ในห้อง เฉินผิงอันออกหมัดอย่างเชื่องช้า เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างก็คอยฝึกตามไป
กระบวนท่าหมัดเป็นสิ่งที่ตายตัว ทว่า ‘วิถีหมัด’ ที่อยู่ในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์กลับมีชีวิต ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ควรจะโคจรอย่างไร ควรจะข้ามภูเขาลงน้ำอย่างไร ควรจะจัดกำลังทหารโยกย้ายกำลังพลอย่างไร ให้ลมปราณที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งปณิธานหมัดบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นกุญแจสำคัญที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นกระบวนท่าหมัดที่ดีแค่ไหนก็ล้วนจะกลายเป็นเพียงนักสู้ในยุทธภพที่เป็นแค่หมอนปักลายบุปผาเท่านั้น
ชุยเฉิงสอนหมัดอยู่บนชั้นสอง พูดจาหยาบกระด้างแต่เหตุผลกลับไม่หยาบ ฝีมือการต่อสู้แบ่งออกเป็นสูงต่ำ หนึ่งคือหมัดเท้าของข้าหนักมากพอ หากตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะแบ่งเป็นตาย หนึ่งหมัดปล่อยออกไปก็สามารถส่งคนไปยังประตูผีเพื่อไปเกิดใหม่ อีกหนึ่งคือเรือนกายของข้าไม่ใช่กระดาษเปียก พูดง่ายๆก็คือสามารถต่อยให้คนล้มคว่ำ แล้วก็สามารถต้านรับการต่อยตี และในระหว่างนี้ยังมีอักษรคำว่า ‘เป็น’ อีกหนึ่งตัวที่เป็นแก่นสำคัญอย่างถึงที่สุด ต่อยให้คู่ต่อสู้ล้มลง แบ่งแพ้ชนะแบ่งเป็นตาย หลักการเหตุผลอยู่ที่ข้า ต้านรับการโดนต่อยไว้ได้ หมัดไม่พ่ายแพ้ การถูกตี ‘เป็น’ ก็จะกลายเป็นการช่วยขัดเกลาเรือนกายของตัวเอง ไม่เพียงแต่ไม่ทำร้ายรากฐาน ไม่มีภัยแฝงทิ้งเอาไว้ ยังสามารถขัดเกลาขอบเขตได้อีกด้วย
หมัดเขย่าภูเขาอะไร หากรู้แต่ปล่อยหมัด ไม่รู้จักเลี้ยงหมัด ข้าผู้อาวุโสพลิกเปิดอ่านแค่ไม่กี่หน้าก็ได้กลิ่นเหม็นสาบบ้านนอกโชยมาปะทะใบหน้าแล้ว…
ในอดีตตอนที่เรียนวิชาหมัดอยู่ในเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันก็เคยเอ่ยประโยคทวงความเป็นธรรมแทนตำราหมัดเขย่าภูเขาอยู่หลายประโยค แต่พอถูกต่อยเยอะเข้าก็ไม่มีความกล้าพอให้พูดอะไรมากอีกแล้ว ถูกผู้เฒ่าใช้ปลายเท้าขยี้ที่หัวใจแล้วเตะเสยขึ้นทั้งอย่างนั้น หลังทั้งแผ่นกระแทกเข้ากับเพดาน ช่างสมกับ ‘อย่าได้มีรสชาติอื่นใดติดอยู่ในใจอีกเลย’ จริงๆ
จะให้ป้อนหมัดให้เผยเฉียนแบบนี้ เฉินผิงอันตัดใจทำไม่ลง ไม่อาจลงมืออำมหิตเช่นนั้นได้
ถึงขั้นที่ว่าจนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยถามถึงขั้นตอนการเรียนหมัดบนเรือนไม้ไผ่จากเผยเฉียนอย่างละเอียด แค่คิดก็ยังไม่กล้าคิดมาก
ดังนั้นในหลายๆ ครั้งเฉินผิงอันที่ทดสอบเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เขาก็มักจะต้องรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสอนหมัดจริงๆ ใช่หรือไม่?
เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องเก็บหมัดหยุดหมัด เอ่ยว่า “การถามหมัดที่ศาลบุ๋น โอกาสแพ้ชนะไม่ถือว่าห่างชั้นกันมาก แต่สิ่งที่อาจารย์พ่อแพ้ให้แก่เฉาสือไม่ใช่แค่เรื่องของความต่างด้านขอบเขตเท่านั้น”
ขอบเขตปลายทางมีสามขั้นที่สำคัญ ปราณโชติช่วง คืนความจริง เทพมาเยือน
เฉาสือสามารถเลื่อนขั้นสู่เทพมาเยือนได้ทุกเมื่อ
การช่วงชิงระหว่างเขียวขาวครั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ผลลัพธ์ก็ชัดเจนอย่างยิ่ง เฉาสือได้รับบาดเจ็บน้อยมาก แค่รอยปูดเขียวน้อยนิดแค่นั้น อย่างมากสุดสี่ห้าวันก็สลายหายไปแล้ว หันกลับมามองเฉินผิงอันที่กลับกลายเป็นว่าต้องเป็นอ่างเก็บยาอยู่หลายเดือน
นี่ก็คือความต่าง
เผยเฉียนยังคงเดินนิ่งไปเรื่อยๆ พลางถามเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ ท่านคิดว่าข้าควรจะฝ่าทะลุขอบเขตที่ไหนดี ควรจะเลือกใบถงทวีปถึงจะดีกว่าหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “คิดเรื่องไร้สาระพวกนี้ทำไม ขอบเขตเก้าเลื่อนเป็นขอบเขตสิบคือธรณีประตูที่ใหญ่มากก้าวหนึ่ง เจ้าจะฝ่าทะลุขอบเขตที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ฝ่าทะลุขอบเขตไปให้ได้ก็พอ”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้วถามอีกว่า “อาจารย์พ่อ ถ้าอย่างนั้นหากข้าฝ่าทะลุขอบเขตที่ภูเขาลั่วพั่วจะไปแย่งโชคชะตาบู๊มาจากพ่อครัวเฒ่าและอาจารย์จ้งหรือไม่? ได้ยินคนบอกว่า ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางของหนึ่งทวีปก็เหมือนการแย่งกันข้ามฟาก เรือใหญ่เพียงเท่านั้น ใครที่ได้ขึ้นเรือมาครองพื้นที่ก่อน คนที่มาทีหลังก็ไม่อาจขึ้นเรือมาได้อีก”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกออกไปโดยตรง “ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนยอมให้ได้ มีเพียงเรื่องการฝึกวรยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูงที่ไม่อาจหลีกทางให้ใครได้ ถามหมัดกับคนอื่น เบื้องหน้าต้องไร้ผู้คน เรียนวรยุทธเดินขึ้นสู่จุดสูงสุด ต้องไม่ปล่อยให้ข้างกายมีใครอยู่”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
กลับไปภูเขาลั่วพั่วก็จะฝ่าทะลุขอบเขต
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “มั่นใจแล้วหรือว่าจะฝ่าคอขวดได้?”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที
เฉินผิงอันหัวเราะร่าแล้วเขกมะเหงกอีกครั้ง “หมัดก็สอนไปแล้ว กลับไปฝึกในห้องตัวเองเถอะ”
จะสอนวิชาหมัดไปทำไมอีก
พอเผยเฉียนจากไป เด็กชายผมขาวก็เดินอาดๆ มาเยือนถึงห้อง
เด็กชายผมขาวอยู่บนเรือข้ามฟากไม่มีเรื่องอะไรให้ทำจริงๆ ช่วงนี้จึงเป็นฝ่ายเสนอทำการค้ากับบรรพบุรุษอิ่นกวานด้วยตัวเองอีกรอบ ยังคงอิงตามกฎเดิมเหมือนตอนที่อยู่ในคุก มันอยากจะรวบรวมเงินฝนธัญพืชให้ครบหนึ่งเหรียญ ส่วนเรื่องที่ว่ารวมเงินครบแล้วจะเอาไปใช้ทำอะไร มันยังไม่ได้คิดไว้
ยกตัวอย่างเช่นที่ร้านน้ำชาท่าเรือดอกท้อ มันช่วยเสริมเนื้อหามากมายให้กับชุดคลุมอาคมที่มีชื่อชั่วคราวว่า ‘ทางน้ำ’ ตัวนั้น
บรรพบุรุษอิ่นกวานยังคงมีคุณธรรมน้ำใจเหมือนเดิม ไม่ได้เอาความชอบมาชดใช้ความผิด แต่มอบเงินให้มันหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย อีกทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า หากในอนาคตชุดคลุมอาคมที่ยังไม่ได้ถักทอกลายเป็นชิ้นสำเร็จรูปตัวนี้ขายได้ดีในทวีปต่างๆ ของไพศาลเว้นจากศาลบุ๋นจริงๆ ยังจะมอบเงินเพิ่มให้อีกหนึ่งเหรียญด้วย
นอกจากนี้มันยังเริ่มเรียบเรียงตำราหมัดขึ้นมาหนึ่งเล่ม ตัวมันตั้งชื่อให้ว่า ‘หมัดข้าวร้อยบ้าน’ รู้สึกว่าเป็นชื่อที่ไพเราะยิ่ง
ในตำราหมัดมีบันทึกถึงกระบวนท่าหมัดสามสิบกว่ากระบวนท่าซึ่งเป็นความสามารถประจำตัวของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางในใต้หล้ามืดสลัวเอาไว้อย่างละเอียด ในบรรดานั้นก็มีท่าไม้ตายที่หายสาบสูญไปแล้วอยู่ไม่น้อย
ได้เงินร้อนน้อยมาอีกหนึ่งเหรียญ
หน้าปกของตำราหมัดเขียนตัวอักษรสี่คำว่า ‘หมัดข้าวร้อยบ้าน’ ไว้ตัวใหญ่มาก ตรงช่วงล่างของอักษรคำว่าหมัดยังมีตัวอักษรสองตัวว่า ‘เล่มบน’ ตัวเล็กๆ เขียนไว้
เฉินผิงอันก็ได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แสร้งทำเป็นไม่รู้ถึงแผนการเล็กๆ น้อยๆ ที่มันวางไว้
มีเล่มบน แน่นอนว่าต้องมีเล่มกลาง เล่มล่างอีกสองเล่ม ด้วยนิสัยของเทวบุตรมารนอกโลกตนนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีเล่มบนกลาง เล่มกลางล่างอีกก็เป็นได้ ดูสิ แค่นี้ก็ได้เงินฝนธัญพืชครึ่งเหรียญมาอยู่ในมือแล้วไม่ใช่หรือ?
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มีทางปล่อยให้นางอาศัยแค่ตำราหมัดก็ได้เงินร้อนน้อยห้าเหรียญมาครองง่ายๆ เช่นนี้ ใต้หล้านี้มีเงินร้อนน้อยที่ไหนหากันได้ง่ายดายแบบนี้เล่า? ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ อยากได้เงินจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไร?
ใต้หล้ามืดสลัวมี ‘ผู้ฝึกตนอิสระ’ อยู่สิบประเภทที่ไม่ได้รับการยอมรับจากป๋ายอวี้จิง
แบ่งออกเป็นโจรข้าวสารที่เป็นพวก ‘นอกรีต’ มือเรียวแดงม้วนม่านที่เชี่ยวชาญการแก้ไขชะตาชีวิตให้กับผู้ฝึกตน คนหาบของที่ใครจ่ายเงินก็สามารถขอยืมขอบเขตใดขอบเขตหนึ่งของเขามาใช้ได้ชั่วคราว คนยกโลงศพที่เดินอยู่ท่ามกลางโลกคนเป็นและโลกคนตาย ทูตตระเวนภูเขาที่ขโมยโชคชะตาขุนเขาสายน้ำไปได้โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น หญิงนักแต่งตัวที่สามารถเรียบเรียงเส้นสายขุนเขาสายน้ำในร่างกายมนุษย์ได้ คนจับมีดที่เล่นงานผู้ฝึกยุทธเต็มตัวโดยเฉพาะ อาจารย์คำเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงตำราลับลัทธิเต๋าได้อย่างเงียบเชียบ นอกจากนี้ก็ยังมีเซียนสละศพและทาเหลี่ยวฮั่น
เกี่ยวกับรากฐานมหามรรคาของพวกเขา เด็กชายผมขาวได้เขียนตำราขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม ได้เงินร้อนน้อยไปเปล่าๆ อีกหนึ่งเหรียญ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ด้านหนึ่งก็ศึกษาโพ่จื่อลิ่งของลัทธิขงจื๊อไปเงียบๆ กำลังทำความเข้าใจกับวิธีลงจากเรือซึ่งต้องไขกรงขังตัวอักษรขุนเขาสายน้ำของเรือราตรี พลางเปิดตำราที่หนามากหลายเล่มข้างมือไปด้วย เด็กชายผมขาวยื่นหัวไปเหลือบมองสองสามที ดูเหมือนจะเป็นรายงานข่าวของทางฝั่งภูเขาตะวันเที่ยง มันไม่สนใจเรื่องนี้ เพียงแค่ถามเสียงเบาว่า “บรรพบรุษอิ่นกวาน วันหน้าเมื่อภูเขาลั่วพั่วของพวกเรามีรายงานขุนเขาสายน้ำและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเป็นของตัวเองแล้ว ให้ข้าเป็นคนดูแลหลักได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษา เลิกคิดได้แล้ว ประสบการณ์เจ้ายังตื้นเขินเกินไป เป็นแค่ลูกศิษย์นักการที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อก็พอ หากได้อยู่ตำแหน่งสูงทันทีก็ง่ายที่จะทำให้คนอื่นเกิดอคติ”
เรื่องรายงานขุนเขาสายน้ำของแต่ละทวีป ในอดีตล้วนมีสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของลัทธิขงจื๊อคอยตรวจสอบ มีข้อบังคับไม่มาก ในสำนักศึกษาจะมีวิญญูชนและนักปราชญ์คอยรับหน้าที่รวบรวมรายงานของภูเขาแต่ละลูกในหนึ่งทวีปโดยเฉพาะ เรื่องนี้หาเงินได้ไม่มาก ดังนั้นจึงไม่ใช่ตระกูลเซียนทุกแห่งที่จะเลี้ยงคนว่างงาน ถึงขั้นที่ว่าสำนักอักษรจงหลายแห่งยังคร้านจะสนใจจัดการเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
เหมือนอย่างอุตรกุรุทวีปนี้ สำนักทั้งหลายที่มียอดเขาพาตี้ สำนักกระบี่ไท่ฮุย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ไม่มีคนทำหน้าที่ฝ่ายนี้ ส่วนหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน สำนักมังกรน้ำ สวนน้ำค้างวสันต์ ตระกูลเซียนที่มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ล่างภูเขาแนบแน่นมากที่สุดเหล่านี้กลับให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
เด็กชายผมขาวหมดอาลัยตายอยาก เอามือปาดผิวโต๊ะ เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ข้ายังนึกว่าลูกศิษย์นักการจะเป็นแค่คำพูดล้อเล่นเท่านั้น”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วเจ้าห้ามลอบมองใจคนส่งเดช หากข้าจับได้ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตล่ะ”
เด็กชายผมขาวยังคงเช็ดโต๊ะต่อเนื่อง “บรรพบุรุษอิ่นกวานว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแหละ ข้าเป็นแค่คนต่างถิ่นที่ไร้ที่พึ่งคนหนึ่ง ยังจะทำอย่างไรได้อีก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!