษณะเหมือนยุง แต่กลับมีชื่อเรียกอีกชื่อบนภูเขาว่าเจียวหมึกน้อย เลี้ยงอยู่ในกรงไม้ไผ่อันเล็กที่สานมาจากต้นไผ่ของภูเขาชิงเสิน ด้านในมีไอน้ำขมุกขมัว เฉินผิงอันปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ต้องน้อมรับเอาไว้
แต่ข้อดีของผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงประเภทนี้ก็คือ วันนี้รับ พรุ่งนี้มอบให้ มีมามีไป ไม่ต่างจากเงินใส่ซองในงานเลี้ยงแต่งงานล่างภูเขาสักเท่าไร ไม่ถือว่าใครได้เปรียบใคร
ยกตัวอย่างเช่นวันหน้าหากสำนักใต้ของสำนักมังกรน้ำมีพิธีการเลี้ยงฉลองอะไร เฉินผิงอันกับภูเขาลั่วพั่วก็ย่อมต้องมีการแสดงท่าที ตัวคนไม่มาร่วมงานได้ แต่ของขวัญต้องมาถึงที่ ดังนั้นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้มาอย่างแท้จริงก็คือความสัมพันธ์ควันธูป
อันที่จริงเฉินผิงอันกับเส้าจิ้งจือทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่สนิทกันแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงพูดคุยกันตามมารยาทเพียงเล็กน้อย เพียงแต่ว่าเส้าจิ้งจือเชี่ยวชาญในการหาเรื่องชวนคุย เฉินผิงอันก็เชี่ยวชาญการรับคำ การคุยเล่นครั้งนี้จึงไม่ดูอึดอัดแม้แต่น้อย เหมือนการรำลึกความหลังของเพื่อนรักสองคนที่เป็นสหายกันมานาน ระหว่างนั้นหลี่หยวนเอ่ยแทรกแค่ประโยคเดียว บอกว่าพี่น้องเฉินของข้าคนนี้เป็นเพื่อนรักที่สุดของหลิวจิ่งหลง เส้าจิ้งจือพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แต่แท้จริงในใจกลับมีคลื่นถาโถม หรือว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ไปถามกระบี่ที่สำนักสั่วอวิ๋นพร้อมกับหลิวจิ่งหลงก่อนหน้านี้ก็คือคนตรงหน้าผู้นี้?
ในใจเส้าจิ้งจือรู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก ของขวัญเบาเกินไปแล้ว
หญิงชราที่ไม่เอ่ยอะไรสักคำมาตั้งแต่ต้น ในสายตาไม่มีเจ้าสำนักเฉินอะไรทั้งนั้น มีเพียงหลี่หยวนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มตลอดกาลคนนั้น
ครั้งก่อนจากลากันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่คือในศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำ หลี่หยวนในเวลานั้นมีแสงสีทองเป็นจุดๆ มารวมอยู่บนร่าง เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรกฝั่งขวามือ รูปโฉมอ่อนเยาว์ ทว่าจิตวิญญาณกลับแห้งเหี่ยว ตอนนี้ได้มาพบเจอกันอีกครั้ง โชคชะตาน้ำของลำน้ำใหญ่มารวมตัวอยู่บนร่าง สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดดำสดชื่นมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม นี่ก็คือข้อดีของการเลื่อนขั้นเป็นกงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ จากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งที่ริมน้ำจากผู้อำนวยการสถานศึกษาใหญ่ท่านหนึ่งของศาลบุ๋นที่มาเยือนด้วยตัวเอง หญิงชราก่อกำเนิดที่ชีวิตนี้ไร้ความหวังจะฝ่าทะลุขอบเขตได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเองกลับรู้สึกยินดียิ่งกว่าการที่ตนได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเสียอีก
บนใบหน้าเหี่ยวยับย่นที่ไม่น่ามองอีกต่อไปของหญิงชรา ดวงตาคู่ที่ไม่มีประกายฉ่ำน้ำงดงามอีกแล้วยังคงเก็บซ่อนความในใจเอาไว้มากมาย
ราวกับจดหมายรักฉบับหนึ่งที่ไม่เคยมอบออกไป เริ่มจรดพู่กันเขียนตัวอักษรตัวแรกตอนเป็นเด็กสาว จนกระทั่งกลายเป็นหญิงชราเส้นผมขาวโพลนก็ยังไม่เคยหยุดเขียน
บนโลกใบนี้ไม่ใช่ว่าความรักของชายหญิงทุกคนจะเป็นดั่งเมล็ดพันธ์พืชหนึ่งเมล็ดที่ปลูกในฤดูใบไม้ผลิ แล้วยามเกี่ยวเก็บในฤดูใบไม้ร่วงจะกลายเป็นหมื่นเมล็ด ไม่มีการปลูกฤดูใบไม้ผลิเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงอะไร หากไม่ทันระวังผืนนาในใจก็จะถูกทิ้งร้าง วัชพืชรกชัฏแผ่ลาม ทว่ายามที่ไฟป่าพัดพากลับเผาไหม้ไม่หมดสิ้น พอลมวสันต์ฤดูโชยมาก็จะงอกงามขึ้นอีกครั้ง
สุดท้ายเฉินผิงอันกับหลี่หยวนก็ไปส่งเส้าจิ้งจือและหญิงชราที่ท่าเรือของเกาะด้วยกัน
หลังจากที่พวกนางนั่งโดยสารเรือยันต์จากไป เฉินผิงอันก็ถามเสียงเบาว่า “มีเรื่องราวหรือ?”
หลี่หยวนกลอกตามองบน “ไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ”
เดินกลับไปที่จวนด้วยกัน หลี่หยวนยิ้มเอ่ยว่า “คงไม่โทษว่าข้าปากมากกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คำพูดแค่ไม่กี่คำ ดุจแต้มนัยน์ตามังกร พอเหมาะพอดี”
หลี่หยวนถอนหายใจ สอดสองมือรองไว้ตรงท้ายทอย เอ่ยว่า “แม้ว่าซุนเจี๋ยจะไม่ค่อยชอบสานสัมพันธ์กับใคร แต่ก็ไม่มีทางขาดมารยาทที่พึงมี เกินครึ่งคงกำลังรอฟังข่าว จากนั้นค่อยไปพบพวกเจ้าที่ท่าเรือมู่หนู ไม่อย่างนั้นหากเขามาที่เกาะเป็ดน้ำก่อน ด้วยนิสัยนั้นของเส้าจิ้งจือ เกินครึ่งคงไม่ยินดีจะมาที่นี่แล้ว สตรีอย่างเส้าจิ้งจือนี้มองดูเหมือนฉลาด แต่แท้จริงแล้วกลับยังคิดอะไรเรียบง่ายเกินไป ไม่เคยคิดมากในการยอมถอยให้และความหวังดีในเรื่องยิบย่อยพวกนี้ของซุนเจี๋ย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าให้เจ้าสำนักซุนรอนานเลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!